ตอนที่ 122 อยู่นานไม่แก่   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 122 อยู่นานไม่แก่
ต๭นที่ 122 อยู่นานไม่แก่ เหม่ยเซียงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางรับฟัง “วันคืนวานใต้เท้าเหยียนได้มาโรงละครของเราเพื่อดูการแสดงงิ้ว ตอนนั้นเขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไปไม่ได้โดดเด่น คืนนั้นพวกเราเล่นงิ้วที่มีชื่อว่า 《จักรพรรดิ์ล่องแดนใต้》พะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นละครงิ้วพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงมากอีกทั้งพวกข้าก็แสดงมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ไม่เคยเกิดปัญหาสักครั้งอีกทั้งผู้ชมต่างก็ชื่นชอบกันมาก แต่ทว่าวันนั้นตอนที่พวกข้ากำลังแสดงกันอยู่นั้นก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาและบอกว่าโรงละครของข้าแสดงละครล้อเลียนหมิ่นเบื้องสูงมีโทษร้ายแรงจากนั้นก็จับกุมทุกคนในโรงละครคุมขังทั้งหมดทั้งยังมีโทษประหารเก้าชั่วโคตร คนที่ร้องขอความเมตตาก็ถูกนำตัวไปโบยจนตาย และในตอนนั้นเองที่ใต้เท้าเหยียนเข้ามาและยื่นข้อเสนอให้แก่ข้า หากข้าทำก็จะยอมไว้ชีวิตแต่หากไม่แล้วละก็จะถูกประหารเก้าชั่วโคตรไร้ทายาทสืบทอดตระกูลอีกต่อไป ข้าน้อยไร้ทางเลือกทำได้เพียงตอบตกลงรับข้อเสนอเท่านั้น ก็เพราะเช่นนี้ข้าจึงถูกนำตัวเข้าวังและเรื่องราวต่อจากนั้นพระสนมก็คงทราบแล้ว” ชูเซี่ยขมวดคิ้ว “มีเรื่องบ้าๆเช่นนี้จริงหรือ” เหม่ยเซียงคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้นแรงๆจากนั้นก็เงยหน้าทั้งน้ำตา “ขอพระสนมทรงช่วยเหลือทุกคนในโรงละครงิ้วของข้าน้อยด้วยเถิด พวกเราไม่ได้ตั้งใจกระทำผิดจริงๆพะย่ะค่ะ!” ชูเซี่ยทอดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ข้อร้องอ้อนวอน หัวใจของนางเกิดความสงสาร เกรงว่ายามนี้ทุกคนในโรงละครนั่นก็คงถูกฆ่าปิดปากไปจนหมดแล้วกระมัง เรื่องสกปรกเช่นนี้คนพวกนั้นก็คงไม่ยอมเหลือหลักฐานไว้ให้คนสืบทอดไปถึงตัวได้อยู่แล้ว นางมอบหมายให้เชียนซานออกไปสืบเรื่องราวให้กระจ่าง และในวันต่อมาเชียนซานก็หาเบาะแสได้และนำกลับมาบอกนาง “คนพวกนั้นถูกฆ่าปิดปากหมดแล้วเจ้าค่ะ ศพของพวกเขาก็ถูกนำไปทิ้งที่สุสานไร้ญาติแล้ว เกรงว่าตอนนี้แม้จะหาโครงกระดูกกลับมาก็ยังยากนัก” ชูเซี่ยให้เชียนซานเป็นคนส่งเหม่ยเซียงออกจากวังและคอยดูแลความปลอดภัยให้กับเขา ชูเซี่ยร้อนรนเสียจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ฮ่องเต้ในยามนี้บ้าคลั่งไร้สติ เพียงเพื่อต้องการตัดอำนาจของหลี่เฉินเย่นพระองค์ถึงกลับกล้าลงไม้ลงมือกับฮองเฮาซึ่งเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของพระองค์ หรือแม้กระทั่งวางแผนการสกปรกเช่นนี้ออกมาได้ นางเดินทางไปพบท่านอ๋องเก้าด้วยตนเองแต่ทว่าอ๋องเก้ากลับวางท่าเรียบเฉย “ต่อไปเจ้าก็จะเห็นเรื่องราวสกปรกพวกนี้มากขึ้นและชินไปเอง” ชูเซี่ยรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะเป็นกระต่ายตื่นตูมเช่นนาง หฯงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “แต่ก็ไม่อาจทนนั่งมองเฉยๆได้นี่นา!” อ๋องเก้ามองหน้านางอย่างมีความหมาย “ตอนที่เจ้าควรกังวลที่สุดก็คือตอนที่สามแม่ทัพใหญ่นำกองทัพทหารเดินทางกลับเมืองหลวงจะดีกว่า วันนั้นจะต้องมีละครฉากเด็ดให้ดูแน่” “ท่านหมายความว่าอย่างไร” หัวใจของชูเซี่ยเต้นแรง “ท่านไปดูอะไรมากันแน่” อ๋องเก้าเอ่ย “กองทัพนำชัยชนะกลับมาได้ สร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง ฮ่องเต้ทรงโปรดจัดงานเลี้ยงต้อนรับเป็นการส่วนตัว ส่วนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั้นข้าว่าเจ้าย่อมเดาได้ไม่ยาก” ชูเซี่ยนิ่งอึ้ง “ท่านกำลังจะบอกข้าว่าพระองค์จะวางยาพิษลงในสำรับอาหารหรือ” “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ!” อ๋องเก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชูเซี่ยส่ายหน้า “มันจะไม่โจ่งแจ้งไปงั้นหรือ!” “โจ่งแจ้ง! เรื่องมาถึงตอนนี้ยังมีอะไรที่พระองค์ไม่กล้าทำอีกหรือ” อ๋องเก้าเอ่ยเย้า “เรื่องนี้ท่านราชครูนำความมาบอกท่านหรือเจ้าคะ พระองค์ต้องการจะสังหารโอรสของตนเองงั้นหรือ” หัวใจของชูเซี่ยเต้นระส่ำเพราะความโกรธที่ตีตื้นขึ้นมา “พระองค์เองก็วางยาพิษเปิ่นหวาง แต่ก็ไม่ได้สังหารเปิ่นหวางเสียหน่อย” อ๋องเก้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชูเซี่ยเข้าใจแล้ว พระองค์ต้องการใช้แผนสกปรกในการจัดการและควบคุมหลี่เฉินเย่นและหลี่อวิ่นกังนั่นเอง “ถ้าเป็นเช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ต่างอะไรกับการสัตว์หรอกนะเจ้าคะ” ชูเซี่ยกล่าวอย่างโกรธแค้น “ต่างสิ สัตว์มันไม่ฆ่าลูกตัวเองแต่พระองค์ฆ่า เจ้าเคยได้ยินเรื่องขององค์ชายรองหรือไม่” องค์เก้านั่งลงบนเก้าอี้ มือหนาที่วางอยู่บนเข่าบีบแรงจนขึ้นเส้นเลือด ชูเซี่ยส่ายหน้า “องค์ชายรอง? ข้าไม่เคยพบเขามาก่อนเลยเจ้าค่ะ!” “เจ้าย่อมไม่เคยพบเขาอยู่แล้วเพราะว่าตั้งแต่เขายังเด็กก็ถูกพ่อตัวเองสังหารไปแล้วน่ะสิ ปีนั้นเพียงเพราะข่าวลือฮ่องเต้ถึงกับลงมือสังหารเขาได้ลงคอ และสิ่งที่น่าขำที่สุดก็คือเขาเป็นแค่เด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งด้วยซ้ำ!” อ๋องเก้าส่ายศีรษะพลางถอนกายใจออกมา “เด็กน้อยที่น่าสงสาร ยังเป็นแค่เด็กไร้เดียงสาเท่านั้นกลับต้องมาตายเพราะความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อด้วยซ้ำ!” ชูเซี่ยตกตะลึง ฆ่าบิดาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ทั้งยังฆ่าโอรสของตนเองเพื่อรักษามัน พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่นางรู้จักจริงๆน่ะหรือ นางนึกมาตลอดว่าพระองค์ทรงเป็นสุภาพบุรุษ เป็นบิดาที่ประเสริฐ ที่มาผ่านทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงเท่านั้นหรือ ชูเซี่ยรู้นิสัยของอ๋องเก้าดี อ๋องเก้าไม่มีทางพูดจาลอยๆออกมาหากไม่มีมูล และคนที่นำเรื่องนี้มาบอกก็คงจะไม่แคล้วเป็นท่านราชครู ท่านราชครูเป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมากที่สุด ไม่ว่าจะทรงทำเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ล้วนมาขอคำปรึกษากับท่านราชครูทั้งสิ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮองเฮาผ่านมาได้สองวันแล้ว ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้มาเยือนที่ตำหนักฉ่ายเหว่ยอีกเลย จนกระทั่งมีข่าวว่าอีกเจ็ดวันกองทัพก็จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว หลังจากมีข่าวเช่นนี้ออกมาฮ่องเต้ก็ทรงเสด็จมาเยือนทันที ยามที่ชูเซี่ยเห็นฝ่าบาทในรอบหลายวันมานี้นางก็รู้สึกว่าพระองค์ทรงผ่ายผอมลงมากเหลือเกิน ดวงตาเลื่อนลอยทั้งยังมีรอยคล้ำใต้ตา ผิวหนังก็เหลืองซีด ริมฝีปากก็มีรอยช้ำ เมื่อนางได้สติก็รีบย่อกายถวายพระบังคมทันที “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท!” ฮ่องเต้ทรงเสด็จไปนั่งที่ตั่งยาวข้างหน้าต่าง จากนั้นก็หันมาทอดพระเนตรชูเซี่ย นานทีเดียวจึงจะตรัสขึ้น “เราดูแก่ลงไปมากใช่หรือไม่” ชูเซี่ยเอ่ยทูลตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแก่เฒ่าเพคะ!” ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลเย็นชา “จริงหรือ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแก่เฒ่างั้นหรือ เจ้ารอบรู้วิชาแพทย์มากมาย หรือว่าจะไม่เคยพบเห็นคนที่มีอายุยืนนานไม่แก่ไม่ชรา?” ชูเซี่ยส่ายศีรษะก่อนเอ่ย “ทุกชีวิตล้วนมีความเสมอภาค ความเสมอภาคนั้นมีความเท่าเทียมกันเพคะ ทุกๆคนนั้นย่อมต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และตายเป็นเรื่องปกติไม่มีผู้ใดหนีพ้นหรอกเพคะ” “เจ้าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดอยู่นอกเหนือกฎธรรมชาติพวกนี้หรือ ความรู้ของเจ้ามันตื่นเขินเกินไปต่างหากเล่า!” ดวงตาของฮ่องเต้ฉายแววเอือมระอาจากนั้นก็ปรายพระเนตรไปที่ชูเซี่ยและตรัสเรียก “มานี่ มาช่วยเรานวดศีรษะหน่อย!” ชูเซี่ยเดินไปด้านหลังพระองค์จากนั้นก็เอื้อมมือไปนวดขมับให้ก่อนจะค่อยๆเอ่ยเสียงหวาน “หม่อมฉันมีนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงสนพระทัยฟังหรือไม่เพคะ” ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตรไว้ “เล่ามา!” ชูเซี่ยจึงเริ่มเอ่ยปากเล่า “นานมาแล้วเคยมีฮ่องเต้อยู่พระองค์หนึ่ง ทรงรวบรวมทั้งเจ็ดแคว้นเข้าด้วยกันและสร้างการปกครองแบบเผด็จการภายใต้ราชวงศ์ พระองค์ทรงมีความเชื่อว่าคนเราจะสามารถอยู่เหนือกฎธรรมชาติ เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตายได้ ดังนั้นพระองค์จึงขอให้นักพรตเต๋ารูปหนึ่งปรุงยาอมตะให้แก่พระองค์ ต่อมาพระองค์ก็ทรงพบนักบุญผู้หนึ่ง นักบุญผู้นั้นกล่าวว่าที่เกาะเผิงไหลเซียนมียาอายุวัฒนะที่กินไปแล้วจะเป็นอมตะอยู่จริงๆ แต่พระองค์จะต้องสังเวยชายบริสุทธิ์และหญิงพรหมจารีย์อย่างละห้าพันให้แก่ท้องทะเล แต่ผลที่ได้ก็คือหญิงและชายอย่างละห้าพันคนก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พระองค์ได้ยาอมตะมาครอบครองอยู่ดี ท้ายที่สุดประองค์ก็ต้องแก่แล้วก็...” “เขาก็คือเขา เราก็คือเรา มันต่างกันเจ้าไม่รู้หรือ” ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลเย็นชา ทรงทราบเจตนาของชูเซี่ยดีและใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว “เรามาที่นี่ไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาอบรมสั่งสอนเรา ทางที่ดีเจ้าก็ควรหุบปากไปเสีย!” ชูเซี่ยลอบถอนหายใจ “ใต้หล้านี้เป็นของฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว ยังทรงไม่พอพระทัยอีกหรือเพคะ” ฝ่าบาททรงกระชากมือของชูเซี่ยจนนางถลามาเบื้องพระพักตร์ก่อนจะทอดพระเนตรด้วยแววตาดุดัน “ไม่ผิด ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของเรา แต่ทว่าใต้หล้าก็มีคนอยากมาแย่งชิงบัลลังก์ของเราเช่นกันไม่ใช่หรือ ใต้หล้านี้จะต้องเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ใครหน้าไหนที่คิดจะช่วงชิงมันไปต่อให้เป็นลูกแท้ๆเราก็จะไม่เมตตาต่อมันเป็นอันขาด!” ชูเซี่ยสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากคนตรงหน้าราวกับว่าบัดนี้พระองค์ถูกด้านมืดแห่งพลังอำนาจกลืนกินไปจนหมดสิ้นแล้ว มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและความต่ำช้า ชูเซี่ยค่อยๆดึงมือของตนเองออกมาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เกรงว่าจะไม่ใช่ทุกคนหรอกเจ้าค่ะที่คิดฝันอยากครอบครองบัลลังก์ เป็นฮ่องเต้มีอะไรดีกัน ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวไม่ใช่หรือเจ้าคะ แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็ยังไม่อาจเชื่อถือได้ ขนาดสามีภรรยายังต้องทรยศหักหลังกัน ชีวิตที่เป็นแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไรกัน!” ฮ่องเต้ขบกรามแน่น “เจ้ารู้เรื่องจริงๆด้วยสินะ” ชูเซี่ยเข้าใจในความหมายของพระองค์ดี หญิงสาวจึงเอ่ยทูลไปตามตรงไม่อ้อมค้อม “ปิดผู้อื่นน่ะปิดได้ แต่ปิดตนเองปิดไม่ได้นะเพคะ” ฮ่องเต้ทรงหยัดพระวรกายลุกขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องการจะทำลายแผนการของเราเช่นนั้นสินะ เห็นทีว่าการรับเจ้าเข้าวังครั้งนี้จะเป็นความผิดพลาดของเราเสียแล้ว ที่แท้เจ้าก็ตั้งใจจะตั้งตนเป็นศัตรูกับเรา! เจ้ายังกล้าที่จะบอกว่าเจ้าไม่สนใจมันอีกหรือ กล้าพูดว่าลืมเรื่องราวของเจ้ากับมันไปแล้วหรือไม่ เจ้าอย่าได้หลงลืมสถานะของตนเองไปเล่า หัวใจของเจ้า ร่างกายของเจ้าล้วนแต่เป็นของเรา หากเจ้ากล้าทำเรื่องงามหน้าล่ะก็ เราจะสังหารเจ้าและมันเสีย!” ชูเซี่ยฟังคำถามของพระองค์ก็นิ่งไป นางรู้สึกสงสารและสมเพชตนเองเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะพระองค์มีหรือนางจะไม่อยากยอมรับว่านางรักหลี่เฉินเย่นเล่า ยามนี้พระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดสามารถลงมือสังหารผู้ใดก็ได้ เพียงเพื่อปกป้องบุรุษที่นางรักสุดหัวใจนางย่อมไม่กล้าเอ่ยออกไปแน่นอนอยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นพระองค์อาจลงมือสังหารหลี่เฉินเย่นได้ ใบหน้าของหญิงสาวเย็นชาขึ้นเป็นเท่าตัว “ฝ่าบาท อย่าได้รังแกกันเกินไปนัก หากพระองค์บีบบังคับจนเกินไป พระองค์น่าจะทราบดีว่าหมาจนตรอกมันถึงคราวจวนตัวมันจะทำอะไรก็ย่อมได้ ยังมีคนอีกมากที่ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่พระองค์คิด อย่างที่หม่อมฉันได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วเพคะ ใช่ว่าทุกคนจะสนใจในบัลลังก์ของพระองค์เสียหน่อย” พระพักตร์ของฮ่องเต้บิดเบี้ยวไปด้วยไฟโทสะราวกับจะแผดเผาให้คนตรงหน้ามอดไหม้ “คำพูดที่เจ้าเอ่ยขึ้นมาเป็นแค่สิ่งที่เจ้าคิดเอาเองทั้งนั้น คนอย่างเจ้าเข้าใจจิตใจคนมากน้อยเพียงใดกัน เราขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลยนะว่าไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินเย่นหรือหลี่อวิ่นกังเราก็ไม่คิดจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น เรายังมีอายุอีกเป็นพันเป็นหมื่นปีไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งบ้าๆนั่นมารองรับหรอก ทางที่ดีเจ้าควรจะสำเหนียกในฐานะของตนเอาไว้จะดีกว่าไม่เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเราไม่ปราณีต่อเจ้าก็แล้วกัน!” ชูเซี่ยเก็บคำ ในยามนี้ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็คงไม่เข้าหูอีกฝ่ายแน่ เปลืองน้ำลายเสียเปล่าๆ ฮ่องเต้ตรัสต่อด้วยสุรเสียงเยือกเย็น “ช่วงนี้นิสัยเจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว หลายเดือนนี้เจ้าก็ยงอยู่แต่ในตำหนักฉ่ายเหว่ยเพื่อระงัยสติอารมณ์ไปก็แล้วกัน อย่าได้ออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว” รับสั่งเช่นนี้ก็มีความนัยว่ากักบริเวณนางนั่นเอง ชูเซี่ยคาดเดาได้ตั้งแต่ตนแล้ว เหตุผลที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่กล้าเอ่ยคำพูดต่อต้านพระองค์ออกไปเพราะนางรู้ดีว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นนี้ พระองค์จะริดรอนเสรีภาพของนางเช่นนี้นั่นเอง อีกไม่นานกองทัพจะกลับเข้ามาในวังหลวงแล้วแต่นางกลับถูกกักบริเวณ ในวันแห่งการเฉลิมฉลองนางก็คงไม่อาจเข้าร่วมได้อย่างแน่นอน ฝ่าบาททรงเสด็จจากไปด้วยโทสะ ชูเซี่ยทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ในใจเริ่มกังวลไปหมด เป็นเช่นที่ท่านอ๋องเก้ากล่าวกับนางจริงๆ พระองค์ตั้งใจจะใช้แผนสกปรกกับหลี่เฉินเย่นและหลี่อวิ่นกังจริงๆ หากไม่บอกให้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแน่ แต่ว่า หลีกเลี่ยงปัญหาครั้งนี้ได้แล้วครั้งต่อไปเล่า ทั้งชีวิตจะต้องพบเจอแต่เรื่องเช่นนี้ต่อๆไปจนถึงเมื่อใดกัน ด้านหรงเฟยก็เริ่มทำตามแผนการที่วางไว้กับชูเซี่ยทันที วันนี้นางและฉินเฟยต่างพากันไปที่ตำหนักของหลิงกุ้ยเฟย หลายวันมานี้ฮ่องเต้ก็มักจะเสด็จมาค้างคืนที่ตำหนักของหลิงกุ้ยเฟยเสมอ ดังนั้นเหล่านางสนมต่างก็มาแวะเวียนมาทักทายและประจบหลิงกุ้ยเฟยกันไม่น้อย ปกติหากเป็นนางสนมต่ำชั้นกว่าหลิงกุ้ยเฟยมักจะไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ถึงอย่างไรหรงเฟยและฉินเฟยต่างก็เป็นพระสนมที่มีตำแหน่งและสถานะที่มั่นคง ต่อให้นางไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตาก็ไม่อาจละเลยหรือมองข้ามได้ หลิงกุ้ยเฟยจึงให้การต้อนรับและเตรียมสำรับน้ำชาของว่างเอาไว้ หรงเฟยเห็นว่าสบโอกาสแล้วจึงเอ่ยปาก “พวกท่านได้ยินหรือไม่ว่าหวงกุ้ยเฟยถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักฉ่ายเหว่ย เพียงแค่เข้าวังก็ได้รับตำแหน่งเป็นถึงกุ้ยเฟย ชีวิตรุ่งเรือง นี่คงหลงคิดว่าฝ่าบาทมีพระทัยให้แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า” ฉินเฟยรู้จักกับหรงเฟยมานานดูอย่างไรนางก็ไม่ใช่หญิงสาวที่จะอิจฉาริษยาผู้อื่น แต่ไฉนยามนี้นางจึงหยิบยกเรื่องของหวังกุ้ยขึ้นมาพูดได้นะ “เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนั้นได้ บอกตามตรงว่าเราเองก็ไม่มีโอกาสได้พบนางเลยสักครั้งเลยไม่แน่ชัดในนิสัยของนางเท่าใดนัก แต่ทว่าในวังหลังมีคนน่าสงสารอยู่มากมาย นางเพิ่งจะเข้าวังมาคงไม่ทราบว่าฝ่าบาทกริ้วขึ้นมาจะเป็นอย่างไรกระมัง แต่ก็ไม่รู้ว่านางเผลอไปทำอะไรผิดจนทำให้ถูกกักบริเวณได้” หรงเฟยหัวเราะราวกับขบขันเสียหนักหนา “ฉินเฟยดันเผลอใจอ่อนให้แก่ลูกสุนัขจิ้งจอกเสียแล้ว ท่านคงไม่รู้สินะว่าก่อนหน้าที่นางจะเข้ามาถวายตัวในวัง หญิงสาวนางนั้นเคยมีความสัมพันธ์กับจูฟางหยวนลูกชายคนเดียวของอดีตแม่ทัพจูมาก่อน ขนาดเข้ามาถวายตัวในวังก็คงไม่พ้นเรื่องนี้กระมัง ผู้ใดจะรู้ว่าการที่ฝ่าบาททรงรับสั่งกักบริเวณนางก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ก็เป็นได้” เดิมทีหลิงกุ้ยเฟยก็ไม่ชอบใจในตัวชูเซี่ยอยู่แล้ว ภายในวังหลังแห่งนี้นอกจากฮองเฮาแล้วก็มีตัวนางเองนี่ล่ะที่มีฐานะรองลงมา แต่จู่ๆกลับมีหญิงสาวสามัญชนที่ไหนก็ไม่รู้มาได้ตำแหน่งกุ้ยเฟยเทียบเท่ากับนางเสียได้ มีหรือนางจะไม่ชอบใจ มายามนี้ได้ยินเรื่องที่หรงเฟยเล่ามาก็รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก “พี่หรงเฟย ที่ท่านกล่าวว่านางกับบุตรชายบุญธรรมของอดีตแม่ทัพมีความสัมพันธ์กันได้ยินมาจากที่ใดกันเจ้าคะ” หรงเฟยและฉินเฟยเข้าวังมาก่อนนางนานโข ดังนั้นพวกนางจึงมีเส้นสายมากมายกว่าหลิงกุ้ยเฟยนัก นางจึงยังต้องแสดงความเคารพโดยการเรียกขานพวกนางว่าพี่สาวอยู่ 
已经是最新一章了
加载中