ตอนที่111 ชาตินี้ไม่พบเขาอีก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่111 ชาตินี้ไม่พบเขาอีก
ต๭นที่111 ชาตินี้ไม่พบเขาอีก ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ในใจของ หลี่อวิ่นกังล้วนสั่นไหวไม่หยุด แม้ว่าเรื่องนี้ได้ถูกปกปิดมานานแล้ว แต่เพราะพระสนมที่เสียสติหลังจากลูกชายเสียชีวิตจนพูดจาเหลวไหล ได้พูดความจริงออกมา ซึ่งแม้ว่าเสด็จพ่อจะทรงแก้ข่าวลือนั้น แต่ทุกคนล้วนกระจ้างในเรื่องราวดีว่าความจริงนั้นคือฮ่องเต้นั้นทรงได้ฆ่าลูกแท้ๆของตนเอง ตอนนี้หลี่เฉินเย่นได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาต้องการพูด หรือเรียกร้อง จึงล้วนเป็นสิ่งที่ตนเองไม่อาจปฏิเสธได้ หลี่เฉินเย่นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย “หลังจากที่พี่รองได้เสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าเสด็จพ่อจะพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ของพวกเราระหว่างบิดาและบุตร แต่ทั้งต่อหน้าและลับหลังคือภาพลวงตาของบิดามีเมตตา บุตรกตัญญูฉากหนึ่ง แต่เสด็จพี่คงจะรู้ว่าสันติภาพทั้งหมด ล้วนคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนฐานของการต้องเชื่อฟัง ยิ่งไปกว่านั้นไม่สามารถมีผู้ใดที่จะเข้ามาพูดสิ่งที่ไม่ดีกับพวกเรา มิฉะนั้นจุดจบของพวกเราก็จะเหมือนกับพี่รองเช่นกัน” หลี่อวิ่นกังนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใดออกมา ถึงแม้ว่าคำพูดทั้งหมดของหลี่เฉินเย่นจะดูโหดร้าย แต่กลับคือความจริง สองสามปีมานี้เสด็จพ่อพยายามที่จะทำให้คนรู้สึกถึงความปรองดองของราชวงศ์ แต่เรื่องราวเหล่านั้นที่เกิดขึ้น ช่างโหดเหี้ยม ความอ่อนโยนเท่าใดล้วนไม่อาจลบรอยแผลในก้นบึ้งของหัวใจให้หมดไปได้ เขาไม่อยากที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ได้ผ่านไปนี้แล้ว พวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนแปลง และเอาชีวิตของน้องรองกลับคืนมาได้ เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “เสด็จน้องมีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถิด” หลี่เฉินเย่นหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมสายตาแล้วเอ่ยขึ้น “ดี งั้นข้าก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้เสด็จพ่อไม่รีบร้อนที่จะแต่งตั้งรัชทายาท หนึ่งคือทรงไม่แน่พระทัยว่าจะแต่งตั้งพี่หรือว่าน้อง สองคือกลัวอำนาจของพรรคพวกที่สนับสนุนอยู่ด้านหลังของพวกเราสบคบคิดแสวงหาผลประโยชน์ คิดหาวิธีที่จะเอาชนะคะคาน หากระหว่างพวกเราเหลือเพียงแค่หนึ่ง เขาก็อาจจะไม่กังวลสิ่งเหล่านี้ และไม่ต้องใช้แรงกายแรงใจให้พวกเราต่อสู้กันเอง ” หลี่อวิ่นกังยกคิ้วขึ้น “เจ้าวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผล แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรพวกเราพี่น้องก็ไม่สามารถต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเพื่อบัลลังก์มังกร” ความหมายในคำพูดคือเขาไม่คิดที่จะแย่งชิง หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างเศร้า ๆ “พวกเราพูดแล้วว่าไม่ต้องการ แม้ในใจของพวกเราไม่คิดที่จะสืบทอกบัลลงก์ แต่เสด็จพ่อกลับทรงเห็นว่าไม่เชื่อใจพวกเรา มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือหนึ่งในพวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องออกจากเมืองหลวงไป” หลี่อวิ่นกังงงงัน เงยหน้ามองไปยังเขา “เจ้าต้องการให้พี่จากไปหรือ” หลี่เฉินเย่นจ้องมองเขา แล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าจะเป็นคนไปเอง” หลี่อวิ่นกังมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าจะไป เจ้าจะออกไปได้อย่างไร” หลี่เฉินเย่นเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าไปไม่ได้ แต่ข้าสามารถตายได้” หลี่อวิ่นกังลุกขึ้นทันที แล้วเอ่ยตะคอกว่า “พูดจาเหลวไหล ใครอนุญาตให้เจ้าตายได้ ” หลี่เฉินเย่นยืนมือออกไปกดดันเขา เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ข้าพูดว่าแกล้งตาย เพียงท่านพี่บอกข้าว่า ชูเซี่ยอยู่ที่ใด ข้าก็จะพานางออกจากเมืองหลวงไป ถึงตอนนั้นต้องการเพียงสร้างละครฉากง่ายๆขึ้นมาสักฉาก ให้เสด็จพ่อเชื่อว่าข้าได้ตายไปแล้ว เช่นนี้เขาจึงไม่สามารถสืบสวนเสด็จแม่ และผู้คนที่อยู่รอบข้าง ” หลี่อวิ่นกังคิดถึงคูดของท่านนักบวชขึ้นมา ที่ว่าวันเวลาของหลี่เฉินเย่นหลังจากนี้คือชะตากรรมที่สวรรค์กำหนด คิดแล้วไม่ใช่ไร้จุดหมาย ถ้าหากเขาจะจากไป เพียงเป็นการหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่เกิดขึ้นเท่านั้น หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าของเขาที่ลังเล จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างโศกเศร้าว่า “เสด็จพี่สามปีก่อนนั้นพี่สะใภ้ได้เกิดภาวะคลอดบุตรยาก ช้าไปนิดเดียวไม่อาจที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ท่านเคยได้รับความทุกข์แบบนี้เช่นกัน ท่านทำใจได้ที่จะข้าหลังจากนี้มีชีวิตตกอยู่ท่ามกลางความทุกช์มรมาณเช่นนั้นหรือ ข้ารู้ดีว่า ชูเซี่ยได้เสียชีวิตเพราะฝีมือคนของท่าน เรื่องราวพวกนี้ข้าได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องราวในอดีตแก่ข้าฟังอีก แต่ตอนนี้ข้ารู้ว่า ชูเซี่ยกลับมาแล้ว ท่านรู้ดีว่านางอยู่ที่ใด ท่านโปรดบอกข้า ข้าจะพานางจากไป หลังจากนี้พวกเราล้วนจะไม่ย้อนกลับมาอีก แม่ทัพพญาอินทรีย์ และรัชทายาทอะไรนั่นข้าล้วนไม่สนใจ ” เขาพูดไปอย่างชัดเจนแล้ว ยังวางท่าทางให้ดูต่ำต้อย โดยทั้งหมดเป็นการน้ำเสียงที่ดูวิงวอนแล้ว หาก หลี่อวิ่นกังไม่ใจอ่อนก็แปลกแล้ว เพียงทุกคำในประโยคของท่านักบวชดังขึ้นในหู เขาเป็นรัชทายาทที่แท้จริง ซู่เซี่ยเป็นวิญญาณจากอีกโลก ถ้านางอยู่กับเขา มีแต่ที่จะทำให้ร้ายโดยทำร้ายอีกครั้งเท่านั้น ชูเซี่ยกับเขาคือครอบครัวที่มีชีวิตสูงส่งสง่างาม เขาจะปล่อยให้นางต้องทนทุกข์อีกครั้งได้อีกหรือ แต่ตอนนี้หากยังไม่ได้พูดกันให้เข้าใจ ไม่ช้าก็เร็วหลี่เฉินเย่นก็คงตรวจสอบอย่างชัดเจนอยู่ดี ถึงตอนนั้นกลัวว่าความเข้าใจผิดระหว่างพี่น้องของพวกเขาจะฝังรากลึกเกินไปแล้ว ชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ยังคิดว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมันแล้วกัน ตนเป็นพี่ชายเขาก็หวังที่จะเห็นน้องชายของตนนั้นมีความสุข ในเมื่อเขารู้แล้วว่า ชูเซี่ยกลับมา ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานก็คงตามหา ชูเซี่ยจนพบ ทำไมยังต้องให้เขาทนทุกข์อยู่กลับสิ่งพลิกผันมากเหล่านี้อีก เขาถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จน้องพี่จะไม่ปิดบังเจ้า จะเล่าความจริงของเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง ส่วนจะทำเช่นไร เจ้าก็ไตร่ตรองด้วยตนเองเถิดนะ” หลี่เฉินเย่นได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาก็พลันแดงก่ำ โชคดี โชคดีเหลือเกินที่เสด็จพี่ยังคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องนี้ ความจริงเขาทราบดีว่าจะต้องโหดร้าย แต่ว่าเขาต้องการเป็นคนที่มีความชัดเจน เขา เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปที่ หลี่อวิ่นกัง หลี่อวิ่นกังเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เรื่องราวต้องเริ่มจากการหายตัวไปของอานเหยียน การหายตัวไปของอานเหยียนแท้จริงแล้วทำให้พี่ว้าวุ่นใจ คิดว่าเป็นฝีมือของเจ้า เคยไปที่จวนเพื่อจัดการกับเจ้า เรื่องราวพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นมาอีก หลังจากนั้นเริ่มจากที่เจ้าได้จากไปแล้ว คนใต้บังคับบัญชาของพี่ก็กระจายอยู่ทั่วทุกมุมในเมืองหลวง รวมถึงแถบชานเมือง ซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นและจุดจบของ ชูเซี่ยในคืนนั้น องค์รักษ์ในจวนของข้าพบ ชูเซี่ยกอดอานเหยียนเอาไว้ในแม่น้ำหลิวที่ชานเมืองเข้า ตอนนั้นเนื่องจากมืดมิดลมแรงการมองเห็นจึงไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงไม่ทันเห็นว่ามีคนรีบร้อนตามนางทางด้านหลัง เพียงคิดว่านางคือคนที่ลักพาตัวอานเหยียน ลงมือทำร้ายนางและพานางกลับมาที่จวน เหตุการณ์ตอนนั้นพี่จะไม่พูดถึงแล้วกัน สุดท้ายคนของพี่ได้ลงมือสังหารนางแล้ววิ้งศพของนางไว้ที่สุสาน เรื่องราวนี้ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าได้ตรวจสอบอย่างกระจ้างแจ้งแล้วพี่ก็จะไม่ปกปิดเจ้าอีก หลังจากนั้นจูเก๋อหมิงก็รุดไปตรวจสอบที่สุสานแล้วจึงทราบถึงเรื่องนี้ และถึงมาเอ่ยกับพี่ถึงสถานะที่แท้จริงของ ชูเซี่ย พี่ถึงได้เสียใจภายหลัง ในเวลานั้นเจ้าใกล้จะแต่งงาน จึงกลัวว่าหลังบอกข่าวร้ายนี่แก่เจ้า เจ้าจะต้องต่อต้านการแต่งงานนี้ ดังนั้นหลังปรึกษากันแล้วพวกเราจึงตัดสินใจปิดปังเจ้าเอาไว้ จนถึงเมื่อวานนี้ท่านนักบวชได้ส่ง ชูเซี่ยกลับมา และกำชับพวกเราว่าต้องบอกเรื่องที่ซ่อนของ ชูเซี่ยแก่เจ้าทราบ เขาจะหาทางปกปิดเรื่องราวในอดีตเอง...” เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว หลี่เฉินเย่นก็คิดขึ้นมาทันทีว่าอยากจะพบนักบวชท่านนี้ จึงรีบอ่ยถามว่า “นักบวชท่านนั้นคือผู้ใด เขาใยถึงไม่ให้ข้ารู้ถึงที่ซ่อนของ ชูเซี่ย” หลี่อวิ่นกังเอ่ยขึ้น “เขาคืออาจารย์ของชูเซี่ย เขาพูดว่า ชูเซี่ยเป็นวิญญาณที่มาจากอีกยุคสมัยหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ มิฉะนั้นเพราะเจ้า ชูเซี่ยอาจจะต้องเจอกับสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเหลือนางได้อีกแล้ว......” หลี่เฉินเย่นพลันลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “เหลวไหล เพราะอะไรถึงอยู่กับข้าแล้วจึงจะเกิดเรื่องคาดไม่ถึงกับ ชูเซี่ย เขาช่างพูดเหลวไหลสิ้นดี” หลี่อวิ่นกังนิ่งเงียบไม่ไหวติง เพียงจ้องมองเขา รอให้เขามีสีหน้าที่สงบลงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เสด็จน้องคิดดูว่า เกิดเรื่องราวขึ้นกับ ชูเซี่ยสามสี่ครั้งล้วนเป็นเพราะเจ้ามิใช่หรือ” หลี่เฉินเย่นตกตะลึง มองตรงไปยัง หลี่อวิ่นกัง ใบหน้าค่อยๆปรากฏให้เห็นถึงความเสียใจ แม้ว่าไม่อยากที่จะยอมรับ แต่ว่าความจริงก็คือความจริงวันอย่างค่ำ หลี่อวิ่นกังถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านนักบวชได้บอกว่า นี่คือครั้งสุดท้ายแล้ว หากเกิดเรื่องกับ ชูเซี่ยขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือได้อีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าไปมาอย่างขมขื่น เอ่ยขึ้นอย่างไม่อาจที่จะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินไป “ข้าไม่เชื่อ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” “เสด็จน้องวันนี้ข้าไม่ได้ปิดปังเจ้าสักนิดเดียว ส่วนที่ว่าเจ้าต้องการจะทำอย่างไรต่อไป เจ้าก็พิจารณาด้วยตัวเองเถิด” หลี่อวิ่นกังไม่กล้าที่จะมองหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจของเขา จึงหันหน้ามองลอดผ้าผ่านออกไปด้านนอก หลี่เฉินเย่นทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ในหัวดูเหมือนว่ามีแมวที่ไม่หยุดวิ่งวนทำให้เขามีความคิดสับสนอยู่ตลอดเวลา หงุดหงิด โกรธ เศร้าโศก ยากที่จะเชื่อได้ ความรู้สึกที่หลากหลายเหล่านี้ผ่านไปในใจ จนในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ เงียบไปเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะใจเย็นลงแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ ชูเซี่ยเป็นอย่างไรบ้าง” หลี่อวิ่นกังเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนนี้นางอยู่ที่กระท่อมที่เคยอยู่มาก่อนหน้านี้ เพราะนางได้รับบาดเจ็บรุนแรง ตอนนี้จึงยังไม่หายเป็นปกติ ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ ท่านนักบวชบอกว่าต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ตอนนี้จูเก๋อหมิงก็กำลังทำการรักษาให้แก่นางอยู่ เบื้องต้นน่าจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนจึงจะเห็นผล” หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้น ก็กระวยกระวายเอ่ยถามขึ้น “นางได้รับบาดเจ็บรุนแรงเพียงใด แล้วได้สติหรือไม่” หลี่อวิ่นกังเอ่ยปลอบใจว่า “เจ้าวางใจเถิด นอกจากขาทั้งสองข้างไม่สามารถเดินเหินได้แล้ว อย่างอื่นไม่ได้มีอะไรที่รุนแรง นางยังมีสติดี ยังพูดเล่นอีกว่าหายไปเช่นนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องให้ฮ่องเต้มีความคิดที่จะต้องปลดฮองเฮาลง” หลี่อวิ่นกังเอ่ยจบ ก็มองดูไปที่หลี่เฉินเย่นอย่างมีความหมายแวบหนึ่ง แม้ว่า ชูเซี่ยจะเคยพูดเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม แต่กลับเป็นคำเตือนที่ดีต่อหลี่เฉินเย่น ฮ่องเต้การปลดฮองเฮาแล้วแต่ง ชูเซี่ยเข้าวัง ตอนนี้ ชูเซี่ยหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การปลดฮองเฮาไม่มีการพูดถึง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตระกูลฮองเฮา หลี่เฉินเย่นจึงไม่อาจเพิกเฉยได้ หลี่เฉินเย่นเงียบงันลง สองมือกุมที่ถ้วยชาลายครามสีทองเอาไว้แน่น จนเส้นเลือดปูดโปนขึ้น เขาโกรธจนหน้านิ่วคิ้วขมวดและข่มความเจ็บปวดเอาไว้ เป็นเวลานานกว่าที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความเฉียบขาด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพี่ เรื่องที่ข้ามาในวันนี้ต้องอย่าให้ผู้ใดพูดออกมาเด็ดขาด ทั้งหมดก็ทำตามที่ท่านนักบวชบอกเถิด” หลี่อวิ่นกังถินหายใจออกมา สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “มีเพียงทางนี้ ลำบากเจ้าแล้ว” หลี่เฉินเย่นยิ้มบางๆ “ข้าไม่ลำบาก นางยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว เสด็จพี่ ชูเซี่ยต้องฝากให้ท่านและจูเก๋อหมิงดูแลให้ดีแล้ว” หลี่อวิ่นกังเอ่ยรับปากขึ้น “เจ้าไม่พูด เพื่อเจ้าข้าก็ต้องดูแลนางให้ดีที่สุดอยู่แล้ว” หลี่เฉินเย่นทราบดีว่าตนต้องทำเช่นนี้เท่านั้น เดิมแม้ว่าคำพูดทั้งหมดของนักบวชจะจริงหรือไม่จริง สถานการ์ในตอนนี้ก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน แท้จริงแล้ว ชูเซี่ยไม่เหมาะที่จะปรากฏตัวออกมา ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางปลอดภัยก็คือข่าวคราวที่ดีที่สุดแล้วมิใช่หรือ หลี่อวิ่นกังออกมาส่งเขาด้วยตนเอง มองภาพด้านหลังของหลี่เฉินเย่นที่ดูโดเดียว เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ในใจช่างอ้างว้าง ทุกคนล้วนเอ่ยว่า ต้องทำตนอย่างไรให้ได้รับเกียรติและความสูงส่งจากคนในราชสำนัก แต่ใจเขาไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หากเป็นไปได้เขาอยากที่พาภรรยาและลูกจากไปจากเมืองหลวง ไปยังเขตภูเขาที่กว้างใหญ่ไพศาลทิวทัศน์สวยงาม แต่ละวันได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสงบสุข ไม่ต้องการถูกคนบงการ และไม่ต้องการบงการผู้ใดอีกแล้ว หลังแต่งงานหลี่เฉินเย่นเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาได้แสดงความสามรถด้านการปกครองของตนออกมาอย่าง มากมาย ได้รับเสียงชื่มชมยินดีจากคนทั่วทั้งราชสำนัก วันที่เจ็ดเดือนสาม เทศกาลชิงหมิงเพิ่งผ่านพ้นไป ฝนก็เพิ่งหยุดตกเช่นกัน ฮ่องเต้ทรงประชวรและไม่ได้สติต่อกันมาสามวันแล้ว ยังมีอ๋องเก้าและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่ปาง ที่ได้มีอาการป่วยพร้อมกันกับที่ฮ่องเต้ทรงประชวร หลี่ปางมีอายุเกินหกสิบปี ก่อนหน้านี้เคยป่วยมาก่อยแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงเสียชีวิต หลี่ซี่หลานชายได้รับเลือกให้เป็นรองเจ้ากรมฝ่ายการทหาร และยังมีความใกล้ชิดไปมาหาสู่กับท่าน หนิงอานอ๋องหลี่เฉินเย่น วันที่เก้าเดือนสาม ขณะที่ฮ่องเต้ทรงประชวรได้เรียกพบราชครู หารือกันอยู่ราวครึ่งชั่วยาม ในเวลาเดียวกันทางชายแดนก็ได้ส่งรายด่วนมาว่าแคว้นหนานจ้าวได้นำกองทัพขนาดใหญ่มาประชิดชายแดนและพร้อมที่จะเข้าประชิดโจมตีแคว้นเหลียง ขณะที่ทรงประชวรฮ่องเต้ได้ทรงเรียกขุนนางเข้ามาปรึกษาหารือ เรื่องการแต่งตั้งนายพลหลิวถูเป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพไปสู้ศึกกับแคว้นหนานจ้าว น้ำท่วมในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราษฎรไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูใบไม้ร่วงได้ พื้นที่มากมายจึงไม่สามารถจัดเก็บภาษีให้กับราชสำนักได้ ราชสำนักจึงไม่มีเงินสำหรับสงเคราะห์ผู้ประสบภัยได้ ในทางกลับกันสั่งการให้เจ้าหน้าในท้องที่จักต้องเก็บภาษีทั้งหมดให้ครบครัยก่อนที่จึงเดือนสี่ ในชั่วขณะนั้นก็เกิดเสียงความไม่พอใจของราษฎรเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง ราชสำนักจึงตกอยู่ในสถานการ์ที่ตึงเครียดอีกครั้ง ตอนนี้การหายไปอย่างไร้ร่องรอยของ ชูเซี่ยได้ผ่านไปสามเดือนแล้ว ฮ่องเต้เอ่ยถามราชครูจุ้ยว่า เขาเคยเอ่ยไว้ว่าภายในสามเดือน ชูเซี่ยจะปรากฏตัวขึ้น แต่ว่าตอนนี้เดือนสามได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ยังคงไม่มีที่อยู่ที่ชัดเจนของ ชูเซี่ยเช่นเดิม ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างหนัก ท่ามกลางอาการประชวร เรียกพบบขุนนางชั้นผู้ใหญ่เพื่อหารือการปลดฮองเฮาจากตำแหน่ง 
已经是最新一章了
加载中