ตอนที่ 107 ตายแล้วกลับมาใหม่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 107 ตายแล้วกลับมาใหม่
ต๭นที่ 107 ตายแล้วกลับมาใหม่ เมื่อทั้งคู่วางแผนกันเรียบร้อยก็แยกย้ายกันคนละทิศละทาง หลี่อวิ่นกังเข้าวังไปพบท่านราชครูและอ๋องเก้า ส่วนจูเก๋อหมิงก็ไปหาเฉินเย่นเพื่อบอกเรื่องการตายของชูเซี่ยให้เขารู้ เมื่อมาถึงหน้าจวนอ๋อง ชายหนุ่มก็หายใจลึกๆ พยายามเตรียมตัวเตรียมใจและก็พบว่ามือของตนเองชื้นเหงื่อจนเปียกไปหมด การที่จะให้เขาโกหกเฉินเย่นแม้ว่าจะทำเช่นนั้นเพราะหวังดีแต่เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี การโกหกใหญ่โตครั้งนี้จำเป็นต้องมีผู้ให้ความร่วมมือมากหน่อยจึงจะทำให้สมจริงขึ้น ต่อให้อีกฝ่ายจะมีข้อสงสัยมากมายเพียงใดสุดท้ายเขาก็จะตกหลุมในที่สุด “คุณชายจูเก๋อ?” น้ำเสียงเย็นๆที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ท่านหมอหนุ่มสะดุ้ง เมื่อหันหลังไปมองก้พบว่าเชียนซานมายืนอยู่หลัง เขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาตื่นเต้นมากเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเชียนซาน แต่ทว่านางก็มาได้จังหวะดีเยี่ยมเหลือเกิน “เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับเจ้าอยู่พอดี!” เชียนซานเห็นสีหน้าเคร่งเครียดก็รู้ว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” จูเก๋อหมิงเล่าถึงแผนการณ์ของพวกเขาให้เชียนซานฟังด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ “เรื่องระหว่างนายหญิงของเจ้ากับเฉินเย่นเจ้ารู้มากน้อยแค่ไหน” เชียนซานขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้มากนักหรอกเจ้าค่ะ สำหรับแผนนี้ข้าคิดว่าคงไม่ได้ผลหรอกเจ้าค่ะ ด้านเฉินอวี่จู๋นางอาจจะไม่ยอมก็เป็นได้ แม้ว่านางจะเป็นนางจะอ่อนโยนและสงบเสงี่ยมแต่นางก็เป็นคนมีหลักการ การที่จะให้นางสวมรอยเป็นผู้อื่นนางมีหรือจะยอม อีกอย่างเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ ข้ากลัวว่าจะมีผลกระทบต่อภายภาคหน้า” จูเก๋อหมิงเข้าใจความหวาดกลัวของนาง เขาจึงประนีประนอม “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ลองไปคุยกับเฉินอวี่จู๋ดูก่อน ข้าดูออกมานางก็ชอบพอในตัวเฉินเย่นไม่น้อย ต่อให้นางจะยอมหรือไม่ยอมก็ไม่มีทางบอกความจริงแก่เฉินเย่นแน่ เพราะนางเองก็ต้องนึกถึงความรู้สึกของเฉินเย่นเป็นสำคัญอยู่แล้ว” เชียนซานลองไตร่ตรองดูแล้ว นางก็คิดว่าบางทีแผนนี้ก็ไม่เลวนัก ตอนนี้นายหญิงตายไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ครึ่งเดือนมานี้หลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยถามถึงนายหญิงแม้แต่น้อย เชื่อว่าเขาคงต้องจับพิรุธบางอย่างได้แล้วเป็นแน่ นางจึงเอ่ย “ก็ได้ แต่ว่าท่านอย่าเพิ่งไปหาท่านอ๋องเลย คืนนี้ท่านอ๋องไปค่ายทหารพรุ่งนี้จึงจะกลับ ข้าจะลองคุยกับเฉินอวี่จู๋ดูก่อน หากนางยอมแต่โดยดีก็นับว่าเป็นเรื่องดี” จูเก๋อหมิงพยักหน้า “อืม ก็ดี หากมีข่าวอะไรรีบมาแจ้งข้าด้วย!” เชียนซานรับคำจากนั้นก็เดินจากไป จูเก๋อหมิงจิตใจยังไม่สงบนัก ชายหนุ่มลองคิดใคร่ครวญดู หากว่าท่านราชครูยอมให้การร่วมมือถึงอย่างไรเขาก็ต้องรอให้เชียนซานคุยกับด้านของเฉินอวี่จู๋เสียก่อน หากนางยินยอมจึงจะค่อยมาปรึกษากัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จะประมาทไม่ได้อีกทั้งยังไม่ได้วางแผนหารือร่วมกัน จูเก๋อหมิงกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เขาเองก็อยากรอฟังความคิดเห็นของท่านราชครูอยู่เหมือนกัน รออยู่สักพักเขาก็เห็นรถม้าของหลี่อวิ่นกังค่อยๆวิ่งมาทางเขา ท่านหมอหนุ่มก้าวไปข้างหน้าก่อนจะขึ้นรถม้า ทันทีที่หลี่อวิ่นกังเห็นหน้าเขาก็พูดขึ้นทันที “หยุดแผนการไว้ก่อน เจ้าได้พูดกับน้องข้าหรือยัง หากว่ายังก็เลื่อนไปก่อน” จูเก๋อหมิงชะงัก “ท่านราชครูไม่ยอมช่วยหรือ แม้แต่ท่านก็เกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้เชียวหรือ” หลี่อวิ่นกังส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกายแปลกๆ สีหน้าดูเหลือเชื่อ “ท่านราชครูลองคำนวนดวงชะตา อีกทั้งเขายังยืนกรานชัดเจนว่าชูเซี่ยยังไม่ตาย!” จูเก๋อหมิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา หัวใจราวกับถูกจุดประกายไปด้วยแสงไฟแห่งความหวัง “ท่านพูดจริงหรือ นางยังไม่ตาย? ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ใดกัน” หลี่อวิ่นกังส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้บอก เขาบอกแค่ว่าเร็วๆนี้” จูเก๋อหมิงถอนหายใจอย่างเสียดาย “เร็วๆนี้ มันอีกนานเพียงใดเล่า ต้องรออีกกี่วันกัน” เสียงรถม้าที่ควบไปถามพื้นถนน สายลมแรงที่พัดผ่านผ้าม่านจนพริ้วไสว แม้จะเย็นแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นหลายส่วน “หยุด...” เสียงของสารถีที่บอกให้ม้าหยุดวิ่งก่อนจะเพ่งมองไปที่ร่างๆหนึ่งที่สวมชุดนักบวชซึ่งบัดนี้ยืนขวางอยู่กลางถนน หลี่อวิ่นกังเลิกผ้าม่านขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม “หยุดรถทำไมกัน” เมื่อเขามองออกไปก้พบนักบวชผู้หนึ่งอุ้มร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนและเดินเข้ามาช้าๆ เนื่องจากแสงไฟที่มืดสลัวทำให้เขาไม่อาจเห็นคนทั้งสองนั้นได้อย่างชัดเจนเท่าใดนัก เมื่อนักบวชเข้ามาใกล้มากขึ้นก็เอ่ย “คาราวะเจิ้นหยวนอ๋อง!” หลี่อวิ่นกังมองมาที่อีกฝ่ายอย่างสงสัย “เจ้ารู้จักเปิ่นหวางด้วยหรือ” นักบวชจึงเอ่ยเสียงเบา “ย่อมรู้ ทั้งยังรู้จักคุณชายจูเก๋ออีกด้วย!” จูเก๋อหมิงมองไปที่นักบวชตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เพราะมัวแต่มองพิจารณานักบวชจึงไม่ทันได้สังเกตหญิงสาวในอ้อมกอดของเขา “ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้คือ?” “ข้าคืออาจารย์ของชูเซี่ย ที่มาพบพวกท่านครั้งนี้เพราะมีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือ!” เมื่อทั้งคู่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบโดดลงมาจากรถม้าวิ่งมาหยุดลงตรงหน้านักบวชก่อนจะก้มลงไปมองหญิงสาวในอ้อมกอด หากไม่ใช่ชูเซี่ยจะเป็นผู้ใดได้อีก ทั้งคู่เอ่ยอย่างตกตะลึง “ชูเซี่ย!!” นักบวชผู้นั้นอุ้มชูเซี่ยขึ้นไปบนรถม้าจากนั้นก็หันกลับมาพูด “ขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” จูเก๋อหมิงและหลี่อวิ่นกังได้ยินเช่นนั้นก็รีบขึ้นไปนั่งบนรถม้า เมื่อขึ้นมาบนรถจูเก๋อหมิงก็เอ่ยเสนอ “ไปที่บ้านของชูเซี่ยคุยก็แล้วกัน!” หลี่อวิ่นกังเห็นชูเซี่ยสลบไสลไม่ฟื้นก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “เพียงแค่สลบไปเท่านั้น พรุ่งนี้ก็คงจะฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะ ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพราะมีเรื่องจะขอร้องพวกท่านสองเรื่อง เรื่องแรกยามนี้ขาทั้งสองข้างของชูเซี่ยไม่อาจเดินได้ข้าจึงอยากให้ท่านหมอจูเก๋อรักษานางให้หายให้ได้ ขอสอง อย่าให้ชูเซี่ยกลับไปอยู่ข้างกายหลี่เฉินเย่นอีกเป็นอันขาด” นักบวชกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จูเก๋อหมิงนิ่งอึ้ง “เรื่องรักษาข้าไม่ขัดข้องหรอกขอรับ แต่เหตุใดจึงไม่ยอมให้นางกลับไปอยู่ข้างกายของเฉินเย่นเล่าขอรับ” นักบวชเหลือบมองที่หลี่อวิ่นกังเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ในเมื่อเจิ้นหยวนอ๋องอยู่ที่นี่ด้วยข้าเองก็ไม่อยากปิดบัง ภายภาคหน้าหลี่เฉินเย่นจะได้ขึ้นครองบัลลังก์นี่เป็นชะตาของสวรรค์ ส่วนชูเซี่ยเองนางก็เป็นวิญญาณที่มาจากต่างโลกหากนางอยู่กับหลี่เฉินเย่นก็อยู่ได้ไม่นานเพราะในท้ายที่สุดนางก็จะต้องกลับไปโลกเดิมของนางเอง กลับกันหากนางดึงดันที่จะอยู่ข้างกายหลี่เฉินเย่นต่อไปนางก็จะประสบเคราะห์ถึงแก่ชีวิตถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจช่วยนางได้อีกแล้ว หากพวกเจ้าอยากให้นางปลอดภัยจนกระทั่งได้กลับไปโลกเดิมของนางก็จงอย่าได้ปล่อยให้นางกลับไปอยู่ข้างกายของหลี่เฉินเย่นเด็ดขาด” “ไม่มีวิธีแก้ไขเลยหรือ” จูเก๋อหมิงถามขึ้นอย่างไม่สบายใจ นักบวชถอนหายใจ “ยากไม่น้อย นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคของพวกเขาทั้งสองด้วย!” หลี่อวิ่นกังและจูเก๋อหมิงจ้องมองนักบวชเบื้องหน้า ความโชคดีของคนไม่ใช่สิ่งที่เราจะสร้างขึ้นมาได้ แสดงว่าเรื่องนี้พวกเขาไม่สามารถบอกให้เฉินเย่นรู้ใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นจะบอกกับเฉินเย่นว่าอย่างไรดี ในเมื่อชูเซี่ยยังไม่ได้ตายจะให้บอกกับเฉินเย่นว่านางตายแล้วก็ไม่ได้ แต่หากเขารู้ว่านางในดวงใจยังไม่ตาย เฉินเย่นก็จะต้องออกตามหานางเป็นบ้าเป็นหลังแน่ นักบวชเอื้อมมือมาลูบผมของชูเซี่ยที่หลับไหลด้วยความเมตตา “เด็กสาวจิตใจดีงามคนน้ะชตาชีวิตน่าสงสาร เดิมทีนางและหลี่เฉินเย่นก็เป็นคู่สร้างคู่สมกัน แต่หากยังดื้อดึงอยู่ด้วยกันก็จะพบเคราะห์กรรมทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากกันหลายครั้งจนท้ายที่สุดดวงชะตาของพวกเขาก็จะขาดกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงควรให้พวกเขาห่างกันก่อนไว้เป็นดี ต่อจากนั้นสวรรค์จะลิขิตเช่นไรพวกเขาจะได้คู่กันอีกหรือไม่ก็อยู่ที่วาสนาและบุญของพวกเขาทั้งคู่” หลี่อวิ่นกังไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นคู่สร้างคู่สมเหตุใดจึงไม่อาจอยู่ด้วยกันได้เล่า เปิ่นหวางฟังดูแล้วมันขัดแย้งกันแปลกๆ” นักบวชยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิม “หากให้พูดมากกว่านี้ข้าก็จะฝืนลิขิตสวรรค์แล้วล่ะ จงจำคำพูดในวันนี้ไว้ให้ขึ้นใจ หากต้องการให้นางปลอดภัยก็อย่าได้ส่งนางกลับไปให้อยู่ข้างกายของหลี่เฉินเย่นเป็นอันขาด ส่วนด้านของหลี่เฉินเย่นนั้นข้าจะเป็นผู้จัดการเอง แผนของคุณชายจูเก๋อก็นับว่าไม่เลว เดี๋ยวข้าจะเข้าไปในความฝันของเฉินอวี่จู๋ให้นางได้เห็นความทรงจำของชูเซี่ยยามที่อยู่กับหลี่เฉินเย่นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คนอื่นจะมองว่าเป็นจริงเป็นเท็จอย่างไรแต่สำหรับหลี่เฉินเย่นแล้วให้เขาคิดว่าเป็นจริงก็พอ” จูเก๋อหมิงนิ่งงัน เขาไม่เคยบอกแผนของตนเองให้อีกฝ่ายฟังเสียหน่อย แล้วทำไมนักบวชผู้นี้จึงล่วงรู้ได้? นักบวชทิ้งสายตามองชูเซี่ยอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะโดดลงจากรถม้าทันที ทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือตกใจจนต้องเลิกผ้าม่านขึ้นมองแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของนักบวชแล้ว จูเก๋อหมิงและหลี่อวิ่นกังมองหน้ากันตาปริบๆแต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงสารถีร้องโวยวายออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ตกลงเมื่อกี้คือคนหรือผีกันแน่” หลี่อวิ่นกังเองก็พยายามระงับความตื่นกลัวในใจของตนก่อนจะเอ่ยข่มขู่สารถีข้างนอกเสียงเข้ม “เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เจ้าจงหุบปากของเจ้าให้จงดี หากว่าหลุดรอดออกไปแม้แต่ครึ่งคำ เปิ่นหวางจะประหารเจ้าเสีย!” สารถีตกใจจนใบหน้าซีดเผือดก่อนจะรีบเอ่ย “ข้าน้อยไม่เห็นอะไรเลยขอรับ ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!” หลี่อวิ่นกังสั่ง “ออกรถ!” สารถีหนุ่มรู้สึกตื่นกลัวไม่หายแม้กระทั่งมือที่ควบม้ายังสั่นสะท้านรวมไปถึงริมฝีปากที่เม้มแน่นอย่างหวาดผวา เขาควบม้าอย่างเร็วและแรงจนรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วแทบจะเหาะไปในอากาศ รถม้าวิ่งมาหยุดอยู่หน้าเรือนของชูเซี่ย หลี่อวิ่นกังช้อนร่างของชูเซี่ยขึ้นมาก่อนจะกระโดดลงมาจากรถม้า จูเก๋อหมิงก็เดินตามเข้ามาติดๆ หลี่เฉินเย่นกลับออกจากค่ายทหารในช่วงค่ำแต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้เดินทางกลับจวนในทันที จุดมุ่งหมายที่เขาเลือกจะไปก็คือสุสานคนไร้ญาติ บ่อยครั้งในเวลาค่ำคืนเขาก็มักจะมาที่นี่อยู่เสมอนับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าชูเซี่ยตายไปแล้ว เขาคิดว่าบางทีวิญญาณของนางอาจจะปรากฎกายที่นี่จึงมาเพื่อรอคอยและคาดหวังว่าจะได้พบนาง เมื่อตกค่ำแล้วสุสานคนไร้ญาติก็จะเงียบสงัดและเย็นยะเยือกน่ากลัว ลมยามค่ำคืนกำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงบนเนินเขาและเวลาออกหากินของเหล่าสัตว์ร้ายก็กำลังใกล้เข้ามา อีกาบินวนร่อนต่ำลงมาเพื่อมองหาซากศพ เสียงร้องของพวกมันฟังดูเศร้าโศกคล้ายเสียงกรีดร้องและข่มขวัญจนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าบุกรุกเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ในยามวิกาล หลี่เฉินเย่นนั่งลงท่ามกลางกองกระดูกมากมาย สายตาคมกวาดตามองไปรอบๆอย่างไม่พลาดสักหย่อมหญ้า แม้ว่าอากาศในค่ำคืนนี้จะหนาวมากแต่ชายหนุ่มก็ยังรออย่างคาดหวัง รอจนแล้วจนเล่าจนความหวังเริ่มเลือนหายไปช้าๆ ร่างสูงก็ทรุดกายลงนั่งลงบนก้อนหินอย่างสิ้นหวังในที่สุด แต่ทว่าเขาก็ยังคิดว่าหากวิญญาณของนางไม่อาจปรากฎตัวออกมาได้เขาก็จะมานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องเหงาและโดดเดี่ยว ดาวในค่ำคืนนี้ดูจะงดงามเป็นพิเศษราวกับอัญมณีเม็ดงามที่ประดับอยู่บนผืนผ้าไหมสีดำ เหล่าดวงดาวต่างกูแข่งขันกันเปร่งประกายแย่งความโดดเด่นจนกระทั่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาสำหรับการแข่งขันแล้ว มีหลายคนบอกว่าแสงอาทิตย์ของวันใหม่เป็นความหวังของใครหลายๆคนแต่ทว่าสำหรับเขา เขากลัวพระอาทิตย์ขึ้นที่สุด เพราะแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้ามาเป็นการบอกว่าเขาต้องเสียเปล่าไปอีกค่ำคืนหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆผุดลุกขึ้น รู้สึกเมื่อยขบบริเวณขาเล็กน้อย ร่างทั้งร่างเย็นจนแทบจะแข็งค้าง ใบหน้าที่ถูกลมหนาวพัดทั้งคืนจนบัดนี้แห้งผาก “หลี่เฉินเย่น!” ชายหนุ่มเพิ่งจะหยุดนิ่งและจู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นข้างหลังเขา ในเวลานี้รอบตัวมืดไปหมดมีเพียงเสียงของดาวที่ส่องประกายเด่นชัดอยู่บนนั้น รอบตัวเขาก็เงียบสงัดไม่มีเสียง แต่เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกแม้จะเบาเพียงใดเขาก็ยังได้ยินได้ไม่ยาก ชายหนุ่มค่อยๆหันกายกลับไปมอง ท่ามกลางความมืดเขาเห็นว่ามีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างนาง แม้จะเป็นเสียงของบุรุษแต่ในใจลึกๆเขาก็รู้สึกว่าคนคนนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับชูเซี่ยของเขาแน่ “ท่านเป็นใคร” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงขรึม ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าเขากลัวว่าจะทำให้เงาตรงหน้าหายไป นักบวชค่อยๆก้าวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม ด้วยระยะที่ใกล้ขึ้นทำให้หลี่เฉินเย่นเห็นว่าคนตรงหน้าคือชายหนุ่มวัยห้าสิบกว่าปีทั้งยังสวมใส่อาภรณ์ของนักบวช นักบวชผู้นั้นยืนอยู่ตรงนั้นยามที่ลมพัดมาทำให้แขนเสื้อของอีกฝ่ายพริ้วปลิวไสวมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา “ข้าคืออาจารย์ของชูเซี่ย!” นักบวชผู้นั้นเอ่ย เลือดในกายของหลี่เฉินเย่นแข็งค้าง เขาเคยได้ยินชูเซี่ยพูดถึงอาจารย์ของนางอยู่บ่อยครั้งว่าการที่นางฟื้นคืนชีพมาได้ก็เพราะได้อาจารย์ให้การช่วยเหลือ แสดงว่าครั้งนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะฟื้นคืนชีพได้ใช่หรือไม่ ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงกับพื้นก่อนเอ่ยอ้อนวอน “อาจารย์ ได้โปรดช่วยชูเซี่ยด้วยเถิด!” นักบวชเห็นชายหนุ่มทิ้งตัวคุกเข่าให้เขาก็ตกใจจนรีบไปพยุงอีกให้ลุกขึ้น “อ้า ท่านห้ามคุกเข่าให้ข้านะ อีกหน่อยท่านก็เป็นถึง... ที่ข้ามาหาท่านก็เพื่อจะให้ท่านเห็นค่าของคนที่อยู่ตรงหน้าต่างหากเล่า!” หลี่เฉินเย่นไม่เข้าใจ “อาจารย์...” “ไม่ต้องห่วงชูเซี่ยหรอก นางปลอดภัยแล้ว อีกอย่างนางเองก็อยู่ข้างกายเจ้านั่นล่ะ ไปเถิด กลับไปเจ้าก็จะเข้าใจเอง” นักบวชเอ่ยตัดบท ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นฉายแววยินดี “นางกลับมาแล้ว ท่านบอกว่านางกลับมาแล้วหรือ นางปลอดภัยแล้วหรือ” “ใช่แล้ว!” นักบวชพยักหน้าขึ้นลง ดวงตาเป็นประกายขมขื่น การโกหกคนๆหนึ่งมันเป็นบาปกรรมโดยแท้! เมื่อหลี่เฉินเย่นได้สติก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินเดิมทะยานลงจากเขาจนใบไม้และต้นไม้สั่นไหวรวมไปถึงฝูงอีกาที่ตื่นตกใจร้องดังระงม!
已经是最新一章了
加载中