ตอนที่ 113 เงื่อนไขการแลกเปลี่ยน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 113 เงื่อนไขการแลกเปลี่ยน
ต๭นที่ 113 เงื่อนไขการแลกเปลี่ยน เมื่อ ชูเซี่ยออกจากจวนไป ก็ถูกเชิญขึ้นรถม้า เดินทางมาถึงประตูทางเข้าวังหลวง องค์รักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูวังเห็นนาง ก็ไม่ประหลาดใจ คล้ายกับทราบรู้แล้วว่าไม่นานนางจะต้องปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเดินเข้ามาคารวะ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหมอเวิน ฮ่องเต้มีรับสั่งว่าเมื่อท่านมาถึง ให้เชิญท่านไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักเจิงหยาง ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นอย่างสุขุม “เชิญท่านองครักษ์นำทาง” องค์รักษ์นำ ชูเซี่ยเดินเข้าไปบนเส้นทางของอุทยานในพระราชวังที่คดเคี้ยว บนเส้นทางของอุทยานมีดอกไม้หลากสีที่บานสะพรั่ง ทั่วอุทยานเต็มไปด้วยดอกไม้แลละต้นหญ้าที่มีค่า สุดท้ายก็สู้กุหลาบที่แผ่เลื้อยบนมุมกำแพงที่กำลังบานสะพรั่งอย่างสวยงามต้นนั้นไม่ได้ ชูเซี่ยไม่มีกะจิตกะใจที่จะชื่นชมทิวทัศน์ ภายในหัวสับสนวุ่นวาย ในใจมีเสียงของ เฉินอวี่จู๋ที่บอกว่าตั้งครรภ์ประโยคนั้นดังก้องอยู่ภายใน เขากำลังจะเป็นบิดาแล้ว ควรที่จะเอ่ยแสดงความยินดีสินะ นางพูดสัพยอกอยู่ชั่วครู่ แล้วผมของ ชูเซี่ยกูถูกลมเย็นพัดให้ยุ่งเหยิง แถมยังทำให้จิตใจที่สับสนของตนให้กลับมาดังเดิม มุมปากแฝงฝืนยิ้มออกมา ทำทุกอย่างเพื่อหลบหนีจากวังแห่งนี้ สุดท้ายแล้ว นางก็ยังต้องกลับมายังที่แห่งนี้ด้วยตนเอง ตอนนี้นางยังมีความสามารถ ที่จะสู้กับฮ่องเต้ได้อีกหรือไม่ เขามีเพียงแผนการที่ยอดเยี่ยม นางมีบันไดปีนกำแพง ก่อนหน้านี้เขาคุกคามและบีบบังคับนาง เคยสนใจความปรารถนาของนางที่ไหนกัน ไม่มีแม้แต่ครึ่งหนึ่งของความจริงใจมอบให้ ที่แห่งนี้นางยังสามารถหาความจริงใจได้ที่ไหน วันเวลาที่นางและหลี่เฉินเย่นอยู่ด้วยกันนั้นช่างแสนสั้น แต่ว่าลึกซึ้งถึงชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางลืมเลือน เข้าวังครานี้ด้วยฐานะบางอย่างที่ถูกกำหนด นางและเขาชั่วชีวิตนี้คงไม่สามารถพบกันได้อีกแล้ว ก่อนนี้ยังมีความทรงจำบางส่วนให้ระลึกถึง เมื่อเหยียบเข้ามาในประตูวังแล้ว ความทรงจำส่วนนี้ก็เป็นดั่งขี้เถ้าที่มอดสนิท ก่อนหน้านี้ที่ ชูเซี่ยได้เข้ามาที่ประตูอุทยานเจิงหยาง ได้มีคนกราบทูลแก่ฮ่องเต้แล้ว เสี่ยวเต๋อจื่อมองนางอย่างกังวลบางอย่างก่อน ย่อกายคาวะ “บ่าวคารวะท่านหมอเวิน” ชูเซี่ยมองเสี่ยวเต๋อจื่อแล้วเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้อยู่ด้านในหรือ” เสี่ยวเต๋อจื่อพยักหน้าอย่างเงียบๆทันที โค้งตัวมาด้านหน้าแล้วเอ่ยกับ ชูเซี่ยว่า “ฮ่องเต้รอท่านอยู่นานมากแล้ว เชิญท่านหมอเวิน” ชูเซี่ยผลักประตูเข้าไป ทำให้แสดงแดดทางด้านหลังของนางทะลุเข้ามาภายในตำหนักด้วยเช่นกัน สว่างไปทั่วทั้งตำหนัก มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ส่วมใส่เสื้อผ้าสีเหลืองเป็นประกายนั่งอยู่ มือของเขากอบกุหนังสือม้วนหนึ่งเอาไว้ กำลังใจจดใจจ่ออ่านอยู่นั้น พบว่ามีคนเข้ามา เขาเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตามองไปบนร่างของ ชูเซี่ย มองพุ่งตรงไปรอบๆใบหน้าของนาง เอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน “เจ้ามาแล้วหรือ” ชูเซี่ยคุกเข่าลง “หม่อมฉัน ชูเซี่ยขอถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” ฮ่องเต้นำหนังสือวางลง สายตาที่ดุดันเพ่งไปยังนาง “เจ้าจงจำไว้ เจ้าคือ เวินหน่วน มิใช่ ชูเซี่ย” ชูเซี่ยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจในคำพูดนั้น สายตาตอบโต้อย่างไม่ตกใจกลัวสักนิดเดียว “ฝ่าบาททำไมต้องหลอกคนอื่นๆทั้งที่ท่านเองก็รู้สึกว่าไม่จริง หม่อมฉันก็คือ ชูเซี่ย แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนไม่ใช่ เวินหน่วน” ใบหน้าของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับข่มเอาไว้ไม่แสดงออกมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าคือจักรพรรดิ ข้ากล่าวว่าเจ้าคือ เวินหน่วนก็คือ เวินหน่วน” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้ นั่นข้าน้อยก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเอ่ย ทั้งหมดล้วนตามที่ฝ่าบาทพอพระทัยเถิดเพคะ” ฮ่องเต้วางหนังสือลง ก้าวเดินลงมาอยู่ด้านหน้าของนาง พลของความโหดเหี้ยมเล็กน้อยดูน่าเกรงขาม มองดูความรู้สึกบนใบหน้าของนางคล้ายสอบสวน ทันใดนั้น เขายื่นมือออกมาจับที่คางของ ชูเซี่ยทันที เอ่ยอย่างมีโทสะ “พอเกิดเรื่องกับเขา เจ้าก็รีบเข้าวัง ช่างเป็นความรู้สึกดั่งเช่นสามีภรรยาเสียจริง” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้าง “หม่อมฉันกลับมาอยู่ที่นี่สามเดือน แต่ว่าไม่เคยปรากฏตัวมาโดยตลอด แม้กระทั่งไม่เคยได้พบกับเขาสักครั้ง ฮ่องเต้ทรงทราบว่าเพราะเหตุใดหรือไม่เพคะ?” ฮ่องเต้ปล่อยมือจากนาง แต่สายตากลับดุดันเช่นเดิม “เจ้าเอ่ยว่าไม่เคยพบเลยจริงๆเช่นนั้นหรือ?” มุมปากของชูเซี่ยปรากฏรอยยิ้มที่คล้ายกลับเกียจคร้านมากมายออกมา “ข้างกายของหลี่เฉินเย่นล้วนมีสายสืบของฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา หากเขาพบกับข้าจริงๆ ฝ่าบาทก็คงหาหม่อมฉันพบตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเช่นนี้บีบให้หม่อมฉันปรากฏตัวออกมาหรอกเพคะ” ฮ่องเต้แค่ยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้านึกว่าตนเองนั้นเฉลียวฉลาดหรือ ในเมื่อเจ้าไม่ปรากฏตัวเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าจึงยอมให้เจ้าถึงตอนนี้แต่เจ้าก็ไม่มา” ชูเซี่ยยิ้มออกมา คนก็ขัดแย้งเช่นนี้แหละ เขาใช้วิธีการร้อยแปดพันเก้าที่บีบให้นางปรากฏตัวออกมา พอนางออกมาแล้ว กลับยังต้องคิดเล็กคิดน้อยถึงจุดประสงค์การมาของนาง แต่ถึงแม้ว่าในใจจะตระหนักดีว่าตอนนี้ยังมีคำพูดที่อย่างจะเอ่ยออกมา นางจึงเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งๆ ว่า “ที่หม่อมฉันมาไม่ใช่เพราะหลี่เฉินเย่น แต่คือข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเพราะหม่อมฉันก่อมันขึ้น จึงไม่ยินยอมให้ผู้ใดมารับโทษแทนตนเอง ยังจำได้อีกว่าตอนที่ ชูเซี่ยเข้าวังเพื่อรักษาอาการปวดศีรษะของฮ่องเต้ ชูเซี่ยเคยกล่าวว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งให้กับผู้ใด คำพูดนี้ไม่ได้หลอกลวง แม้ช่วงเวลาที่ข้าอยู่ในจวนอ๋อง มีความทรงจำในอดีตกลับคืนมา หม่อมฉันก็ไม่คิดที่จะอยู่ร่วมกับเขา ประจวบเหมาะกับครั้งแรกที่หม่อมฉันเกิดเรื่องขึ้นจึงได้จากไป ยังไม่เคยคิดที่จะพบเจอกับเขาอีก หากในใจของหม่อมฉันยังมีความรักและห่วงใยหลงเหลืออยู่ ฮ่องเต้คิดว่าเหตุใดหม่อมฉันจึงต้องแอบซ่อนที่อยู่ของตนไม่ให้เขาทราบละเพคะ ทุกคนล้วน หนิงอานอ๋องมีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งต่อพระชายาที่เสียชีวิตไปแล้วเพียงใด หม่อมฉันคิดว่าดูเหมือนเป็นภาระมากกว่า แท้จริงแล้วระยะเวลาที่ข้ากับเขาอยู่ร่วมกันนั้นไม่ได้นาน อย่างน้อยในใจของข้า ความรู้สึกระหว่างพวกเรายังไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นนี้ ดังนั้นข้าใช้โอการนี้จากไป เพียงคนเรากำหนดหรือจะสู้ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด ท้ายที่สุดแล้วหม่อมฉันก็ยังต้องกลับมา” คำพูดพวกนี้ พูดเหมือนกับว่ามีจิตใจที่สูงส่ง ทำให้คนยกข้อเสียออกมาไม่ได้สักนิดเดียว ฮ่องเต้เพ่งมองไปยังนาง โดยใช้แรงกดดันที่ดูบีบบังคับ เพียง ชูเซี่ยแสดงความไม่มั่นใจออกมา ฮ่องเต้ก็สามารถสังเกตเห็นได้ทุกเมื่อ จริงๆแล้วในใจของ ชูเซี่ยนั้นรู้สึกกลัวอย่างมาก เพราะนางทราบดีว่าเพียงในใจฮ่องเต้เกิดความสงสัยขึ้น โอกาสส่วนใหญ่ที่อาจจะรอดของหลี่เฉินเย่นอาจลดน้อยลง นางทำได้เพียงพยายามใช้กำลังทั้งหมดทำให้เขามองเห็นว่าตนสงบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ภายในสายตาก็ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อหลี่เฉินเย่นแม้สักนิดเดียว ถึงลำบากยากเข็ญมากเพียงใด แต่ตอนนี้นางก็ทำได้เพียงยับยั้งเอาไว้ ในสายตาของฮ่องเต้นั้นมีทั้งความเชื่อและเคลือบแครงสงสับปรากฏออกมา แต่ก็ดูคล้ายใจเย็นเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ได้คิดที่จะกำจัดลูกของตนเอง เจ้าคิดมากไปแล้ว” ในใจของ ชูเซี่ยคลายกังวลลง นางย่อกายลงแล้วเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาเพคะ” ฮ่องเต้กลับมีสีหน้าที่เข้มงวดเช่นเดิม ก่อนเอ่ยขึ้น “เพียงเจ้าไม่ได้คิดสิ่งใดกับเขา ไม่แน่ว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกต่อเจ้า” ชูเซี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “คนที่เขาชอบคือหม่อมฉันเมื่อครั้งที่เป็นหลิวฮวนหรง แต่ตอนนี้เขากับพระชายาต่างมีใจให้กัน ฉินเส้อสอดประสาน ประมาณว่าได้ทิ้งความรู้สึกตอนนั้นไปก่อนแล้ว” เดิมทีฮ่องเต้ไม่ได้มีความเชื่อ เขาก็เคยผ่านวัยหนุ่มมา เคยรักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้งความรู้สึกเช่นนั้นไม่ใช่เอ่ยปากว่าทิ้งไปแล้วจะสามารถทิ้งลงไปได้ “เจ้าพูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายที่ทำได้เสียจริง” ชูเซี่ยส่ายหน้า “เป็นเพราะพระองค์ทรงคิดซับซ้อนไปเท่านั้นเพคะ ความรู้สึกของคนเป็นเช่นนี้ ตอนแรกที่หม่อมฉันเสียชีวิตไป ในใจของท่านอ๋องคิดว่าเป็นความผิดของตน และยังเพิ่งจะรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อหม่อมฉัน จึงเป็นปกติที่ช่วงเวลานั้นไม่สามารถที่จะปล่อยไปได้ แต่ว่าตอนนี้หม่อมฉันได้กลับมาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ก็มาอยู่ในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาจึงต้องทบทวนความรู้สึกของตนใหม่อีกครั้งถึงตำแหน่งที่ถูกต้องของตนเอง หม่อมฉันทราบดีว่าในอดีตพระองค์ก็คงทรงเคยผ่านคนที่เป็นเช่นนั้น คนผู้นั้นจากไปแล้ว ดังนั้นจึงถูกจารึกอยู่ในใจของพระองค์ หม่อมฉันอยากจะถามกลับพระองค์เพียงประโยคเดียวว่า ถ้าหากคนผู้นั้นยังอยู่ พระองค์จะยังพัวพันคิดถึงภาพเหล่านั้นอยู่หรือไม่เพคะ เพราะแท้จริงแล้ว ความทรงจำและความรู้สึกที่ลึกซึ้งนั้นเหมาะที่จะลบเลือน” สายตาของฮ่องเต้ค่อยๆอ่อนโยนลง เขาครุ่นคิดชั่วครู่ จริงทีเดียวถ้าหากเจินเอ๋อร์ยังอยู่ กลัวว่าเขากับเจินเอ่อร์ก็คงไม่ได้ปฏิบัติต่อกันดังเช่นฮ่องเต้ฮองเฮา อาจจะมีความรู้สึกลึกซึ้งที่ยากจะลืมเลือนเช่นนี้เกิดขึ้นที่ไหน? เขาถอนใจเบาๆ “อาจจะเป็นเพราะเจ้าพูดได้ถูกต้อง” เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่า แม้เจ้าจะไม่ได้รู้สึกกับเขา เหตุใดไม่ยินยอมที่จะเข้าวัง เจ้าควรที่จะทราบดีว่าข้าล้วนรอเจ้ามาโดยตลอด” เหตุผล คือหนึ่งหม่อมฉันเคยเป็นลูกสะใภ้ของฮ่องเต้มาก่อน แม้ว่าหลายคนไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ว่าตัวหม่อมฉันเองล้วนกระจ่างแก่ใจดี สถานะที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ตัวหม่อมฉันเองรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สองคือ…” ฮ่องเต้งงัน ยิ้มอย่างเย็นชาทันที “ตอบได้ไร้เยื่อใยได้ดี ต่อหน้าข้ากล้าพูดความจริงออกมาเช่นนี้ เจ้าก็คงไม่ได้กลัวว่าข้าจะสั่งประหารเจ้าแล้วกระมัด?” ชูเซี่ยแบมือออก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันไม่คิดที่จะโกหกต่อพระองค์ หลังจากฟื้นกลับมาหม่อมฉันเคยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับผู้ใด” ฮ่องเต้นำมือไพล่หลังแล้ว เดินก้าวย่างกลับไปนั่งที่ที่ประทับ มองนางอย่างเป็นต่อ ก่อนเอ่ยขึ้น “แม้จะเป็นตำแหน่งฮองเฮา เจ้าไม่ตื้นเต้นสักนิดเดียวหรือ?” ชูเซี่ยรู้สึกหนักใจ คิดว่าทรงเหมือนกับฮองเฮาแม่ของตนเองทีเดียว ตอนนี้คงพูดอะไรไม่ออก ในใจของนางนั้นทุกข์ระทมอย่างยิ่ง ในคำพูดอดไม่ได้ที่จะมีความโกรธแค้นปะปนอยู่ “อดีตฮองเฮามีบุญคุณกับหม่อมฉันมากมายเหลือเกิน ตอนนี้กลับต้องการให้หม่อมฉันปล้นชิงเอาตำแหน่งฮองเฮาของนาง แม้ตายหม่อมฉันก็คงไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาดเพคะ” เข้าวังครานี้ หลักๆคือเพื่อหลี่เฉินเย่น แต่ว่า ในใจทั้งหมดของนางกลับเจ็บใจแทนฮองเฮาที่ต้องประสบเรื่องเช่นนี้ ในใจของนางนั้นได้นับถือฮองเฮาเป็นดังเช่นมารดาของตนเองไปแล้ว เมื่อพบว่าฮ่องเต้ทรงงงงัน นางจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พระองค์และฮองเฮารักใคร่เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ในใจของฮองเฮาทรงรักพระองค์อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากพระองค์ทรยศต่อความรักที่ชั่วชีวิตเช่นนี้ จะให้หม่อมฉันเชื่อถือได้อย่างไรเพคะ” ฮ่องเต้ทรงคิดย้อนไปถึงความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาหลายปีของตนและฮองเฮา พูดกันตามจริงฮองเฮานั้นแท้จริงไม่ใช่คนที่เป็นอันตราย เพียงแต่เขาปลดนางก็ใช่ว่าเพราะ ชูเซี่ยทั้งสิ้น มองเห็นว่ากำลังของตระกูลเซียวนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยหลี่เฉินเย่นก็ถูกตั้งมีความดีความชอบทางการทหารหลายครั้ง เขากลัวว่าจะอยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้นหลังจากนั้นจึงใช้โอกาสทำหนังสือแต่งตั้งหัวหน้าพรรคมังกรเหินอย่าง ชูเซี่ยขึ้น ดังนั้นจึงช่วยให้สามารถควบคุมเฟยหลงเหมือนและเหมาะที่จะลดทอนความยโสของตระกูลเซียวให้อ่อนลง สถานการ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุดของอำนาจจักรพรรดิ ก็คือฮ่องเต้ไม่แก่ องค์ชายทรงเติบใหญ่ เขาและพระโอรสล้วนต้องการที่ใช้วิธีการมากมายแต่ก็ไม่สามารถจัดการเรื่องเช่นนี้ได้ ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องที่เจ้าเข้าวังมาด้วยความจำเป็น เจ้าเองคิดว่ามีความหมายเช่นไร” ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงที่สูญเสียไทเฮา ...” ฮ่องเต้โบกมือก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูด ในเมื่อเจ้าคือหัวหน้าพรรคมังกรเหินที่ไทเฮา สอนมากับมือ การเข้าวังของเจ้าไทเฮา ไม่ได้มีความคิดเห็นอันใดด้วยซ้ำ กลับกันตระกูลเดิมของนางต่างพากันต้องการเห็นความสำเร็จนี้ ส่วนพิธีที่จัดขึ้นอาจจะน้อยเกินความเหมาะสม” ในใจของ ชูเซี่ยนั้นเศร้าโศก ไทเฮา เคยหมายความว่าเช่นนี้ที่ไหนกัน เพียงแต่ตอนนี้นางพูดแก้ตัวไม่ได้ จิตใจระแวงไปหมด นางเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น “หม่อมฉันสามารถเข้าวัง แต่หม่อมฉันมีข้อเรียกร้องสองข้อ หนึ่งคือฮองเฮาคือฮองเฮาเช่นเดิม สองก่อนที่ ชูเซี่ยยังไม่ได้มีความรู้สึกใดๆต่อฮ่องเต้ พระองค์ไม่สามารถฝืนใจหม่อนฉัน” ฮ่องเต้ตกตะลึงชั่วขณะ “เจ้าไม่ได้คิดจะสนใจตำแหน่งฮองเฮาเลยหรือ” เซี่ยส่ายหน้า “ไม่สนใจเพคะ หากหม่อนฉันทรงรักใคร่พระองค์ แม้เป็นเพียงนางในเฝ้าอยู่ข้างกายท่านก็ยินยอมแล้วเพคะ อีกอย่างคือหากหม่อมฉันไม่ได้ทรงรักใคร่พระองค์ แม้ว่าจะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้แก่หม่อมฉัน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเพคะ อีกอย่างหม่อมฉันไม่ต้องพึ่งพาใคร โดดเดี่ยวไร้ญาติมิตรฮ่องเต้ทรงปลดฮองเฮาทั้งที่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบากที่จะจัดการเช่นนี้เพื่อแต่งข้าเข้าวัง เคยคิดหรือไม่ว่าสถานการณ์ของหม่อมฉันจะเป็นเช่นไรให้ เรียกหม่อมฉันว่าฮองเฮา ในวังหลวงแห่งนี้มีผู้ใดที่จะนับถือ เพียงถูกผู้คนทั่วทุกแห่งเพ่งเล็งและใส่ร้ายป้ายสีก็มากพอแล้ว หากพระองค์รักหม่อมฉันสุดหัวใจจริง ควรที่จะกำจัดเรื่องยุ่งเหยิงใจเหล่านี้ให้แก่หม่อมฉัน” คำพูดทั้งหมดนี้ล้วนจริงอย่างยิ่ง เรียกว่าทำให้สะเทือนใจของฮ่องเต้ไม่หยุด และตัวเขาก็ทราบดีว่าการต่อสู้ในวังหลังนั้นไม่มีวันหยุดลงได้ แม้ว่า ชูเซี่ยจะเป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหิน แต่ไหนแต่ไรมาพรรคมังกรเหินไม่เคยสนใจที่จะเข้ามาอยู่ในการต่อสู้ของวังหลังเลย นางจึงสามารถรู้วสึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หากเมื่อพอนางรับตำแหน่งฮองเฮาแล้วละก็ ตระกูลเซียวก็จะต้องเพ่งเล็งมาที่นาง ถึงตอนนั้นนางคงทนกับสถานภาพที่แท้จริง ไม่ไหว ในเมื่อราชครูเอ่ยว่าเพียงนางเข้าวังก็เพียงพอแล้ว ถ้าอย่างนั้นเข้าวังเพื่อเป็นฮองเฮาหรือพระสนม ยังมีอะไรที่สำคัญอีก ก่อนหน้านี้ยืนยันต้องการให้นางเป็นฮองเฮานอกจากนี้ยังต้องการลดอำนาจของตระกูลเซียวลง สำคัญที่สุดคือนางคือหัวหน้าพรรคมังกรเหิน กลัวทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรรม นางจึงยอมตายดีกว่ายอมแพ้ เขายังจะมีวิธีการอะไรอีก ในเมื่อตัวนางล้วนไม่สนใจชื่อเสียงและฐานะ เขาทำไมต้องทำให้มีเรื่องซับซ้อนมากมายด้วย สู้ทำตามความเห็นของนางจะดีซะกว่า 
已经是最新一章了
加载中