ตอนที่ 106 โดนแทน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 106 โดนแทน
ต๭นที่ 106 โดนแทน แม่ทัพเฉินรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง น้องสาวของเขาเพิ่งแต่งเข้ามาในจวนอ๋องได้เพียงไม่กี่วัน แต่เขากลับพูดจาไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หากเขาจะคิดถึงพระชายาของตนก็แล้วไปเถิด แต่ทว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้น้องสาวเขาก็อยู่ภายในห้องนี้ด้วยจะให้เขาอาละวาดได้อย่างไร ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงปั้นสีหน้าเรียบเฉยอย่าให้ความรู้สึกเล็ดลอดออกไปให้ใครจับได้ก็พอ เฉินอวี่จู๋เห็นบรรยากาศในห้องไม่สู้ดีก็เอ่ยขึ้น “เป็นจริงเช่นนั้นเจ้าค่ะ ท่านหมอเวินเป็นคนที่สำคัญมากจริงๆ ข้าเคยได้ยินว่าแม่นางฉ่ายเวินนอนสลบไสลไม่ได้สติมาหลายปีแต่เพราะได้ท่านหมดเวินรักษา จนตอนนี้แม่นางฉ่ายเวินก็กลับมาแข็งแรงได้ในที่สุด ในฐานะที่ข้าเป็นหญิง ข้าเองก็อดรู้สึกชื่นชมในท่านหมอเวินไม่ได้จริงๆเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็อ่อนลงทั้งยังหันมามองเฉินอวี่จู๋ “เจ้าก็ชื่นชมนางหรือ” เฉินอวี่จู๋ยิ้มเขินอาย “ชื่นชมจากใจจริงเลยเจ้าค่ะ ขอให้นางกลับมาได้อย่างปลอดภัย!” หลี่เฉินเย่นพิจารณารูปโฉมของนาง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของนางดูจริงใจไม่เสแสร้ง ดูแล้วนางคงปรารถนาให้ชูเซี่ยกลับมาได้อย่างปลอดภัยตามที่นางพูดจริงๆ เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกราวกับว่ากำลังได้รับการปลอบใจก็ไม่ปาน หลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็เฝ้าปลอบใจตนเองเช่นกัน นางกินยาวิเศษของอาขารย์นางไปแล้วนางจะต้องคุ้มครองตนเองได้และจะต้องกลับมาหาเขาแน่ เขาไม่อยากจะถอดใจ เขายังต้องคาดหวังต่อไปว่านางจะกลับมา หาไม่แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร! หลี่อวิ่นกังถูกความรู้สึกผิดกัดกินไปทั้งร่างกายและจิตใจจนไม่อาจจะอยู่เผชิญหน้ากับหลี่เฉินเย่นได้อีกต่อไป “เปิ่นหวางมีธุระคงต้องขอตัวก่อน!” หลี่เฉินเย่นจึงลุกขึ้นเดินไปส่ง “น้อมส่งเสด็จพี่!” หลี่อวิ่นกังรับคำจากนั้นก็หันไปถามเฉินหยวนชิ่ง “แม่ทัพเฉินจะกลับพร้อมกันกับเปิ่นหวางเลยหรือไม่” เฉินหยวนชิ่งก็ไม่สบายใจที่จะอยู่ต่อและถึงอยู่ต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดจึงลุกขึ้นยืน “ข้าก็ขอกลับพร้อมท่านอ๋องด้วยแล้วกันขอรับ!” เฉินอวี่จู๋ก็เดินออกมาส่งทั้งคู่ถึงหน้าประตูจวน เฉินหยวนชิ่งหันมามองน้องสาวตัวเองก่อนจะเอ่ยถามอย่างเวทนา “เขาดีต่อเจ้าหรือไม่” เฉินอวี่จู๋ยิ้มอย่างเขินอาย “พี่ชายวางใจเถิดเจ้าค่ะ ท่านอ๋องดีต่อข้ามาก!” เฉินหยวนชิ่งพยักหน้า “ดูแล้วเขาก็คงไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำนัก แต่ทว่าท่านหมอเวินผู้นี้หากนางกลับมาเจ้าก็ระมัดระวังหน่อย อย่าประมาทนางเป็นอันขาด!” เฉินอวี่จู๋ส่ายศีรษะเบาๆ “พี่ชาย ท่านหมอเวินเป็นคนดีนะเจ้าคะ!” เฉินหยวนชิ่งดุน้องของตน “เด็กโง่ เรื่องบางเรื่องกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือ ช่างเถิด เจ้าก็พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน!” เฉินอวี่จู๋ยืนส่งทั้งสองอยู่หน้าประตู นางเฝ้ามองรถม้าที่ค่อยๆวิ่งห่างออกไปช้าๆ หัวใจของนางบังเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดท่านพี่ของนางจึงให้นางระวังในตัวท่านหมอเวินกันนะ อีกอย่างหากคนในจวนได้ยินนางเอ่ยถึงท่านหมอเวินขึ้นมาพวกเขาก็จะแสดงท่าทางลุกลี้ลุกลนขึ้นมา หรือว่าแท้จริงแล้วระหว่างท่านอ๋องและท่านหมอเวินจะมีอะไรจริงๆ หัวใจของนางเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นจริงนางจะทำเช่นไรดี ในเวลาเดียวกันนั้นเอง! หลังจากที่ชูเซี่ยถูกองครักษ์นำร่างของนางออกจากเมืองหลวงไปทิ้งที่เนินสุสานคนไร้ญาติยามนั้นนางก็ไม่มีสติสัมปชัญญะอีกแล้ว ภาพความทรงจำสุดท้ายของนางก็คือมีองครักษ์คนหนึ่งแทงดาบเข้าตรงกลางอกของนางจากนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดมากมายเข้ามาจู่โจม แผลที่เกิดจากรอยดาบนั้นช่างแสบร้อนราวกับถูกไฟนาบลงมา หลังจากนั้นนางก็ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกเลย วันนั้นในสุสานคนไร้ญาติหลังจากที่องครักษ์นำร่างนางมาทิ้งแล้วก็พอดีกับที่ฝูงหมาป่าออกหากินพอดี พวกมันเห็นสภาพร่างที่ยังสดใหม่อยู่ก็ย่างสามขุมหวังจะนำเหยื่อกลับไปกินที่รัง แต่ทว่าในตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มในชุดนักบวชปรากฎตัวขึ้นกลางอากาศและขับไล่พวกหมาป่าออกไป นักบวชผู้นั้นเดินมาอุ้มร่างของชูเซี่ยขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา “สาวน้อยที่โง่งมของข้า หากไม่ใช่ว่าเจ้ากินยาวิเศษเข้าไปเกรงว่าป่านนี้อาจารย์ก็คงไม่อาจช่วยเจ้าได้แล้วล่ะ!” สิ้นเสียงนั้นทั่วทั้งสุสานก็มีหมอกควันประหลาดเกิดขึ้นจากนั้นเมื่อสายลมพัดขจัดหมอควันก็ไม่ปรากฎร่างทั้งสองเมื่อครู่อีกแล้ว กว่าชูเซี่ยจะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านไปครึ่งเดือน “ฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงที่คั้นเคยดังขึ้นพร้อมกับเสียงจังหวะการก้าวเท้าที่แผ่วเบาจนเสียงฝีเท้านั่นมาหยุดลงข้างเตียง ชูเซี่ยเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆก่อนจะอ้าปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “อาจารย์ ข้าตายอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นักบวชถอนหายใจ “อะไรจะตายได้ง่ายดายเพียงนั้น ยังไม่ตายหรอก โชคดีที่อาจารย์ไปช่วยเจ้าได้ทันไม่งั้นเจ้าก็คงตายจริงแน่” ชูเซี่ยพยายามฝืนกายลุกขึ้นแต่กลับถูกมือของอาจารย์รั้งไว้ “อย่าขยับกายส่งเดช ร่างกายเจ้าได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง” ชูเซี่ยตื่นตระหนกใบหน้าซีดขาว “ได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลัง? ท่านกำลังจะบอกว่าขาของข้าไม่อาจเดินได้อีกแล้วงั้นหรือเจ้าคะ” นักบวชส่ายหน้า “ก้ไม่เชิงว่าอย่างนั้น อาจารย์ช่วยรักษาให้เจ้าไปไม่น้อยแล้วล่ะ แต่ทว่าตอนนี้ขาของเจ้าก็ยังไม่อาจขยับได้อยู่ เดิมทีอาจารย์ก็อยากรักษาเจ้าให้หายก่อนจึงค่อยปลุกเจ้าให้ตื่น แต่อาจารย์เองก็มีเรื่องที่ต้องไปสะสาง ดังนั้นอาจารย์จะส่งเจ้ากลับไปหาจูเก๋อหมิงเพื่อให้เจ้าสอนเขาใช้วิชาฝังเข็มทอง เขาจะได้รักษาเขาให้เจ้าได้” ชูเซี่ยเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของนักบวชไว้ “อาจารย์ ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ” นักบวชยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “เด็กโง่ เดิมทีเจ้าก็เป็นคนที่ตายแล้วแต่เป็นอาจารย์เองที่แอบเอายาวิเศษของเทวดามาให้เจ้ากิน ครั้งนี้ที่เจ้ารอดตายมาได้ก็เพราะว่ายาวิเศษนี้นี่ล่ะ ยาตัวนี้ไม่เพียงจะทำให้พลังวิญญาณเจ้ามากขึ้นแต่ยังทำให้เจ้าสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกด้วย แต่ทว่ายาชนิดนี้เดิมทีหลังจากกินเข้าไปแล้วต้องใช้เวลาสี่สิบเก้าวันจึงจะเริ่มแสดงผล แต่ทว่าเจ้าเพิ่งกินยาไปได้เพียงไม่กี่วันก้หาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว ดังนั้นอาจารย์จึงต้องฝืนกฎสวรรค์ช่วยเจ้าอีกครั้ง การทำผิดกฎของสวรรค์ครั้งนี้ เหล่าเทพต่างรับรู้กันถ้วนทั่วทั้งยังให้อาจารย์ขึ้นไปรับโทษแต่โดยดี เจ้าจงจำไว้ว่าหลังจากนี้หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าอีกอาจารย์ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้ว จงจำไว้ครั้งนี้เป็นชีวิตสุดท้ายของเจ้าแล้วจริงๆ หากว่าครั้งนี้เจ้ายังไม่รู้จักรักชีวิตตนเอง ครั้งหน้าก็ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้วนะ” น้ำตาของชูเซี่ยคลอหน่วย มือน้อยๆของนางยังคงดึงแขนเสื้อของอาจารย์ไว้ไม่ยอมปล่อย “อาจารย์ ท่านต้องรับโทษทัณฑ์แบบไหนกันหรือ ข้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด ถ้าเช่นนั้นท่านก็อย่าได้ช่วยเหลือข้าอีกเลยดีหรือไม่ เหตุใดจึงต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองลำบากด้วยล่ะเจ้าคะ” นักบวชตบมือของนางเบาๆก่อนจะเอ่ยปลอบใจ “เจ้าวางใจเถิด อาจารย์เป็นเทวดาย่อมดูแลตนเองได้อยู่แล้ว เป็นอาจารยืที่เห็นแก่ตัวเองจึงไม่ยอมบอกสรรพคุณของยาวิเศษให้เจ้ารู้ตั้งแต่แรกเพราะเกรงว่าจะทำให้โลกมนุษย์เกิดความสับสนวุ่นวาย อาจารย์จึงขู่เจ้าว่าหากเจ้ากินยาตัวนี้เข้าไปจะไม่สามารถกลับไปที่โลกเดิมได้อีก แต่ทว่าใครจะคิดว่าแม่นางน้อยที่โง่งมเช่นเจ้าเพียงเพื่อชายคนเดียวกลับยอมถอดใจที่จะได้กลับบ้านเดิมของตนเองได้ อาจารย์รู้ว่าเจ้ารักชายหนุ่มคนนั้นจากใจจริง แต่ทว่าโชคชะตาของผู้ชายคนนั้นมีอุปสรรคมากมาย ส่วนเจ้าเป็นวิญญาณที่มาจากต่างยุคต่างสมัย วิญญาณวนเวียนสิงร่างผู้อื่น เกรงว่าการที่พวกเจ้าสองคนจะได้อยู่ด้วยกันจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก” ชูเซี่ยรู้สึกสับสน “ท่านหมายความว่าต่อให้ข้ากินยาวิเศษเข้าไป หากข้าตายอีกครั้งวิญญาณของข้าก็สามารถกลับไปที่โลกปัจจุบันได้หรือเจ้าคะ” นักบวชพยักหน้า “หากกล่าวให้ถูกก้คือหากเจ้าตายจากโลกนี้ไปอีกครั้ง วิญญาณของเจ้าก็จะกลับไปที่โลกเดิมทันที ยาวิเศษจะนำทางเจ้ากลับไปที่โลกเดิมได้อย่างปลอดภัยแน่นอน” ชูเซี่ยนิ่งไป “ข้าตายแล้วก็จะกลับไปได้?” “ไม่ผิด ยามนี้อาจารย์ไม่มีอะไรที่จะต้องไปปิดบังเจ้าอีกแล้ว ที่ดวงวิญญาณของเจ้าหลุดมาอยู่ในยุคนี้ก็เป็นเพราะอาจารย์ เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจรย์เช่นกัน มีนามว่า เวินเหลียงซิ่ว นางเองก็เป็นหมอหญิงที่เชี่ยวชาญวิชาฝังเข็มทองเช่นกัน แต่ต่อมานางต้องพรากจากสามีของตนเองทุกข์ระทมอย่างยิ่งจนล้มป่วยลง ยามนั้นเวินลั่งชิงไม่มีลูกศิษย์ อาจารย์เห็นว่าวิชาฝังเข็มทองจะต้องสูญสิ้นที่รุ่นของนางแน่จึงขอร้องให้เทพโอสถนำวิญญาณของเจ้ามาที่โลกใบนี้เพื่อสืบต่อวิชาฝังเข็มทองให้คงอยู่แต่ทว่าการทำเช่นนี้ก็ทำให้โลกมนุษย์และสวรรค์วุ่นวายมากขึ้นเช่นกัน ยาวิเศษที่อาจารย์มอบให้ก็เป็นยาที่เทพโอสถเป็นผู้ทำขึ้นทั้งยังกล่าวว่าหากไม่จำเป็นจริงๆก็อย่าได้ให้เจ้าใช้ เทพโอสถก็เอ็นดูและรักเจ้าไม่แพ้อาจารย์หรอกนะ เขาเองก็อยากให้เจ้าสามารถนำวิชากาฝังเข็มนี้กลับไปโลกเดิมเพื่อให้เจ้าสืบทอดและเผยแพร่มันต่อไปให้แก่ผู้อื่นได้ เจ้าจงจำไว้เถิดว่าเทพโอสถและตัวอาจารย์เองต้องยอมฝืนชะตะสวรรค์เพียงใดเพียงเพื่อช่วยเหลือเจ้าและเพื่อส่วนรวม เจ้าก็จงอย่าได้เห็นแก่ความสัมพันธ์ชู้สาวจนหลงลืมหน้าที่ของตนเองไป” นักบวชพยายามอธิบายสั่งสอนให้นางเข้าใจในทุกๆเรื่องที่เขาปกปิดนางไว้ ชูเซี่ยถึงกับตกตะลึง แท้จริงแล้วเวินเหลียงซิ่วผู้เป็นเจ้าของเข็มทองที่นางพบบนเขาเทียนหลางก็คือตัวนางเองในอดีตชาติงั้นหรือ เพราะอย่างนี้ใช่หรือไม่ยามที่นางเห็นเข็มทองเหล่านั้นครั้งแรกจึงได้รู้สึกคุ้นเคยถึงเพียงนั้น แต่ที่นางสงสัยก็คือเทพโอสถคือผู้ใดเหตุใดนางจึงไม่เคยพบเขามาก่อน “เทพโอสถคือผู้ใดหรือเจ้าคะ” นักบวชเอ่ยตอบนาง “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่ายามที่เจ้าย้อนมายุคนี้ใหม่ๆมีเสียงกระซิบดังขึ้นอยู่ข้างหู นั่นก็คือเทพโอสถอย่างไรเล่า เขาเองก้มีส่วนช่วยเหลือเจ้าให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ยามนี้ก็ได้รับโทษทัณฑ์บนสวรรค์เช่นกัน” กล่าวจบมือหนาก็หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้นาง “นี่เป็นคำราที่เทพโอสถฝากมาให้แก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะขยันหมั่นเพียรและช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด!” ชูเซี่ยเห็นท่าทางของอาจารย์ราวกับฝากฝังสั่งลานางก็อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าขึ้นมา น้ำตาค่อยๆหยดลงมา “อาจารย์จะได้กลับมาหาข้าอีกหรือไม่เจ้าคะ” มือหนาของนักบวชวางลนบนศีรษะของนางก็ลูบเบาๆด้วยความเมตตา “เด็กโง่ ทุกครั้งที่เจ้าพบอาจารย์ก็ตอนที่เกิดเรื่องไม่ใช่หรือ เจ้าควรจะภาวนาอย่าได้พบอาจารย์แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ดีกว่าหรือไง!” ชูเซี่ยรู้สึกเสียใจ “ข้าสามารถเลือกได้เพียงทางเดียวเท่านั้นหรือเจ้าคะ” นักบวชยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะกระซิบเสียงเบา “เจ้านอนพักสักหน่อยเถิด อาจารย์จะพาเจ้าไปพบจูเก๋อหมิงเอง!” กล่าวจบเขาก็ค่อยๆเอื้อมมือไปปิดดวงตาที่ฉ่ำน้ำของนางไว้และเมื่อเอามันออกอีกครั้งชูเซี่ยก็หลับตาหายใจสม่ำเสมอ ทุกวันนี้จูเก๋อหมิงย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังน้อยของชูเซี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีเขาเองก็อยากพาเจ้าถ่านและนายท่านเหมาออกมาจากบ้านไปอยู่ที่โรงหมอ แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นไม่ยอมเขาก็ทำอะไรไม่ได้ วันนี้กว่าจะเดินทางจากโรงหมอกลับถึงบ้านก็มืดค่ำเข้าไปแล้ว ต้นเหมยที่ปลูกไว้ที่ลานกว้างก็เริ่มผลิดอกแล้วรวมถึงต้นท้อที่อยู่ข้างๆกำแพงที่เริ่มส่งกลิ่นหอมมาตามสายลมเป็นระยะๆ ในมือของชายหนุ่มถือจอกเหล้าขณะที่ร่างสูงยืนอยู่ที่ชานระเบียง สายคาคมจับจ้องไปที่ต้นเหมย กิ่งเทอะทะที่ยื่นออกมาของมันดูแปลกๆเล็กน้อยยิ่งเมื่ออยู่ในยามค่ำมืดที่มีแสงสลัวของดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาจนเกิดเงารูปร่างประหลาด ครึ่งเดือนผ่านไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่อาจลืมเลือนชูเซี่ยได้เลย หัวใจของเขาไม่อาจปล่อยวาง อีกทั้งระยะนี้หลี่เฉินเย่นก็ไม่ได้ฝากส่งจดหมายให้แก่ชูเซี่ยสักครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเข้าจะรู้อะไรบางอย่าง เขาเคยเห็นหน้าของเฉินอวี่จู๋พระชายาคนใหม่ของจวนอ๋องหนิงอานมาแล้ว หญิงสาวผู้นั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยิงหลงยิ่งนัก เขาไม่รู้ว่าหลี่เฉินเย่นจะคิดเอานางมาแทนที่ชูเซี่ยหรือไม่ แต่ทว่าหากเขาทำเช่นนั้นจริงนั่นก็เท่ากับว่าความลับที่ว่าชูเซี่ยตายไปแล้วก็จะสามารถปกปิดได้ตลอดไปไม่ใช่หรือ เพียงแค่คิดเช่นนั้นจูเก๋อหมิงก็ตื่นเต้นจนไม่อาจทนรอได้อีก ท่านหมอหนุ่มรีบเดินทางไปที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนเพื่อบอกเล่าถึงแผนการที่เขาเพิ่งคิดได้ให้แก่หลี่อวิ่นกัง “ความหมายของเจ้าคือ?” หลี่อวิ่นกังฟังแผนการของจูเก๋อหมิงแล้วก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก “เรื่องเป็นเช่นนี้ ชูเซี่ยตายมาแล้วสองรอบ พวกเราก็หาคนที่ไว้ใจได้ไปบอกแก่เฉินเย่นว่าชูเซี่ยเข้าสิงร่างของเฉินอวี่จู๋ จริงสิ ท่านก็รีบไปสืบมาก่อนเถิดว่าก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับนางบ้างหรือไม่เพื่อที่พวกเราจะได้สวมรอย” หลี่อวิ่นกังเข้าใจได้ในที่สุดแต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังยกมือปราม “แผนการของเจ้าฟังดูเข้าท่าก็จริง แต่ทว่ามันก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อย เฉินอวี่จู๋เป็นน้องสาวแท้ๆของเฉินหยวนชิ่ง นางจะยอมให้ความร่วมมืองั้นหรือ อีกอย่างเจ้าคิดจะให้ใครเป็นคนไปพูดเรื่องนี้แก่เฉินเย่นเล่า แล้วเจ้ามั่นใจมากแค่ไหนว่าเฉินเย่นจะเชื่อเรื่องเช่นนี้” จูเก๋อหมิงทำสีหน้าครุ่นคิด “พวกเราจะไปหาอ๋องเก้า จูฟางหยวน และ ท่านราชครู!” จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อ “ส่วนด้านของเฉินอวี่จู๋นั้นพวกเราก็ค่อยๆไปคุยกับนาง ข้าดูออกว่านางเองก็รักเฉินเย่น นางจะต้องเห็นด้วยกับแผนการณ์นี้แน่” หลี่อวิ่นกังไม่ใคร่สบายใจนัก “เรื่องนี้ไม่ค่อยจะดีกระมัง หากให้เฉินเย่นทราบเรื่องวิญญาณเข้าร่างก็เท่ากับว่าเราต้องบอกเขาว่าชูเซี่ยตายไปแล้วไม่ใช่หรือ” จูเก๋อหมิงหันมามองหลี่อวิ่นกัง “ตอนนี้เขาเองก็เริ่มระแคะระคายอยู่บ้างแล้วล่ะ ท่านและข้าเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าชูเซี่ยไม่อาจกลับมาได้อีกแล้วไม่ใช่หรือ ท่านรีบเข้าวังไปหาอ๋องเก้าก่อนเถิด ส่วนข้าจะไปหาเฉินเย่นและบอกเรื่องการตายของชูเซี่ย ท่านเองก็พาอ๋องเก้าและท่านราชครูไปสมทบที่นั่น ระหว่างนี้ข้าก็จะหาโอกาสพูดคุยกับเฉินอวี่จู๋เอง” หลี่อวิ่นกังคิดทบทวนหลายรอบ เมื่อเขาฟังแผนการณ์เหล่านี้ก็รู้สึกสงสารขึ้นมาแต่ทว่าเขาก็ไม่กล้าปล่อยผ่านมัน เขายังจำภาพความเจ็บปวดทรมานและทุกข์ระทมของหลี่เฉินเย่นต่อการตายของชูเซี่ยได้ไม่ลืม ในฐานะพี่ชายเข้าย่อมไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก เขาไม่อาจปล่อยให้น้องชายของตนต้องกลับไปใช้ชีวิตเช่นนั้นได้อีกแล้ว 
已经是最新一章了
加载中