ตอนที่ 114 ทวนเปิดเผยกับเกาทัณฑ์ลับ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 114 ทวนเปิดเผยกับเกาทัณฑ์ลับ
ต๭นที่ 114 ทวนเปิดเผยกับเกาทัณฑ์ลับ สายตาของ ชูเซี่ยเพ่งมองไปสีหน้าของฮ่องเต้อย่างนิ่งๆและใจเย็น ในใจของนางนั้นอึดอัดที่จะปล่อยหลี่เฉินเย่นไป ทุกอย่างล้วนคิดถึงเขา เขาอาจเชื่อว่าตนไม่ได้สนใจในตัวของหลี่เฉินเย่น แต่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ว่าหลี่เฉินเย่นนั้นลืมความรู้สึกที่มีต่อตนไปแล้ว ความสงสัยในใจของฮ่องเต้นั้นมีมากมาย กลัวว่าอาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายที่เชื่อ ขณะนั้นเสี่ยวเต๋อจือก็เคารพเคารพอยู่ที่นอกประตูแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท ท่าน เจิ้นหยวนอ๋องและชายาหนิงอานขอเข้าเฝ้าพะยะคะ” เมื่อซูเมื่อได้ยินการเอ่ยนามของชายาหนิงอาน ในใจของนางก็ตกตะลึงขึ้นทันที จากนั้นยิ้มเศร้าอยู่ในใจ ชายาหนิงอานไม่ใช่นางอีกต่อไปแล้ว ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้วก่อนเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ให้พวกเขารออยู่ด้านนอกตำหนัก” เสี่ยวเต๋อจือน้อมรับคำว่า “พะย่ะคะ” ชูเซี่ยจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮ่องเต้ไม่ทรงพบพวกเขาก่อนหรือเพคะ บางทีพวกเขาอาจจะมีข่าวดีมาแจ้งให้ทราบก็ได้นะเพคะ” สายตาของฮ่องเต้เพ่งตรงไปที่นาง “ข่าวดีอันใดหรือ” มุมปากของ ชูเซี่ยประดับด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม แล้วเอ่ยว่า “ได้ยินจูเก๋อหมิงเอ่ยว่า พระชายาทรงตั้งครรภ์แล้วเพคะ เข้าวังมาตอนนี้กลัวว่าจะเป็นมาร้องขอชีวิตให้กับพระสามีนะซิเพคะ” นางดูผ่อนคลาย คล้ายไม่ได้มีความอิจฉาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าการที่ชายาหนิงอานกำลังตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่งสำหรับนาง ฮ่องเต้เพ่งมองนางอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สูงว่า “ ให้เข้ามา” ประตูของพระตำนัดเปิดออก หลี่อวิ่นกังพร้อมกับชายาหนิงอาน เฉินอวี่จู๋ย่อกายเดินเข้าอย่างช้า ๆ ทั้งสองคนย่อการแสดงคารวะด้านหน้าพระพักตร์ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้เพ่งมองไปที่ เฉินอวี่จู๋ “ใยเจ้าไม่อยู่ในจวนอ๋อง เข้าวังมาเพื่อทำสิ่งใด” เฉินอวี่จู๋คุกเข่าลงอย่างสง่างาม น้ำตาเอ่อคลอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังชัดว่า “เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันและบุตรในครรภ์เข้าวังมาเพื่อขอความเห็นใจจากเสด็จพ่อ โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน ท่านอ๋องมีจิตใจที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อราชสำนักและต่อเสด็จพ่อตลอดเวลา ไม่มีทางที่จะมีใจคิดสบคบกับศัตรู ขอร้องเสด็จพ่อตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยเถิดเพคะ” เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้น จึงมีท่าทีอ่อนโยนลง แล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ลุกขึ้นแล้วค่อยว่าพูดคุยกัน” นางข้าหลวงที่ติดตามเข้ามาด้วยก็รีบเข้าไปพยุง เฉินอวี่จู๋ขึ้น เฉินอวี่จู๋ยืนอยู่ด้านข้างแสดงความเคารพแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเข้าใจเพคะ เสด็จพ่อและท่านอ๋องคือบิดาและบุตร ควรจะรู้อย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องคือคนที่สบคบกับศัตรูชายชาติหรือไม่ เกรงว่าอาจมีผู้ใดมีใจคิดใส่ความให้ร้าย ขอร้องเสด็จพ่อตรวจสอบให้ละเอียดด้วยเถิดเพคะ ” ฮ่องเต้กลับไม่ได้ตอบรับ เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้าตั้งครรภ์ได้กี่เดือนแล้วหรือ” เฉินอวี่จู๋วางมือลงไปบนหน้าท้องของตน บนใบหน้าประดับด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของความบริสุทธิ์ เอ่ยอย่างเบาๆ ว่า “ทูลเสด็จพ่อ ได้สองเดือนแล้วเพคพ” ฮ่องเต้เอ่ยตำหนิว่า “สองเดือนแล้ว ทำไมถึงไม่แจ้งเรื่องเข้ามาในวังให้ทราบกัน ” เฉินอวี่จู๋เอ่ยเบาๆ ว่า “ทูลเสด็จพ่อ เพียงเพราะบุตรในครรภ์ของหม่อมฉันไม่แข็งแรงมาโดยตลอดเพคะ รวมทั้งท่านแม่บอกว่าก่อนที่บุตรจะครบสามเดือนคือช่วงที่ไม่ควรพูด ทางที่ดีไม่ควรจะประกาศออกไปเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าอยากรอให้บุตรในครรภ์แข็งแรงดีแน่นอนแล้วค่อยประกาศออกไปเพคะ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “บุตรในครรภ์ยังไม่แน่นอน อาจเกิดสิ่งใดหรือ” เขามองไปยัง ชูเซี่ยแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นหมอ ตรวจวินิจฉัยอาการของนางหน่อยซิ” ชูเซี่ยในใจอัดแน่นด้วยความเศร้าโศก เอ่ยน้อมรับว่า “เพคะ ฝ่าบาท” เฉินอวี่จู๋เงยหน้ามอง ชูเซี่ย สายตาประหลาดใจเล็กน้อย นี่ ไม่ใช่หญิงสาวที่เพิ่งจะฉุดลากกับท่านอ๋องที่จวนเมื่อครู่หรือ เข้าวังมาได้อย่างไร ยังดีที่ระหว่างเดินนั้นด้านหลังของ ชูเซี่ยได้ปิดกั้นสายตาของฮ่องเต้ไว้ มิเช่นนั้นฮ่องเต้คงมองเห็นสายตาที่มีความประหลาดใจของ เฉินอวี่จู๋เป็นแน่ ชูเซี่ยเอ่ยเบาๆ ว่า “พระชายาเชิญประทับก่อนเพคะ” เฉินอวี่จู๋จึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง มอง ชูเซี่ยอย่างมีความกระวนกระวายบางอย่าง ในใจของ ชูเซี่ยเกิดความสงสัย แต่กลับไม่ได้แสดงออกมา นางกุมมือของ เฉินอวี่จู๋ขึ้นมา รู้สึกอย่างชัดเจนถึงการขัดขืนของ เฉินอวี่จู๋อยู่ครู่หนึ่ง มือของนางได้กดลงที่จุดชีพจรของ เฉินอวี่จู๋ ฟังเสียงของชีพจรอย่างเงียบๆ เพียงครู่เดียว ในใจของ ชูเซี่ยก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นางไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ นางเงยหน้าขึ้นมอง เฉินอวี่จู๋ เฉินอวี่จู๋ก็มองมาที่นางเช่นกัน สายตากระพริบอย่างวิงวอน ทันใดนั้น ชูเซี่ยก็เข้าใจได้ทันทีว่า เฉินอวี่จู๋กำลังใช้วิธีการของตนในการช่วยเหลือหลี่เฉินเย่น แม้นี้จะเป็นการโกหก เพียงฮ่องเต้ตามหมอหลวงมาวินิจฉัยก็สามารถทำให้ถูกเปิดเผยทันที ถึงตอนนั้นไม่เพียงช่วยเหลือหลี่เฉินเย่นไม่ได้ กลับกันยังต้อง อยู่ในการกลั่นแกล้งของฮ่องเต้อีกด้วย ตอนนั้นพูดได้ว่าหลี่เฉินเย่นอาจเกิดเรื่องขึ้น และทั้งตระกูลของเฉินหยวนชิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนต้องได้รับโทษ ด้านหลังของนางสั่นไหวร่างกายชุ่มด้วยเหงื่อ แต่สายตากลับดูสงบนิ่ง เมื่อฮ่องเต้เห็นว่านางจับชีพพรอยู่นานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย เอ่ยถามว่า “เป็นเช่นไรบ้างหรือ” ชูเซี่ยยืดกายเอ่ยตอบว่า “ทูลฝ่าบาท ความจริงแล้วชายาหนิงอานทรงตั้งครรภ์ แต่ชีพจรของนางนั้นติดขัดมานานจากจากเจ็บป่วย มีความปั่นป่วน ปรากฏชัดเจนว่าเลือดลมไม่ดี หากอยากที่จะรักษาครรภ์นี้ไว้ ต้องดูแลและระมัดระวังเป็นอย่างดีเพคะ” สายตาของ เฉินอวี่จู๋นั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง แล้วขมวดคิ้วทันที หลี่อวิ่นกังที่อยู่ด้านข้างก็มองดูอย่างเกิดข้อสงสัย เขาเพ่งมอง เฉินอวี่จู๋ ในใจนั้นเหมือนกับว่าจะเข้าใจอะไรแล้ว หลังจากนั้นก็เกิดความกลัวขึ้น ฮ่องเต้ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อพระชายาทรงตั้งครรภ์กับพระโอรสของข้า ต่อแต่นี้ก็ระมัดระวังรักษาตัวเองให้ดี เจ้าไม่ใช่ผู้มีความรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ข้าจึงไม่วางใจ ยังต้องส่งไปดูอาการเจ้า” เอ่ยจบ เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวเต๋อจือไปประกาศให้หมอหลวงชางกวนและแฟยหลงมาทำการรักษาวินิจฉัยอาการของพระชายา ” พลันสีหน้าของเฉินอวี่จู๋ก็ซีดจางลง นางรีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากหรอกเพคะ ลูกจะกลับไปดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพคะ” ชูเซี่ยก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่เชื่อความสามารถในการรักษาของหม่อมฉันหรือเพคะ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันอบอุ่น “ข้าหรือจะไม่เชื่อเจ้า เพียงแต่ร่างกายของอวี่จู๋ไม่แข็งแรง กลัวว่าเด็กในครรภ์จะไม่แข็งแรงสมบูรณ์เท่านั้น ตอนนี้ยังสามารถดูแลรักษาตั้งแต่ในครรภ์ ข้าคิดถึงอานเหยียนในตอนนั้น ยังรู้สึกวิตกกังวลแทนเลยจริง ๆ ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า” ในใจของ หลี่อวิ่นกังรู้ดีว่าเรื่องทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ ทำได้เพียงสบตากับ ชูเซี่ยอย่างเป็นกังวลแวบหนึ่ง ชูเซี่ยได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เฉินอวี่จู๋นะ เฉินอวี่จู๋ จุดเริ่มต้นของเจ้าก็ถือว่าดี แต่ความจริงแล้วฮ่องเต้ทรงหลอกลวงได้ง่ายเช่นนี้ ในเมื่อนางคิดแผนการนี้ออกมา ก็ต้องพยายามตระเตรียมตนเองมาอย่างดี ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีก็เข้าวังมาได้อย่างไร ท่านหมอหลวงชางกวนและหลงเฟยใกล้จะมาถึงแล้ว ด้านหลังของท่านหมอทั้งสองคนมีผู้ติดตามที่แบกกล่องรักษาพยาบาลตามมาด้วย เมื่อเข้ามาด้านในตำหนักก็รีบแสดงการคารวะทันที สีหน้าของ เฉินอวี่จู๋นั้นเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางเคลื่อนตัวเดินไปด้านหลังของเก้าอี้ สายตาตื่นตกใจไม่มั่นคง ฮ่องเต้จึงเกิดความสงสัย เอ่ยกับหมอหลวงทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าไปวินิจฉัยอาการของพระชายา” เขาตั้งใจที่จะไม่เอ่ยปากว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์ รอเพียงให้ทั้งสองวินิจฉัยอาการ ชูเซี่ยร้อนใจอยู่อย่างเงียบๆ แต่ว่าหมดหนทางที่จะเอ่ยตักเตือน แม้จะสามารถตักเตือนได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็คือหมอหลวงในวังหลวง เป็นคนของฮ่องเต้ จะช่วยนางได้อย่างไร นางยืนมืออกไปเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาที่ตรงหน้าผาก รีบร้อนมองไปยัง หลี่อวิ่นกังแวบหนึ่งอย่างเงียบๆ หลี่อวิ่นกังที่ยืนดูด้านข้าง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเลย แม้ใบหน้าจะแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ แต่ในสายตาก็ฉายออกมาให้เห็นว่ากระวนกระวายใจ หมอหลวงชางกวนตรงเข้าหา เฉินอวี่จู๋ “พระชายา ขอประทานอภัยพะย่ะคะ ”เขานำสายสีแดงวางลงบนข้อมือของ เฉินอวี่จู๋ หลังจากนั้นมือก็กดขึ้นลงเบาเบาบนสายสีแดง ขมวดคิ้วแลดูตั้งใจในการจับชีพจร ที่บนหน้าผากของ เฉินอวี่จู๋มีเหงื่อไหลซึมออกมา นางผวาตกใจและกระวนกระวายมองไปยังหมอหลวงชางกวน บนใบหน้าของหมอหลวงชางกวนนั้นไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมาให้เห็นเลย เพียงตั้งใจฟังเสียงชีพจร ในพระตำหนักนั้นเงียบเชียบ ชูเซี่ยยืนอยู่ด้านข้างฝ่ามือมีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ในใจวังเวงดูคล้ายสีเทาของเถ้าถ่าน ความเป็นความตายของจวนอ๋อง ตอนนี้ล้วนวางอยู่ในมือของหมอหลวงชางกวน ถ้าจะได้รับโทษจากการโกหกหลอกลวงกษัตริย์ แต่ฮ่องเต้มีใจที่จะปล่อยตัวหลี่เฉินเย่น ก็ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวมากล่าวได้เช่นกัน เรื่องราวทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ จึงไม่ง่ายที่จะสามารถเสแสร้งได้ “เป็นอย่างไร” เสียงของฮ่องเต้นั้นทำลายความเงียบที่มีในพระตำหนัก น้ำเสียงนั้นทั้งน่าเกรงขามและดูผิดปรกติ เรียกว่าทำให้ในใจของ ชูเซี่ยนั้นมีความกังวลขึ้นมาทันที หมอหลวงชางกวนชักมือกลับไป ก้มศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาม ชีพจรของชายาหนิงอานนั้น...” เมื่อถึงตรงนี้หมอหลวงชางกวนจึงหยุดมือชั่วคราว เมื่อหยุดลงขาทั้งสองข้างของ เฉินอวี่จู๋ก็อ่อนแรงลง ร่างกายทั้งหมดล้วนเกือบจะล้มลงไป จากนั้น ชูเซี่ยจ้องมองไปยังหมอหลวงชางกวน สายตาของหมอหลวงชางกวนนั้นดูเหมือนจะกวาดมองทั่วใบหน้าของนางไปมาอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทพะย่ะคะ ฝ่าบาททรงกำลังจะได้เป็นเสด็จปู่ แต่ว่า....” ชูเซี่ยค่อย ๆ คลายมือที่กำแน่นไว้นั้นลง สายตากระจ่างใส นางไม่กล้าที่จะแสดงสิ่งใดออกมา ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง เฉินอวี่จู๋ก็คล้ายกับโล่งใจลง ร่างกายของนางสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เพราะตื่นกลัวมากเกินไปจึงทำให้ร่างกายเกร็งตัวอย่างหนัก ตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายลง แต่เม็ดเหงื่อบนหน้าผากกลับยังไหลซึมออกมา ฮ่องเต้มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “เพียงแต่อะไร” หมอหลวงชางกวนเอ่ยว่า “แต่ชีพจรของพระชายานั้นค่อนข้างอ่อนแอ อีกทั้งพระชายามีอาการใจสั่นและเหงืออกได้ง่าย กลัวว่าจะมีผลกับสัญญานการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ จำเป็นต้องทำใจให้สงบก่อนที่จะทำการรักษา” หลี่อวิ่นกังแอบปาดเหงื่ออยู่อย่างเงียบๆ เอ่ยว่า “เกิดเรื่องขึ้นเสด็จน้องสะใภ้อยู่ที่ใดจึงจะสามารถสงบใจได้ ตนก็วิตกกังวลตกใจทั้งวันทั้งคืน ท่านหมอพูดเช่นนี้ กลับสองคล้องกับสถานการณ์ ” ฮ่องเต้ส่งเสียงออกมา สายตามองกลับไปที่หลงเฟยแล้วเอ่ยว่า “หลงเฟย เจ้าไปวัดชีพจรให้กับพระชายา” เมื่อหมอหลวงชางกวนพูดออกมาเช่นนี้ หลงเฟยคือน้องชายของหมอหลวงชางกวน ชูเซี่ยจึงเชื่ออย่างมากว่าเขาจะไม่ล้มหมากบนกระดานของอาจารย์ ดังนั้นขณะที่หลงเฟยจับชีพจรนั้น นางจึงค่อนข้างวางใจ เป็นอย่างที่หลงเฟยเคยพูดไว้กับท่านหมอหลวงชางกวนไว้ ฮ่องเต้เพิ่งหมดสิ้นข้อสงสัยที่มีนี้ไป แม้ ชูเซี่ยก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ฮ่องเต้ไม่ได้พูดว่า เฉินอวี่จู๋นั้นกำลังตั้งครรภ์ เพียงรับสั่งให้พวกเขามาวินิจฉัยอาการป่วย และ เฉินอวี่จู๋ไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่อย่างชัดเจน พวกเขาทั้งสองพูดเช่นนี้ออกมามีสาเหตุมาจากอะไรกัน สายตาของนางเพ่งลงไปมองใบหน้าของเสี่ยวเต๋อจือที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางเห็นว่าสีหน้าของเขานั้นแสดงความรู้สึกออกมาดูอย่างเป็นธรรมชาติ ในใจของนางจึงเข้าใจแล้ว เสี่ยวเต๋อจือคือคนของหลี่เฉินเย่นมาตลอด เมื่อครู่เขาเพิ่งจะเป็นคนไปเชิญหมอหลวงมาด้วยตนเอง ตอนระหว่างที่เดินทางมาคงจะพูดกับหมอหลวงทั้งสองท่านมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่หมอหลวงทั้งสองท่านจะไม่ได้สนิทสนมกับหลี่เฉินเย่น ทำไมจึงยอมเอาหัวบนบ่ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเขากัน เรื่องจริงนี้ยังต้องเรียกเขามาอธิบาย ฮ่องเต้ได้ขจัดข้อสงสัยไปหมดสิ้นแล้ว แม้ว่าเขาอำนาจในใจกลับยังไม่ได้คิดว่าไม่ใช่ความรู้สึกรักสักนิดเดียว บุตรในครรภ์ของ เฉินอวี่จู๋ผู้นี้ คือหลานของเขา เขาก็ยังรอคอยที่จะต้อนรับชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดมานี้อย่างยิ่ง เขาเอ่ยต่อ เฉินอวี่จู๋ว่า “อืม คำพูดทั้งหมดของหมอหลวงเจ้าล้วนได้ยินแล้ว จะต้องระมัดระวังดูแลร่างกายให้ดี ส่วนเรื่องของเฉินเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลใจ ข้าจะด้วยสอบให้ชัดเจนด้วยตนเอง หากมีหลักฐานยืนยันจริงว่าถูกคนใส่ความให้ร้าย ตัวข้าก็ยังสามารถให้ความบริสุทธิ์แก่เขา” ในใจของ ชูเซี่ยเหมือนมีก้อนหินตกลงมาทับ แต่สีหน้าของนางนั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมาเลย ตอนที่ได้ยินรับสั่งของฮ่องเต้ ก็ทำได้เพียงยืนกุมมือมองดูอยู่อย่างเงียบๆ แต่ เฉินอวี่จู๋กลับล้มคุกเข่าลงร้องไห้อยู่บนพื้น “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ” หลี่อวิ่นกังก้มตัวลงแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อมีสายตาเฉียบที่แหลมยิ่งนัก สามารถค้นหาความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ น้องสะใภ้ความกังวลในตอนนี้ของเจ้าอาจมีมากเกินไป เฉินเย่นคือ หนิงอานอ๋อง แม่ทัพพญาอินทรีย์ที่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อสั่งคุมขังเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นพูดกันว่าเสด็จพ่อปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ว่าเจ้ารู้ดีว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ กลับยังเข้าวังทำเอาเรื่องราววุ่นวาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เรียกว่าส่งผลดีต่อเฉินเย่นหรือ ” ฮ่องเต้ทรงเสียงตอบรับ “คำพูดของพี่ชายเจ้าดูมีเหตุมีผล อวิ่นกัง เจ้ารับผิดชอบอารักขาอวี่จู๋กลับจวน หมอหลวงหมิงก็จัดการดูแลให้ดีๆด้วยละ” “รับด้วยเกล้าพะย่ะคะ” หลี่อวิ่นกังเอ่ยตอบ หลี่อวิ่นกังเงยหน้าขึ้นมอง ชูเซี่ยแวบหนึ่ง เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านนี่ ก็คือท่านหมอเวินหรือ” ชูเซี่ยลุกจากที่นั่งและโค้งตัวแสดงคาระ “กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋อง” หลี่อวิ่นกังส่งเสียงอืมขึ้น “ท่านหมอเวินไม่ต้องมากพิธี ได้ยินชื่อเสียงเลื่อมใสมานาน ก่อนหน้านี้เคยพบท่านหมอเวินที่หน้าประตูวัง คิดว่าล้วนน่าจะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาหลายเดือนก่อนหน้านี้” เมื่อ เฉินอวี่จู๋ได้ฟังคำพูดนี้ ก็มอง หลี่อวิ่นกังอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ชูเซี่ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว หลานอานเหยียนสบายดีหรือไม่” หลี่อวิ่นกังเอ่ยว่า “สาบยดี ท่านหมออย่าได้กังวล ” เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยว่า “พูดไปแล้ว ช่วงนี้อานเหยียนก็ไม่ได้เข้ามาในวัง วันข้างหน้าเจ้ามีเวลาก็พาพระชายาและลูกมาเข้าเฝ้าข้าด้วยกันเถิด ” ในใจลึกๆ ของหลี่อวิ่นกัง ตั้งแต่ครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นกับอานเหยียน เขาก็ไม่เคยพาอานเหยียนเข้ามาในวังอีกเลย แม้ว่าตอนนี้จะฟังไม่รู้ว่าเขามีความหมายอย่างอื่นหรือไม่ แต่ว่ากระจกสะท้อนของรถคันหน้า ในใจของเขาเริ่มรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อยเสียแล้ว แต่ว่าบนใบหน้ากลับยังคงมีรอยยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “อานเหยียนก็ทรงคิดถึงเสด็จปู่เช่นกัน ไม่กี่วันที่แล้วยังพูดคุยถึงอยู่เลยพะย่ะคะ ลูกจะรีบหาวันพาเขาเข้าวังพะย่ะคะ” มุมปากของฮ่องเต้ประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน แล้วจึงเอ่ยว่า “อืม ไปเถิด” หลี่อวิ่นกังและ เฉินอวี่จู๋ย่อกายคารวะแล้วเอ่ยขอตัวลา
已经是最新一章了
加载中