ตอนที่ 105 หนักเหมือนเขาไท่ซาน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 105 หนักเหมือนเขาไท่ซาน
ต๭นที่ 105 หนักเหมือนเขาไท่ซาน ภายในพระราชวัง ณ ห้องทรงพระอักษร สีพระพักตร์ของฝ่าบาทขุ่นเคืองยิ่งนัก พระหัตถ์ทั้งสองข้างถูกไขว้หลังไว้ขณะทรงสาวพระบาทไปมา เบื้องพระพักตร์มีชายหนุ่มผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ ใบหน้าของชายผู้นั้นฉายแววหวาดกลัวขณะกำลังรอฟังรับสั่ง “หาจนทั่วแล้วหรือ” สุรเสียงตรัสอย่างไม่พอพระทัยดังขึ้นขณะปรายพระเนตรไปทางชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มผู้นั้นจึงเอ่ยทูลอย่างกล้าๆกลัวๆ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมหาจนทั่วแล้วขอรับ คืนนั้นไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นท่านหมอเวินอีกทั้งนางยังพาองค์ชายน้อยหนีออกไปได้ ในระหว่างที่เรากำลังไล่ตามพวกนางอยู่นั้นก็พบว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งตามมาทั้งยังนำตัวขององค์ชายน้อยและท่านหมอเวินไปด้วยขอรับ” ฝ่าบาททรงขมวดพระขนง “ยามนี้อานเหยียนกลับไปที่จวนได้อย่างปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้มากว่าคนกลุ่มนั้นอาจจะเป็นองครักษ์ของเจิ้นหยวนอ๋อง เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขานำตัวท่านหมอเวินไปด้วย” ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้ายืนกราน “แน่ใจพะย่ะค่ะ ตอนนั้นคนของหม่อมฉันลอบติดตามอยู่ห่างๆ ท่านหมอเวินถูกคนกลุ่มนั้นจับตัวกลับไปจริงๆ อีกทั้งนางยังได้รับบาดเจ็บจดหลั่งโลหิตอีกด้วยพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ตกพระทัยขึ้นมา “บาดเจ็บ? ไม่ได้มองผิดใช่หรือไม่” “น่าจะเป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ!” พระพักตร์ของฝ่าบาทเต็มไปด้วยความกริ้วโกรธ “น่าจะ? ตกลงว่าเจ้าน่าจะหรือแน่ใจกันแน่ สารเลว! เหตุใดตอนนั้นจึงไม่ชิงตัวนางกลับมา” ชายผู้นั้นพยายามเอ่ยอย่างละมุนละม่อม “ฝ่าบาททรงตรัสมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ ว่าแผนการครั้งนี้ต้องมีคนรับรู้ให้น้อยที่สุด หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของพวกราเกรงว่า...” ฝ่าบาททรงตรัสเสียงเครียด “แล้วหลังจากวันนั้นเจ้าได้ส่งคนออกไปตรวจสอบหรือไม่ นางหายตัวไปหลายวันแล้วพวกเจ้าถึงเพิ่งจะมาบอกเรื่องนี้แก่เรางั้นหรือ ใช้เวลานานถึงเพียงนี้แต่กลับยังสืบหาร่องรอยของนางไม่ได้ บอกเราหน่อยว่าเรายังจะต้องเก็บพวกเจ้าไว้ทำไมอีก” ชายผู้นี่มีนามว่า หลินหมิงยี่ เป็นหัวหน้าของหน่วยลับที่ขึ้นตรงแก่ฝ่าบาทเพียงผู้เดียว เขาเป็นชาวยุทธไม่มีตำแหน่งในวังหลวง ตัวตนของพวกเขาแทบจะไม่มีผู้ใดรู้ แต่ทว่าค่าตอบแทนของพวกเขากลับสูงเสียยิ่งกว่าเงินของพวกข้าหลวงบางคนเสียอีก เรื่องบางเรื่องที่เกินกว่าอำนาจในวังจะจัดการและตำเป็นจะต้องเก็บเป็นความลับพระองค์ก็มักจะใช้พวกเขาให้จัดการเสียมากกว่า อย่างเรื่องการลักพาตัวอานเหยียนในครั้งนี้พระองค์ก็ให้พวกเขาเป็นคนลงมือจัดการ แผนการในครั้งนี้ดำเนินการไปได้อย่างราบรื่นไร้ที่ติเพราะไม่ว่าผ้ใดก็คาดไม่ถึงว่าองคร์ชายน้อยจะถูกลักพาตัวไปกักครั้งไว้ที่บ้านแถบชานเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงถึงปานนั้น “เช่นนั้นกระหม่อมจะไปสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดอีกครั้งพะย่ะค่ะ” ฝ่าบาททรงกริ้วจนประกาศก้องดัง “ภายในสามวันหากว่าเจ้ายังสืบหาเบาะแสของเวินหน่วนไม่ได้ ถึงตอนนั้นเราจะจัดการพวกเจ้าให้สิ้น!” หลินยี่หมิงตื่นตระหนกรีบร้อนคุกเข่ารับฟังรับสั่งอย่างตื่นกลัว “พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ!” ฮ่องเต้ทรงไล่เขาออกจากห้อง พระทัยของพระองค์กระสับกระส่ายไม่สงบ ท่าราชครูเคยกล่าวว่าขอเพียงแค่หญิงสาวที่มีดวงหงส์อย่างเวินหน่วนเข้ามาในวังจะทำให้พระพลานามัยของไทเฮาแข็งแรงดีวันดีคืน แต่ทว่าความจริงแล้วเมื่อนางเข้ามาในวังไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ไทเฮาทรงดีขึ้นแต่กลับทำให้ประชวรจนสวรรคตไปเร็วกว่าที่คิดเสียอีก ทรงดำริเช่นนี้แล้วก็สาวพระบาทไปมารอบห้องก่อนจะตรัสขึ้นเสียงดังจนเกือบคำราม “เสี่ยวเต๋อจื่อ!” เสี่ยวเต๋อจื่อก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา “ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่นี่พะย่ะค่ะ!” “เรียกท่านราชครูมาเข้าเฝ้า!” ทรงรับสั่งด้วยสุรเสียงเคร่งเครียด เสี่ยวเต๋อจื่อเร่งทำตามรับสั่งของฝ่าบาททันที ไม่ถึงครึ่งชั่วยามท่านราชครูก็มาถึงห้องทรงพระอักษร “ถวายบังคมฝ่าบาท!” เมื่อท่านราชครูย่างเข้ามาในห้องก็โค้งกายถวายบังคมอย่างนอบน้อม ฝ่าบาททรงประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง สายพระเนตรจ้องมาที่ท่านราชครูทั้งที่ขมวดพระขนงอยู่ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกกับเราว่า หากว่าเวินหน่วนเข้ามาในวังพลานามัยของเสด็จแม่ไทเฮาจะดีวันดีคืน แต่ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้น เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่” ท่านราชครูก็เอ่ยทูลต่อฝ่าบาทด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย “ทูลฝ่าบาท หากหญิงสาวที่มีดวงหงส์เช่นนางเข้ามาในวังจะทำให้พลานามัยของไทเฮาทรงดีขึ้นจริงพะย่ะค่ะ แต่ทว่ายามนั้นดวงหงส์ของนางเองก็ประสบเคราะห์กรรมเช่นกัน ด้วยเพราะคราวเคราะห์นี้จึงทำให้ดวงของนางไม่อาจช่วยค้ำจุนองค์ไทเฮาได้ทั้งยังทำให้นางต้องประสบเคราะห์ภัยอีกด้วย” ฝ่าบาททรงถามอย่างไม่เข้าพระทัย “ดวงหงส์ประสบเคราะห์กรรมคืออะไรกัน” ท่านราชครูลองเข้าฌานอยู่ครู่หนึ่งสักพักก็ถอนหายใจออกมา “ต้องโทษที่กระหม่อมเองก็ประมาทเลินเล่อจึงไม่ได้คำนวนเคราะห์ของนางให้แน่ชัด แต่ยามนี้นางกำลังเผชิญเคราะห์กรรมของตนเองอยู่จริงๆพะย่ะค่ะ!” ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ทรงลุกขึ้นและทอดพระเนตรมาที่ราชครูก่นอตรัสถามเสียงเครียด “เจ้าจงเล่ามาให้ละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่” สีหน้าของท่านราชครูยังคงเงียบสงบยามที่เอ่ยปาก “ชีวิตของสตรีที่เกิดพร้อมกับดวงหงส์เคียงมังดรนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับนางถึงสี่ครั้ง แต่ละครั้งล้วนอันตรายถึงชีวิต ฝ่าบาทย่อมต้องรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนล้วนต้องเผชิญเคราะห์กรรมที่ไม่อาจหลีดเลี่ยงได้ในกรณีนี้หญิงสาวที่มีดวงหงส์เช่นนางก็ไม่มีข้อยกเว้น นางเคยผ่านเคราะห์มาแล้วถึงสองครั้งที่ร้ายแรงถึงชีวิตแต่ก็ยังผ่านมันมาได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน กระหม่อมเชื่อว่านางจะต้องผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้มาได้แน่นอน!” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้นั้นดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย แต่พระองค์ยังคงสงสัยอยู่ “เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่านางจะกลับมาได้” ท่านราชครูโค้งกาย “กระหม่อมมั่นใจยิ่งนักพะย่ะค่ะ ภายในสามเดือนหากนางไม่อาจกลับมาได้ กระหม่อมจะขอรับโทษอาญาประหารชีวิตพะย่ะค่ะ!” สีพระพักตร์ของฝ่าบาทผ่อนคลายลงจนไม่เหลือเค้าความโกรธกริ้วเมื่อครู่นี้ แต่สรุเสียงก็ยังคงจริงจังอยู่ “หากท่านราชครูยืนกรานเช่นนี้เราก็วางใจ!” ท่านราชครูยิ้มสุภาพ “ฝ่าบาททรงดำริมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ จริงสิกระหม่อมทำยาเม็ดมาให้พระองค์เพิ่มอีกหลายเม็ดนำมาถวายแก่ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ!” ท่านราชครูหยิบกล่องไม้สีแดงออกมาก่อนจะค่อยๆเปิดออกช้าๆจนเห็นเม็ดยาสีแดงอยู่ภายในหลายเม็ด แสงจากหน้าต่างที่เล็ดลอดเข้ามาทำให้เม็ดยาเหล่านั้นส่องประกายสีรุ้งงดงาม ท่านราชครูยื่นถวายแก่ฝ่าบาท ฮ่องเต้ทรงยื่นพระหัตถ์ไปรับมันไว้ในมือ พระพักตร์แย้มสรวลจากนั้นก็หยิบเม็ดยาในนั้นหนึ่งเม็ดส่งให้ราชครู “ลำบากท่านราชครูแล้ว เราขอมอบยานี่ให้แก่ท่านเม็ดหนึ่งเป็นรางวัล!” ท่านราชครูรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นสบกระพักต์และหยิบเม็ดยานั้นเข้าปากและกลืนลงไปต่อหน้าพระพักตร์ พระพักตร์ของฝ่าบาทแย้มสรวลราวกับดีพระทัยหนักหนา “อืม ยาเม็ดพวกนี้ทำให้เรารู้สึกมีพละกำลังแข็งแรงมากขึ้นจริงๆเสียด้วย เจ้าจงศึกษามันต่อไป หากจำเป็นต้องใช้ตัวยาอะไรก็ไปที่ห้องยาหยิบเอาได้ตามสะดวกโดยไม่จำเป็นต้องมาขออนุญาติเรา! ยาของเจ้าที่ทำขึ้นมาครั้งดียิ่ง อยากได้รางวัลอะไรก็บอกเรามาเราจะให้” ท่านราชครูเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “กระหม่อมเพียงปรารถนาให้พระองค์มีพลานามัยแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืนเพียงเท่านั้นพะย่ะค่ะ หาได้ต้องการรางวัลชื่อเสียงหรือเงินทองไม่!” ฝ่าบาททรงสดับฟังเช่นนั้นก็พอพระทัยยิ่งนัก “อืม เจ้าช่างเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเรายิ่งนัก วางใจเถิด เราย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าแน่” จากนั้นพระองค์ก็เอ่ยถามอะไรอีกอย่างเมื่อดำริขึ้นได้ “ทางฝั่งอ๋องเก้ามีอะไรเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่” ท่านราชครูทูลตอบเสียงเรียบ “ทูลฝ่าบาท อ๋องเก้าล้มป่วยอยู่หลายวันดูจากรูปการณ์แล้วการที่จะรักษาให้หายอาจจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนจึงจะกลับมาเป็นปกติได้พะย่ะค่ะ” เมื่อฝ่าบาทสดับฟังเช่นนั้นก็นิ่งไปก่อนจะถอนพระปัสสาสะ “เราสงสารน้องเก้าเหลือเกิน!” แม้จะทรงตรัสเช่นนั้นแต่สุรเสียงไม่มีความเมตตาสงสารอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย ปีก่อนยามที่พระองค์ทรงช่วงชิงบัลลังก์มาจากอดีตฮ่องเต้และสังหารพระองค์นั้นก็ทรงเป็นเช่นนี้ ทรงมีความเมตตาสงสารแต่ทว่าก็ยังน้อยนิดหากเทียบกับการแสวงหาอำนาจที่ปรารถนาจะได้มาครอบครอง แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ก็เป็นเรื่องที่พระองค์ไม่สบายพระทัยเลยสักนิด พระองค์ไม่ใช่คนไร้หัวใจเสียทีเดียวเพราะคนที่ไร้หัวจริงจะไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปหรอก เป็นเพราะรักมากจึงต้องเจ็บมากเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ท่านราชครูเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทไม่ต้องเศร้าพระทัยไปหรอกพะย่ะค่ะ นี่เป็นดวงของท่านอ๋องเก้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว!” ฝ่าบาททรงถอนพระปัสสาสะออกมาอ่อนพระทัย “เห็นทีเราต้องดีกับเขาให้มากกว่านี้ น้องชายของเราคนนี้แต่เล็กจนโตก็เฉลียวฉลาดเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เรารักน้องชายผู้นี้มากเหลือเกิน แต่ในยามที่เขาเจ็บป่วยเช่นนี้เรากลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย” ท่านราชครูจึงเอ่ยปลอบใจ “ฝ่าบาท นี่เป็นดวงชะตาของท่านอ๋องเก้าอย่างไรเสียเขาก็ต้องผ่านมันไปได้ พระองค์อย่าได้ทรงกังวลเลยพะย่ะค่ะ!” ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ขึ้นลง “เอาล่ะ เจ้าก็ออกไปได้แล้ว!” ท่านราชครูโค้งกายก่อนจะถอยกายออกไปแต่ขณะนั้นดวงตาก็ปรายไปมองฮ่องเต้ที่กำลังหยิบเม็ดยาสีแดงนั่นเข้าปาก ริมฝีปากก็พลันผุดยิ้มเย็น ทว่าชั่วพริบตาก็กลับคืนดังเดิมทั้งยังก้าวเดินออกจากห้องไป จิตใจของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ในขณะที่เรากำลังคิดวางแผนทำร้ายคนคนหนึ่งอยู่ก็ใช่ว่าคนข้างกายเราเองจะไม่หาทางทำร้ายเราอยู่เช่นกัน อำนาจของจักรพรรดิ์เป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็อยากจะช่วงชิงและครอบครองทั้งนั้น หลายวันมานี้หลี่เฉินเย่นไม่ยอมเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงในตอนเช้าเลยทำให้หลี่อวิ่นกังอดเป็นห่วงไม่ได้ วันนี้เขาจึงมาหาน้องชายของตนถึงจวนอ๋องหนิงอาน อีกทั้งยังมีบุรุษอีกคนหนึ่งตามเขามาด้วยซึ่งคนผู้นั้นก็คือเฉินหยวนชิ่งพี่ชายของเฉินอวี่จู๋นั่นเอง เฉินอวี่จู๋เมื่อทราบข่าวการมาของพี่ชายก็รีบร้อนออกมาต้อนรับ ยามนี้นางเป็นพระชายาผู้คุมความเรียบร้อยทุกอย่างในจวนอ๋องแห่งนี้แล้วแม้ว่าหลี่เฉินเย่นจะไม่ได้ดีต่อนางมากมายนักแต่ทว่าเขาก็ไม่ได้เมินเฉยกับนาง ระหว่างพวกเขายังมีการพูดคุยสนทนากันบ้าง สำหรับเฉินอวี่จู๋แล้วก็นับได้ว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ดี ยิ่งวันนี้พี่ชายนางมาเยี่ยมเยียนถึงจวนใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีระบายอยู่เต็มไปหมด “ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ เสด็จพี่และท่านพี่รอก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะให้คนไปตาม!” นางเรียกขานหลี่อวิ่นกังว่าเสด็จพี่ราวกับว่าวางตัวเองเป็นภรรยาของหลี่เฉินเย่นโดยสมบูรณ์แล้วซึ่งในความคิดนาง นางก็เห็นว่าเป็นเรื่องสมควรถูกต้องที่นางจะเรียกเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อหลี่อวิ่นกังได้ยินคำเรียกขานว่าเสด็จพี่เขาก็อดย้อนนึกไปถึงตอนที่เขาลงมือทำร้ายและสั่งให้สังหารชูเซี่ยไม่ได้ หัวใจเจ็บปวดราวกับโดนลูกศรปักลงกลางใจ ไม่นานหลี่เฉินเย่นก็ออกมา ชายหนุ่มสวมชุดขาวทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวอีกทั้งใต้ตายังดำคล้ำเพราะนับตั้งแต่ที่เขาได้นับรู้ข่าวของชูเซี่ยเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้สักคืน เมื่อชายหนุ่มเห็นหลี่อวิ่นกังดวงตาก็ทอประกายแค้นเคืองขึ้นมาแต่เพียงชั่วพริบตาก็หายไป เขาเข้าใจดีว่าไม่ว่าหลี่อวิ่นกังหรือเขาต่างก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในมือของเสด็จพ่อเท่านั้น และยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากหลางเยว่เขาก็รู้ว่าแท้จริงแล้วเสด็จพี่เองก็รู้สึกผิดและเจ็บปวดทรมานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลย เฉินหยวนชิ่งโค้งกายทำความเคารพ “กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋อง!” หลี่เฉินเย่นก็เอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด!” จากนั้นเขาก็ปรายตามองมาที่หลี่อวิ่นกัง “วันนี้เสด็จพี่ก็มาด้วยหรือ” สีหน้าของหลี่อวิ่นกังดูไม่สบายใจ ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ “ใช่แล้ว เปิ่นหวางอยากมาขออภัยเจ้าสักคำ วันั้นเปิ่นหวางไม่ได้สืบให้แน่ชัดก็ใส่ความเจ้าว่าเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนไป ตอนนี้อานเหยียนกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้วทั้งเปิ่นหวางก็ยังรู้แน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า!” เฉินหยวนชิ่งรู้สึกไม่พอใจต่อคำเรียกขานว่านแม่ทัพเฉินยิ่งนักเพราะยามนี้เขาก็มีศักดิ์เป็นพี่เขยของอีกฝ่าย แต่ทว่าในเมื่อคู่กรณีเป็นถึงท่านอ๋อง ยศฐาของอีกฝ่ายสูงส่งกว่าเขา ต่อให้ไม่ชอบใจเช่นไรก็ต้องเก็บไว้ในใจไม่อาจแสดงอาการออกมาโดยเด็ดขาด “กลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว!” หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้และสั่งเด็กรับใช้ให้ไปเตรียมชาร้อนชั้นดีมารับรองแขก ชายหนุ่มยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบเบาๆ หลี่อวิ่นกังมองไปที่น้องชายอย่างเป็นห่วง “เจ้าดูสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก ไม่ค่อยได้นอนหรือ” หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามอง หลี่อวิ่นกังเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาก็รู้สึกร้อนตัวจึงเสตาหลบไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย แต่ทว่าหูก็ได้ยินน้องชายของตนพูดขึ้นมาเบาๆ “ใช่ ชูเซี่ยหายตัวไป หลายวันมานี้นางยังไม่ยอมกลับมาเปิ่นหวางเป็นห่วงจึงได้นอนไม่หลับ!” หลี่อวิ่นกังไม่ส่งเสียงอะไรเพียงแต่ก้มหน้าอื่มน้ำชาและพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าเจ็บปวดระคนสำนึกผิดของตนเอาไว้ เฉินหยวนชิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของหลี่เฉินเย่นและท่านหมอเวินมาบ้าง แต่ทว่ายามนี้ได้ยินเขาพูดถึงท่านหมอหญิงคนนั้นต่อหน้าน้องสาวของเขาก็อดรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ เขาเป็นชาวยุทธทำอะไรตรงไปตรงมาจึงไม่คิดจะอ้อมค้อมไปมาให้มากความ “ท่านอ๋องควรรักษาสุขภาพของตนให้ดีอย่าได้เอาเรื่องของคนที่ไม่มีความสำคัญมาทำร้ายสุขภาพของตนเองเลยขอรับ” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นพลันโหดเหี้ยมขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาคมจ้องเขม็งมาที่เฉินหยวนชิ่ง “ไม่มีความสำคัญ? นางอาจจะไม่มีความสำคัญอันใดกับแม่ทัพเฉิน แต่ทว่าสำหรับเปิ่นหวานนางเป็นคนที่เปิ่นหวางให้ความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด!” เฉินอวี่จู๋ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งงันไป ท่านหมอเวินผู้นี้นางเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง นางสามารถรักษาฉ่ายเวินให้หายได้ทั้งยังรักษาอาการป่วยของฝ่าบาทได้อีกด้วย แต่ทว่านางก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านอ๋องจึงต้องให้ความสำคัญกับหมอหญิงผู้นั้นถึงเพียงนี้
已经是最新一章了
加载中