ตอนที่ 121 โดนแย้งกัด   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 121 โดนแย้งกัด
ต๭นที่ 121 โดนแย้งกัด ตอนนั้นเองที่ฉ่ายเจวียนและยู่ซวงเดินเข้ามาภายในห้องโถงด้านในด้วยสภาพการแต่งหายไม่เรียบร้อย ใบหน้างดงามดวงตาแดงก่ำบวมช้ำแต่ปราศจากน้ำตา เมื่อเห็นว่าเหล่าองครักษ์จากไปโดยพูดไม่จา พวกนางก็รู้ว่าบัดนี้ฮองเฮาทรงปลอดภัยแล้ว ฉ่ายเจวียนและยู่ซวงคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ “พวกหม่อมฉันมาช้า ฮองเฮาโปรดลงอาญาด้วยเพคะ!” พวกนางทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าเฉียวหลิงนำเรื่องของพวกนางมาบอกแก่ฮองเฮาให้ทรงทราบแล้ว แต่พวกนางเกรงว่าฮองเฮาจะทรงเสียพระทัยจึงเช็ดน้ำตาออกจนหมดจึงจะมาเข้าเฝ้าฮองเฮา ฮองเฮาทรงรู้สึกโศกเศร้าเสียพระทัยขึ้นมา สาวใช้สองคนนี้ของพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างพระองค์มาตลอดทั้งยังจงรักภักดีฉลาดหลักแหลม พระองค์ยังทรงคิดมาตลอดว่าปีหน้าจะทรงหาครอบครัวดีๆให้พวกนางออกเรือนใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต้องเป็นข้าหลวงไปตลอดชีวิต แต่มาบัดนี้เพียงเพื่อพระองค์แล้วพวกนางกลับยอมสละความบริสุทธิ์ของตนเอง อีกหน่อยต่อให้หาครอบครัวดีๆได้จริงๆเรื่องในวันนี้ก็จะกลายเป็นตราบาปที่ตามติดพวกนางไปตลอดชีวิตอยู่ดี หรงเฟยเองก็รู้สลึกสลดใจและเวทนายิ่งนัก นางเดินไปข้างหน้าพยุงร่างของฉ่ายเจวียนและยู่ซวงให้ลุกขึ้นพลางเอ่ย “ลำบากพวกเจ้าแล้ว!” จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอีก “ลุกขึ้นเถิด นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องตั้งสติอยู่ตลอดเวลาเพื่อดูแลนายของพวกเจ้าให้จงดีหากว่ามีเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีกให้พวกเจ้ารีบมาแจ้งแก่ข้าหรือหวงกุ้ยเฟยเข้าใจ!” “เพคะ!” พวกนางทั้งสองคนต่างรับคำอย่างหนักแน่น ฉายหยวนและยู่ซวงต่างลอบสบสายตากัน ฟังจากคำพูดของหรงเฟยแสดงว่าฮองเฮาทรงทราบเรื่องที่พวกนางต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้แล้วสินะ ถึงแม้ว่าจะเป็นความสมัครใจของพวกนางเองแต่ทว่ามันก็นับเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและโหดร้ายที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเมื่อครู่ยามนี้กลับถูกคำพูดของหรงเฟยสะกิดให้ไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป ในยามนี้น้ำตาแห่งความโศกเศร้าต่างก็เอ่อล้นในดวงตาของทุกคนในห้อง ในตอนนั้นเองที่ชูเซี่ยเดินเข้ามาภายใน หญิงสาวปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ ในมือของนางถือดาบไว้เล่มหนึ่ง ตัวดาบอาบไล้ไปด้วยคราบเลือด จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “กลืนน้ำตากลับไปให้หมด ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งร้องไห้นะ!” ฮองเฮาทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรนาง “เจ้าช่วยเราไว้ เราชอบคุณเจ้าเหลือเกิน แต่ทว่าเจ้าอาจจะมีปัญหาตามมาได้นะ เราไม่อยากทำให้เจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วยเลย” ชูเซี่ยทิ้งดาบในมือลงพื้นจนเกิดเสียงดัง หรงเฟยอดถามขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้ “เจ้าฆ่าคนพวกนั้นหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ใช่หรอกเพคะ นี่เป็นเลือดของเหยียนเจินเจินต่างหากเล่า!” ตอนที่นางกลับมายังตำหนัก หญิงสาวแอบใช้อาวุธลอบทำร้ายเหยียนเจินเจินจากหลังต้นไม้จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาหนีออกมาทำให้เหยียนเจินเจินไม่อาจมองเห็นได้ชัดว่าผู้ใดเป็นคนลอบทำร้ายเขา นางหันกลับไปกล่าวกับนางกำนัลทั้งสอง “พรุ่งนี้พวกเจ้าสองคนจงไปปล่อยข่าวลือว่าเราเป็นคนทำร้ายร่างกายเหยียนเจินเจินเอง และพวกเจ้าสองคนจะต้องเป็นพยานว่าเห็นเจ้าสารเลวนั่นลวนลามเรา!” พวกนางทั้งคู่ตะลึงงันอยู่เช่นนั้นไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ชั่วครู่ หรงเฟยเองก็ตะลึงไปด้วย นางอดเอ่ยถามไม่ได้ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” ชูเซี่ยยิ้มขมขื่นออกมา “ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เหยียนเจินเจินจ้างวานมา ยามนี้ในพระตำหนักของฮองเฮายังหาตัวการออกมาไม่ได้เขาจะต้องถูกฝ่าบาทลงอาญาแน่ ยิ่งถ้าหากมีข่าวลือนี้เล็ดลอดออกไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จพระองค์ก็ย่อมต้องคิดว่าเป็นฝีมือของเหยียนเจินเจินจริงๆแน่ เขาเป็นคนที่ทำงานให้แก่ฮ่องเต้โดยตรงไม่มีผู้ใดรู้เห็น หากว่ายามนี้เกิดมีปัญหากับคนในวังหลังมากมายย่อมไม่มีใครกล้ายื่นมือช่วยเหลือเขาแน่ เราจึงต้องช่วยโอกาสนี้ปลดเขาออกให้ได้ หรงเฟยพรุ่งนี้ท่านก็ไปพบหลิงกุ้ยเฟยให้พระนางช่วยแนะนำจูฟางหยวนซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของอดีตแม่ทัพจูให้แก่ฝ่าบาท ให้พระองค์ทรงรับเขาเข้ามาทำหน้าที่บัญชากองทัพทหาร!” “จูฟางหยวน? เรื่องนี้ให้เราไปเข้าเฝ้าทูลแก่ฝ่าบาทเองก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจะต้องให้หลิงกุ้ยเฟยไปทูลแก่ฝ่าบาทด้วยเล่า นางไม่มีทางช่วยเหลือเราแน่” หรงเฟยเข้าใจจุดประสงค์ของชูเซี่ยดี ยามนี้หญิงสาวกำลังรวบรวมกองกำลังฝ่ายในของนางเอง แต่ทว่าหญิงสาวอย่างหลิงกุ้ยเฟยเย่อหยิ่งทระนงตัว ผู้หญิงเช่นนั้นไม่แน่ว่าจะยอมให้ความร่วมมือแก่ฮองเฮา ชูเซี่ยเอ่ยปากบอกเหตุผลของนาง “จำเป็นต้องเป็นนางเพราะนางและจูฟางหยวนไม่เคยรู้จักกันและอีกอย่างพวกเขาทั้งคู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง” นางย่างกลายเข้ามาใกล้หรงเฟยก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูจากนั้นก็ถอยออกมา “ท่านทำตามคำพูดที่ข้ากล่าวออกไปเมื่อครู่ นางจะต้องยอมเสนอชื่อของจูฟางหยวนแก่ฝ่าบาทแน่!” หรงเฟยนิ่งงันไป “ทำเช่นนี้จะดีหรือ เจ้าไม่กลัวว่านี่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร” ชูเซี่ยยิ้มเย็น “เรื่องมาจนถึงบัดนี้แล้วข้าเองก็ถึงที่สุดแล้วจริงๆ พระองค์ข่มเหงรังแกภรรยาของพระองค์เองได้ลงคอทั้งยังกดขี่ใส่ความท่านอ๋อง หากข้าทนต่อไปได้ก็เกรงว่าคนของพรรคมังกรเหินก็คงไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว!” หรงเฟยนึกถึงแสนยานุภาพพรรคมังกรเหินขึ้นมาได้ดวงตาก็ทอประกายแห่งความหวังขึ้นมาราวกับว่านางหาหนทางอยู่รอดได้แล้ว “เจ้าจะใช้อำนาจของหัวหน้าพรรคมังกรเหินในการต่อต้านอำนาจของฮ่องเต้ใช่หรือไม่” ชูเซี่ยส่ายศีรษะ “สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในวังวนแห่งอำนาจ การกดดันและการต่อต้านรังแต่จะทำให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมากกว่าเดิม” ยามที่ฮ่องเต้เชื่ออยู่เต็มพระทัยว่าพระองค์กลายเป็นอมตะไปแล้ว ดังนั้นพระองค์จึงไม่คิดจะมอบตำแหน่งบัลลังก์ให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้นต่อให้ต้องตายก็จะต้องกอดบัลลังก์ไว้ไม่ยอมยกมันให้ใครหน้าไหนแน่ ชูเซี่ยคิดแล้วก็อดตกใจระคนสมเพชเวทนาไม่ได้ เหตุใดบิดาที่ประเสริฐเมื่อสามปีก่อนจึงกลายเป็นคนบ้าโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้กันนะ แม้แต่ลูกแท้ๆสายเลือดเดียวกันยังทำร้ายได้ลง กระทั่งภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายังหักหลังนางได้ ทำร้ายผู้คนมากมายนับไม่ถ้วยเพื่อให้ตัวเองได้อยู่จุดสูงสุดของมหาอำนาจ ทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันสุดท้ายแล้วก็ยิ่งสูงยิ่งหนาวไม่ใช่หรือ! ฮองเฮายามนี้ทรงเรียกคืนสติและเริ่มเด็ดขาดขึ้นมาบ้างแล้ว พระองค์หันมาตรัสกับเสี่ยวเจิงจื่อเสียงเรียบ “พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงไปออกนอกวังไปหาอัครมหาเสนาบดีเซียวให้เขาอดทนใจเย็นไว้ก่อนและอีกอย่างให้คนของบ้านเราอย่าได้ผลีผลามและเตรียมตัวต้อนรับและจัดงานเลี้ยงให้แก่กองทัพทหารที่คว้าชัยชนะกลับมาก็พอ” ชูเซี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ศัตรูไม่เคลื่อนที่ข้าไม่เคลื่อนไหว ยามนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรเคลื่อนไหวอย่างไรก็รังแต่จะเป็นการทำให้ฝ่าบาททรงระแวงพระทัยเปล่าๆ สู้ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไรแล้วรอโอกาสดีๆที่จะลงมือดีกว่าเจ้าค่ะ” ฮองเฮาทรงลุกขึ้นและปาดพระอัสสุชลจนแห้ง ยามนี้พระองค์กลายเป็นฮองเฮาที่ทรงมีพระทัยหนักแน่นเช่นเดิมแล้ว พระองค์เอื้อมพระหัตถ์ไปจับมือของฉ่ายเจวียนและยู่ซวงไว้ก่อนจะตรัสอย่างหนักแน่น “เรื่องที่พวกเจ้าทำเพื่อเรามาตลอด เราล้วนจดจำไว้ไม่เคยลืม จากนี้ไปตราบใดที่เรามีชีวิตอยู่เราก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าต้องพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายอีกเป็นอันขาด เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เราจะทำทุกอย่างเพื่อปิดให้เงียบที่สุดจะไม่ยอมให้เรื่องที่พวกเจ้าถูกข่มเหงหลุดรอดออกไปได้เด็ดขาด!” ฉ่ายเจวียนและยู่ซวงคุกเข่าเอาศีรษะโขกกับพื้นหลายครั้งจากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมอง “ได้มีโอกาสรับใช้พระองค์พวกหม่อมฉันก็รู้สึกทราบซึ้งยิ่งแล้วเพคะ พวกหม่อมฉันไม่เคยผิดหวังเสียใจ ขอแค่พระองค์อยู่รอดพ้นจากทุกข์ภัยต่อให้พวกหม่อมฉันต้องตายก็ตายได้อย่างคุ้มค่าเพคะ!” “ประเสริฐนัก!” หรงเฟยเอ่ยอย่างชื่นชม นางหันมาหาฮองเฮา “ฮองเฮาเพคะ ภายในวังหลังที่ใหญ่โตกว้างขวางแห่งนี้ การที่พระองค์ได้พบคนที่ซื่อสัตย์และยอมเสียสละเพื่อพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ทำให้ข้ารู้สึกยินดีและอิจฉาพระองค์ยิ่งนัก พรุ่งนี้พวกเราก็จะเริ่มดำเนินเรื่องตามแผนการในวันนี้ทันที!” เมื่อหรงเฟยกล่าวจบนางก็เดินไปอุ้มอานเหยียนมาไว้ในอ้อมกอดและทูลลา ฮองเฮาทรงรับสั่งให้ทุกคนถอยออกไปจนหมดเหลือไว้เพียงชูเซี่ยเพียงผู้เดียว เมื่อทรงอยู่ต่อหน้าชูเซี่ยพระองค์ก็ไม่คิดจะปกปิดสีพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความเศร้าพระทัยอีก พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไป รั้งร่างของชูเซี่ยให้มานั่งเคียงข้างก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เด็กน้อย น้ำโคลนบ่อนี้หากเจ้าก้าวลงมาแล้วมันจะทำให้ขาของเจ้าแปดเปื้อนยากจะล้างออกหรือถอยกลับได้อีก เราอยากให้เจ้าคิดทบทวนให้ดี หากเจ้าอยากจะถอนตัวและหนีออกจากวังหลวงเรายังสามารถช่วยเจ้าได้ ลูกเฉินเย่นของเราสามารถละทิ้งทุกอย่างได้เพื่อเจ้า พวกเจ้าสามารถออกไปใช้ชีวิตข้างนอกได้อย่างมีความสุข ในชีวิตของเราสุขสบายและรุ่งโรจน์มาตลอดไม่ว่าอะไรก็สามารถไขว่คว้างมาอยู่ในกำมือได้ ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เรากังวลได้อีกแล้วนอกจากเรื่องของเฉินเย่น ณ ตอนนี้เรายอมทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเจ้าสามารถหนีออกไปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง” ชูเซี่ยนางรับรู้แล้วเข้าใจจุดประสงค์ของฮองเฮาว่าพระองค์พร้อมจะแลกชีวิตของตนเพื่อช่วยให้นางหนีออกจากวังและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเฉินเย่น ใบหน้าของชูเซี่ยพราวไปด้วยรอยยิ้มซาบซึ้ง ดวงตาของนางพร่าไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาขณะที่จับจ้องไปที่พระพักตร์ของฮองเฮา มือบางเอื้อมไปเช็ดพระอัสสชุลให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่ ท่านมีคนที่ท่านอยากจะปกป้อง ข้าและเฉินเย่นก็มีคนที่ปวกเราอยากปกป้องด้วยชีวิตเช่นกัน คนที่ท่านต้องการปกป้องก็คือพวกเรา ส่วนคนที่พวกเราต้องการปกป้องก็คือท่าน พวกเราไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นขอเพียงแค่ท่านสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอยู่เย็นเป็นสุขเท่านั้น!” ฮองเฮาทรงกรรแสงออกมาอย่างสะอึกสะอื้นเพราะชูเซี่ยเรียกนางว่าท่านแม่ พระองค์ทรงโอบร่างของชูเซี่ยเข้ามาในอ้อมพระกร “เด็กน้อย แต่การทำเช่นนี้จะทำให้เจ้าลำบากไม่น้อยเลยนะ!” ชูเซี่ยกอดฮองเฮาไว้แน่นจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านแม่ ต่อให้ลำบากก็คงไม่ลำบากไปกว่าตอนนี้ที่เราเป็นอยู่อีกแล้วเจ้าค่ะ ท่านจะต้องเชื่อมั่นในตัวพวกข้า เชื่อว่าพวกข้าจะต้องสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องทนเช่นนี้ตลอดไปแน่ อีกอย่างต่อให้ท่านยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยให้ข้ากับเฉินเย่นได้หนีไป ท่านคิดจริงหรือว่าพวกข้าจะมีความสุขได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใต้หล้านี้อยู่ในกำมือของฮ่องเต้พวกเราจะหนีไปที่ใดได้เล่า สู้ปล่อยวางชั่วคราวเสียดีกว่าจะต้องดิ้นรนหาที่ซ่อนไปวันๆนะเจ้าคะ” ฮองเฮาทรงเป็นหญิงสาวที่มีพระทัยเข้มแข็งเสมอและหาใช่สตรีที่ขี้ขลาด หากจะดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดก็ควรทำตามแนะนำของชูเซี่ย ยอมปล่อยวางก่อนชั่วคราว ทรงปาดพระอัสสุชลทิ้งจากนั้นก็โอบไหล่ของชูเซี่ยไว้ “ได้ แม่จะเชื่อฟังคำพูดของเจ้า แม่จะยอมวางมือไว้ชั่วคราว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็อย่าได้มาที่นี่อีกเลย อย่าให้ฝ่าบาททรงทราบว่าพวกเรา ร่วมมือกัน ยังมีอีก ต่อให้เป็นน้ำโคลนเราก็ต้องคอยกวนให้มันขุ่นมากขึ้นไปอีกเพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่เราในวันหน้า เข้าใจหรือไม่” ชูเซี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตากลมโตเป็นประกายเฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกล “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร!” ฮองเฮาทรงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของชูเซี่ยด้วยความอ่อนโยน แต่ทว่าดวงตากลับทอประกายเย็นเยียบ “เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี พระองค์กลับกล้าทำร้ายเราได้ถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาไม่คิดจะปราณีต่อเราก่อนก็อย่าหาว่าเราไม่ปราณีต่อเขาเช่นกัน!” ความโกรธแค้นและความทุกข์ตรมของฮองเฮามากมายเพียงใดชูเซี่ยรู้ดีอยู่แก่ใจ ฮองเฮาและฮ่องเต้เป็นคู่สามีภรรยากันมาหลายปีทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พระองค์ ในพระทัยของพระองค์รักและซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทมาโดยตลอด แต่ทว่าความรักและความซื่อสัตย์ของพระองค์กลับถูกตอบแทนด้วยการทรยศและความโหดร้ายของฝ่าบาท จนถึงตอนนี้พระทัยของฮองเฮาก็ทรงสลายสิ้นแล้ว บัดนี้เพื่อบุตรชายคนเดียวของพระองค์แล้ว พระองค์ไม่อาจยอมอ่อนข้อได้อีกแล้วแม้ว่าบัดนี้ภายในพระทัยจะเย็นยะเยือกจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว ต่อให้ต้องเผชิญกับความโหดร้ายและโหดเหี้ยมมากไปกว่านี้ก็คงไม่สามารถทำอะไรพระองค์ได้อีกแล้วกระมัง หญิงสาวที่สามารถรักใคร่คนคนหนึ่งได้จับใจก็สามารถไร้เยื่อใยได้อย่างจับจิตเช่นกัน หญิงสาวที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายจนถึงที่สุดแล้วก็อาจจะทำให้เกิดการโต้ตอบได้อย่างโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน ชูเซี่ยเอ่ยขอบพระทัยฮองเฮาก่อนจะกลับออกมาจากตำหนักจาวหยาง เมื่อกลับมาถึงตำหนักฉ่ายเหว่ยนางก็พบว่าเชียนซานจับผู้ชายคนนั้นมัดผูกติดกับเสาเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มแต่งกายไม่เรียบร้อยทั้งยังจ้องมองชูเซี่ยและเชียนซานด้วยสายตาหวาดกลัว ชูเซี่ยจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยประกายเย็นชาโหดเหี้ยมทั้งยังลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงตรงหน้าเขาจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันคาดคั้น “เจ้าเป็นใคร มาจากไหน ชื่ออะไร” ชายหนุ่มกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ข้าน้อยชื่อว่าเหม่ยเซียง เป็นคนเมืองซีเซียงพะย่ะค่ะ!” “เหม่ยเซียง?” ชูเซี่ยจ้องชายหนุ่มตาเขม็ง “นี่มันชื่อผู้หญิงไม่ใช่หรือ!” “ข้าน้อยเป็นคนของโรงละครงิ้วซีเซียงพะย่ะค่ะ!” เหม่ยเซียงพยายามเอ่ยอธิบาย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้เท่ากับโทษตาย” ชูเซี่ยเอ่ยเสียงกดดัน ผู้ชายตรงหน้านางทั้งขี้ขลาดและขี้อาย ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่ทำการใหญ่ได้ เหยียนเจินเจินเหตุใดจึงเรียกใช้งานคนประเภทนี้ได้นะ? เหม่ยเซียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ข้าน้อยทราบ แต่หากข้าน้อยไม่ทำทุกคนในโรงละครงิ้วของข้าน้อยต้องตายหมดแน่!” ชูเซี่ยนิ่งไป “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” นางปรายตามองไปที่เชียนซานสื่อสารกันทางสายตา เชียนซานพยักหน้าก่อนจะสาวเท้ามาข้างหน้าตัดเชือกให้ชายหนุ่มก่อนตะคอกเสียงดัง “นายหญิงของข้าถามคำถามเจ้า เจ้าก็ตอบมาตามตรงอย่าได้เล่นลิ้น และห้ามพูดปดเด็ดขาด!” เมื่อเชือกถูกคลายลงเหม่ยเซียงก็คลานเข่ามาคุกเข่าลงตรงหน้าของชูเซี่ย แม้ว่าเขาจะไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์กดดันเช่นนี้มาก่อนแต่ทว่าโอกาสรอดเพียงทางเดียวของเขาก็คือผู้หญิงตรงหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาย่อมให้ความร่วมมือกับนางแน่ “เชิญพระสนมถามมาได้เลยพะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะตอบตามจริงไม่มีทางโป้ปดท่านแน่!” ชูเซี่ยเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเองก็ถูกผู้อื่นหลอกใช้ สีหน้านางจึงอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าจงเล่าเรื่องของใต้เท้าเหยียนมาให้ข้าฟังให้หมดและอย่าได้โป้ปดเป็นอันขาด!”
已经是最新一章了
加载中