ตอนที่ 123 ยกทัพกลับ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 123 ยกทัพกลับ
ต๭นที่ 123 ยกทัพกลับ หรงเฟยเห็นว่าบัดนี้หลิงกุ้ยเฟยติดกับของนางเข้าเต็มเปาก็แสร้งเอ่ยเสียงให้เบาลง “เรื่องนี้ผู้คนที่อยู่นอกวังต่างก็รู้กันทั้งนั้น ได้ยินมาว่าตอนที่ทำพิธีศพให้อดีตแม่ทัพจูนั้นมีผู้คนมากมายเห็นพวกเขาแตะเนื้อต้องตัวทั้งยังมีการโอบกอดกันท่าทางสนิทสนมกันยิ่งนัก ตอนนั้นทุกคนต่างก็คิดว่านางคงจะเป็นว่าทีฮูหยินของจูฟางหยวนเป็นแน่ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าจู่ๆนางกลับมาถวายตัวเข้าวังหลวงเสียนี่ทั้งยังได้เป็นถึงหวงกุ้ยเฟยอีกด้วย หากหญิงสาวผู้นั้นเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์อยู่ในจารีตประเพณีก็แล้วไปเถิด แต่นี่นางกลับเป็นหญิงสาวที่ผ่านมือชายมาแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกอวิ่นกังของข้าเกือบจะแนะนำให้เขาเข้าวังมาเป็นหัวหน้าองครักษ์แล้ว มาตอนนี้ช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่ได้แนะนำให้เขาเข้ามา ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องบัดสีบัดเถลิงขึ้นในวังย่อมไม่ดีแน่ หากฝ่าบาททรงคาดโทษลงมาเกรงว่าลูกอวิ่นกังของข้าก็คงจะต้องโทษไปด้วยอีกคน!” หลิงกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น นางหันมามองใบหน้าของหรงเฟยอย่างเต็มตาก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน “บุตรชายบุญธรรมอขงอดีตแม่ทัพวรยุทธเป็นอย่างไร” หรงเฟยทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบ “ข้าไม่รู้หรอก ข้าไม่เคยพบเขามาก่อน แต่ว่าอดีตแม่ทัพจูเป็นแม่ทัพที่วรยุทธแก่กล้าทั้งยังมีกำลังภายในสูงส่ง คาดว่าบุตรชายบุญธรรมก็คงไม่ทิ้งห่างจากบิดามากนักหรอก” หลิงกุ้ยเฟยจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “บัดนี้ฮ่องเต้กำลังต้องการบุคคลที่มีความสามารถ ถ้าในเมื่อบุตรชายบุญธรรมของอดีตแม่ทัพจูเป็นคนมากด้วยความสามารถเช่นนั้นก็ควรจะเสนอเข้ามาให้ทำงานรับใช้ในวังหลวงจึงจะดี อีกอย่าง ข่าวลือภายนอกอย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือไม่มีหลักฐานเสียหน่อย แค่พวกเราไม่เชื่อก็พอแล้วนี่เจ้าคะ อีกอย่างหนึ่งหากว่าเขามีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหวงกุ้ยเฟยจริงถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ไม่รู้จักบุญคุณคน ทำเรื่องผิดพลาดลงไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรานี่เจ้าคะ แต่หากว่าเขาซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทแล้วล่ะก็ในภายภาคหน้าก็จะเป็นกำลังสำคัญต่อฝ่าบาทของพวกเราอย่างแน่นอน” หรงเฟยลองไตร่ตรองคำพูดของหลิงกุ้ยเฟยอยู่สักพัก “ที่กุ้ยเฟยกล่าวมาก็มีเหตุผล แต่ทว่าข้าก็ไม่อยากกวนน้ำให้มันขุ่น เรื่องรักๆใคร่ๆของนางก็หาได้เกี่ยวอันใดกับพวกเราไม่ อีกอย่างพวกเรารักใคร่เพียงฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียวแต่ผู้อื่นจะคิดเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้” ฉินเฟยทำหน้าน่วคิ้วขมวด “ต่อให้เป็นเพียงข่าวลือก็ไม่ควรแนะนำให้เข้ามาในวังเป็นดีที่สุด หากวันหน้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นและฝ่าบาททรงคาดโทษขึ้นมาพวกเราก็คงจะโดนผลกระทบกันหมด” หลิงกุ้ยเฟยส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย ใบหน้างดงามสราญโฉมฉายแววร้ายกาจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่พี่ฉินเฟยพูดมานับไม่ไม่ถูกต้องนัก ตำแหน่งองครักษ์ในวังหลวงเป็นหน้าที่ที่สำคัญยิ่งนัก หากเราได้คนมีฝีมือเข้ามารับใช้แล้วล่ะก็ย่อมทำให้วังหลวงปลอดภัยขึ้นไม่น้อย อีกอย่างเรื่องราวก็อาจไม่เป็นดังเช่นที่พี่หรงเฟยพูดก็ได้นะเจ้าคะ ดูอย่างไรหวงกุ้ยเฟยก็ดูไม่น่าจะเป็นสตรีเช่นนั้นได้เลยไม่เช่นนั้นฝ่าบาทก็คงไม่รับนางเข้ามาในวังหรอกเจ้าค่ะยิ่งฝ่าบาทเป็นผู้ปรีชาสามารถถึงเพียงนี้ด้วยแล้ว หากนางเป็นสตรีโฉมสคราญก็ว่าไปอย่าง ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้นางไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์ก็คุ้มค่าที่ฝ่าบาทจะแย่งมาครอบครอง แต่นี่รูปโฉมนางก็นับว่าธรรมดายิ่ง เมื่อลองคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางและจูฟางหยวนจะมีความสัมพันธ์ชู้สาวกันได้” ฉินเฟยทำหน้าครุ่นคิด “ที่กุ้ยเฟยกล่าวมาก็มีเหตุผล แต่ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราควรสอดมือเข้าไปยุ่งเสียหน่อย พวกเราก็อย่าได้สนใจเลย เลิกคุยเรื่องนี้เถิด จริงสิ ได้ยินมาว่าฮองเฮาทรงประชวรอยู่หลายวัน ข้าไปเข้าเฝ้าก็ทรงไม่ยอมออกมาพบ ไม่รู้ว่าป่านนี้อาการประชวรของพระองค์จะเป็นเช่นไรแล้วบ้าง” สีหน้าของหรงเฟยก็ฉายแววกังวลขึ้นมา “น่าจะเป็นผลมาจากการที่รื้อค้นตำหนักเมื่อหลายวันก่อน วังหลังสงบสุขดีอยู่แล้วแท้ๆแต่กลับเกิดเหตุผู้บุกรุกเข้ามาเสียนี่ ผู้ใดบ้างจะไม่กลัว? แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงไปหรอก พระวรกายของฮองเฮาดีขึ้นแล้ว พักผ่อนให้มากหน่อยไม่กี่วันก็หายดี” ฉินเฟยเอ่ยอย่างสงสัย “เป็นเช่นนั้นก็ดียิ่งนัก! พูดแล้วก็น่าแปลก ข้าลองไปถามเหล่าข้าหลวงในวังดูแล้วก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นผู้บุกรุกกันสักคน หาอย่างไรก็หาไม่พบ ไม่รู้ว่ามันไปหลบซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่” หรงเฟยเอ่ยกัดฟัน “ไม่มีผู้บุกรุกอะไรทั้งสิ้นนั่นล่ะ ข้าแอบได้ยินมาว่ามีผู้พบเห็นสาวใช้ข้างกายหวงกุ้ยเฟยที่ชื่อเชียนซานแอบส่งผู้ชายคนหนึ่งออกจากวังไป เป็นไปได้ว่าอาจเป็นชายชู้ที่นางลักลอบเข้ามาในวังเสียมากกว่า” ฉินเฟยทำหน้าตกตะลึง “นั่นจะไม่ประเจิดประเจ้อไปหรือ นี่มันเกินไปกระมัง” หรงเฟยตอบโต้ทันที “เชียนซานส่งชายหนุ่มผู้หญิงออกจากวัง ข้าว่าข่าวลือนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่ฮ่องเต้ทรงกักบริเวณนางกระมัง แน่นอนว่านี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น เรื่องจริงเป็นเช่นไรข้าก็ไม่รู้” หลิงกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “หากเป็นเช่นที่พี่หรงเฟยกล่าวมาจริงๆแสดงว่าผู้ชายคนนั้นต้องเป็นชายชู้ของหวงกุ้ยเฟยแน่แล้ว! รู้ทั้งรู้ว่าลักลอบนำคนนอกเข้าวังมีโทษถึงตายแต่ชายชู้ผู้นั้นก็ช่างขวัญกล้าเหลือเกิน หากไม่ใช่ว่ารักฝังจิตฝังใจเขาย่อมไม่ทันเช่นนั้นแน่!” อารมณ์ของฉินเฟยเริ่มขุ่นมัวขึ้นมาบ้างแล้ว นางกล่าวอย่างโกรธแค้น “ในเมื่อนางเองก็เข้าวังมาแล้วต่อให้รักใคร่กันลึกซึ้งเพียงใดก็ไม่ควรลักลอบพบกันถึงในวังหลังไม่ใช่หรือ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปพวกเราจะชาววังจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก!” หรงเฟยพิจารณาสีหน้าท่าทีของหลิงกุ้ยเฟ้ยก็รู้ว่าอีกฝ่ายหลงกลนางและชูเซี่ยเข้าแล้ว นางลุกขึ้นยทนก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตามองไปที่แสงแดดสดใสภายนอก “เรื่องของผู้อื่น พวกเราก็อย่าได้สนใจอีกเลย วันนี้อากาศดีเหลือเกินออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่!” หลิงกุ้ยเฟยส่ายหน้าปฎิเสธทันที “ไม่ล่ะ วันนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าใดนักอยากจะพักสักหน่อย พี่สาวทั้งสองก็ไปเดินเล่นกันสองคนเถิดเจ้าค่ะ!” ฉินเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้น “ถ้าเช่นนั้นกุ้ยเฟยก็พักผ่อนเถิด พวกเราไม่กวนแล้วล่ะ!” หลิงกุ้ยเฟ้ยให้นางกำนัลไปส่งทั้งสองคนออกจากตำหนัก ดวงตาที่อ่อนหวานกลับแปรเปลี่ยนเป็นร้ายกาจทั้งยังมีประกายเย็นยะเยือกอยู่ในนั้นก่อนจะค่อยๆผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คืนนั้นก็เป็นอีกคืนที่ฮ่องเต้ทรงเลือกป้ายตำหนักของหลิงกุ้ยเฟย หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงอารมณ์แห่งความสุขสมไปแล้ว ร่างบอบบางของหลิงกุ้ยเฟยก็อิงแอบแนบชิดอยู่บนพระวรกายของฮ่องเต้ หญิงสาวเอ่ยออดอ้อนเสียงหวาน “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าอดีตแม่ทัพจูมีบุตรชายบุญธรรมอยู่ผู้หนึ่งใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม้พระเนตรของฝ่าบาทจะทรงปิดอยู่แต่พระองค์ก็ตอบรับนาง “ใช่ ทำไมหรือ” หลิงกุ้ยเฟยจึงเอ่ยต่อ “อดีตแม่ทัพจูเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีคนนับหน้าถือตามากมาย จนเมื่อเขาเสียไปแล้วทุกคนก็ยังให้ความเคารพนับถือบุตรบุญธรรมของเขาด้วยเช่นกัน ฝ่าบาทเพคะ ยามนี้ในวังหลวงเกิดเรื่องราวมากมายนัก เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์ก็ให้บุตรชายบุญธรรมของอดีตแม่ทัพจูเข้าวังเป็นหัวหน้าองครักษ์ในวังหลวงดีหรือไม่เพคะ ข้อแรกเพื่อให้เขาแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ ข้อสองก็เพื่อเอาชนะใจผู้คนที่ยังอยู่ฝ่ายของอดีตแม่ทัพจูอีกด้วยเพคะ!” ครานี้ฝ่าบาททรงลืมพระเนตรขึ้นทั้งยังยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย ทอดพระเนตรมองมาที่หลิงกุ้ยเฟย “เหตุใดจึงกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า” “หม่อมฉันทราบมาว่าระยะนี้ฝ่าบาททรงวิตกกังวลเรื่องงานบ้านงานเมืองมากมาย เมื่อสามวันก่อนท่านพ่อของหม่อมฉันเข้ามาในวังและได้พูดคุยถึงเรื่องราวความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอดีตแม่ทัพจู เมื่อหม่อมฉันได้ยินก็รู้สึกยกย่องนับถือยิ่งนักที่แผ่นดินของเรามีพยัคฆ์ที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ หม่อมฉันคิดว่าอดีตแม่ทัพจูเองก็คงจะอบรมสั่งสอนบุตรชายของตนได้ออกมาดีมากแน่เพคะ หากมีคนมากความสามารถถึงเพียงนี้แต่เราไม่ยอมนำกำลังของเขามาใช้เพื่อดินแดนของเราก็ช่างน่าเสียดายแทนอดีตแม่ทัพจูเหลือเกินเพคะ มันคงจะดีหากว่าพระองค์นำสิ่งที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะเพคะ” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พระพักตร์ของพระองค์ก็ค่อยๆแย้มสรวลออกมาทั้งยังเอื้อมพระหัตถ์ออกไปลูบไล้กรอบหน้างามของหญิงสาวในอ้อมแขน “คงมีแต่สนมรักที่เข้าใจเรา!” อดีตแม่ทัพจูเป็นอาจารย์สอนวิชาการต่อสู้ให้แก่หลี่เฉินเย่นและหลี่อวิ่นกัง ยามที่หลี่อวิ่นกังออกรบครั้งแรกก็ติดตามแม่ทัพจูออกไปเรียนรู้การทำศึกสงครามเช่นกัน โอรสทั้งสองต่างก็ให้ความเคารพนับถือในตัวอดีตแม่ทัพจูยิ่งนัก มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้หากว่าพระองค์จะยืมมือของอดีตแม่ทัพจูมาทำให้โอรสทั้งสองต้องบาดหมางกันได้ เช้าวันต่อมามีราชโองการแต่งตั้งจูฟางหยวนให้เป็นหัวหน้าองครักษ์ ทหารองครักษ์กว่าสองหมื่นนายอยู่ภายใต้อำนาจการสั่งการของเขาแต่เพียงผู้เดียว! ยามที่จูฟางหยวนเข้ามาในวังเขาไม่กล้าไปพบกับชูเซี่ยเพราะรู้ว่ายามนี้นางถูกกักบริเวณไว้อยู่ อีกทั้งเรื่องที่นางต้องการให้เขาเข้ามาในวังเขาก็พอเข้าใจแผนของนาง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอาตัวเองเข้ามาพัวพันเรื่องราวในวังหลวงสักเท่าไหร่ แต่บัดนี้ชูเซี่ยก็ถูกบังคับให้มีส่วนร่วมในวังวนแห่งการแย่งชิงนี้ ส่วนตัวเขาเองก็อยากจะหนีพ้นเช่นกัน เขารู้มาว่าหลิงกุ้ยเฟยเป็นผู้เสนอแนะให้เขาเข้าวังมารับตำแหน่งนี้ดังนั้นวันนี้เขาจึงตั้งใจจะไปเอ่ยคำขอบคุณแก่หลิงกุ้ยเฟยเสียหน่อย หลิงกุ้ยเฟยไม่เคยพบจูฟางหยวนมาก่อนดังนั้นเมื่อแรกพบกับชายหนุ่ม นางก็ถึงกับตกอยู่ในภวังค์เพราะจูฟางหยวนไม่เหมือนชายใดที่นางเคยพบมาก่อน ผมของเขาสั้นมาก แต่เพราะเช่นนั้นมันจึงทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเด่นชัดและดูเด็ดเดี่ยวมากขึ้น กอปรกับยามที่ชายหนุ่มสวมใส่เครื่องแบบของหัวหน้าองครักษ์ก็ยิ่งทำให้เขาดูสง่าองอาจมากขึ้น “ผมของท่าน...” นางเอ่ยได้เพียงเท่านี้ก็รีบเงียบปากลงเพราะตระหนักได้ถึงความไร้มารยาท “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ขอเพียงแค่เจ้าทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างจงรักภักดีก็ถือเป็นการตอบแทนข้าแล้วล่ะ!” จูฟางหยวนประสานมือทำความเคารพ “พะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมต้องทำสุดความสามารถไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง!” หลินกุ้ยเฟยพยักหน้ารับอย่างพออกพอใจ “เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว!” จูฟางหยวนกลับออกมาจากตำหนักของหลิงกุ้ยฟาง ในใจของเขายามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน ตัวเขาในโลกนี้ก็ไม่ได้มีพันธะอะไรอยู่แล้วทำเพียงแค่หายใจทิ้งใช้ชีวิตไปวันๆเท่านั้น แต่การตัดสินใจเข้าวังมาในครั้งนี้ก็เพื่อชูเซี่ยซึ่งเป็นสหายสนิทเพียงคนเดียวของเขา อย่างน้อยนางก็ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ของเขาดูมีคุณค่าขึ้นมาบ้าง แต่ทว่าการใช้ชีวิตอยู่ภายในวังหลวงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงแต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจแทนชูเซี่ยอยู่ดี กองทัพที่ได้รับชัยชนะในศึกสงครามเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวแล้วเสนาบดีเซียวและเสนาบดีหลี่ก็เป้นตัวแทนของเหล่าขุนนางคอยให้การต้อนรับรวมไปถึงประชาชนมากมายที่ยืนรอต้อนรับเหล่าทหารกล้าของพวกเขาที่สร้างชื่อเสียงและมีชัยในศึกสงครามครั้งนี้ ห่างออกไปนอกเมืองไม่ไกลนักบัดนี้ตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นจากฝีเท้าม้ารวมถึงเสียงฝ่าเท้าที่ดังกึกก้องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหล่าพลทหารที่อยู่ในชุดเกราะเดินเข้ามาในเมืองหลวงก่อนจะตามด้วยแม่ทัพพญาอินทรีย์หลี่เฉินเย่นที่สวมใส่ชุดเกราะสีทอง ชายหนุ่มนั่งองอาจอยู่บนหลังม้า แสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่งลงมายังใบหน้าคมสันรวมไปถึงชุดเกรีทองที่ทำให้เปร่งประกายสีทองยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ภาพตรงหน้าช่างงดงามราวกับภาพเขียน จอมพลทหารอย่างหลี่อวิ่นกังเองก็สวมใส่เกราะทองเช่นเดียวกัน แม้ว่าใบหน้าของชายหนุ่มจะมีแววเหนื่อยล้าอยู่บ้างแต่นั่นก็ไม่ทำให้ความหล่อเหลาและความสง่างามของเขาลดลงได้เลยแม้แต่น้อย เสนาบดีทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าปวงประชาเป็นดั่งวีรบุรุษที่น่ายกย่องและน่าสรรเสริญเหลือเกิน ประชาชนต่างก็ก้มลงกราบไหว้ให้ความเคารพยกย่อง แม้ว่านี่จะไม่ใช่รับสั่งของฮ่องเต้ที่ให้พวกเขาทำ แต่พวกเขาก็พร้อมจะทำมันเองออกมาจากใจ น้ำตาของเสนาบดีเซียงเอ่อคลอออกมาด้วยความปลาบปลื้มยามที่จับจ้องมาที่หลานชายของตน ชายชราเอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่มตรงหน้าไว้ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับมาก็ดีแล้ว เจ้าปลอดภัยกลับมาแล้ว ดีเหลือเกิน!” หลี่เฉินเย่นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เมืองหลวงช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เสนาบดีเซียงลอบถอนหายใจ “ยังดีอยู่!” แค่การถอนหายใจของชายชราตรงหน้าคำเดียวก็บอกถึงความเศร้าและความเครียดมากมายที่เขาจะต้องเผชิญออกมาได้แล้ว ใช่ว่าหลี่เฉินเย่นจะฟังไม่ออก แต่ทนความเจ็บปวดในช่วงนี้เท่านั้นวันหน้าจะต้องมีวันที่เป็นของพวกเขา ดวงตาคมของชายหนุ่มเป็นประกายเด็ดขาด ทว่าตอนนี้อยู่ในที่แจ้งเขาไม่อาจพูดอะไรออกไปมากได้จึงพลิกกายขึ้นหลังมาจากนั้นก็สั่งกองทัพให้เดินหน้า “เข้าเมือง!” เสียงกลองและประทัดดังสนั่นลั่นไปทั่วทั้งเมือง ผู้คนในเมืองต่างก็ตื่นเต้นพร้อมทั้งยอมหลีกทางให้แก่เหล่าทหารกล้าแต่โดยดี ใบหน้าของเหล่าทหารต่างก็มีแววภาคภูมิใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า เหล่าครอบครัวของทหารต่างก็ออกมาให้การต้อนรับด้วยดวงตาที่พร่าไปด้วยหยาดน้ำตา ในที่สุดครอบครัวก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้ว เสนาบดีหลี่ได้สั่งทำดาบที่ทำขึ้นจากเหล็กสีดำเนื้อดีขึ้นมาเป็นพิเศษทั้งยังสลักคำว่า ‘จอมพลผู้กล้า’ อักษรสี่ตัวนี้อยู่บนดาบเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่หลี่อวิ่นกัง ครั้งที่แล้วที่หลี่อวิ่นกังชนะสงครามกลับมาเขาได้ให้สัญญาไว้แล้วว่าหากครั้งนี้ได้รับชัยชนะกลับมาอีกครั้งเขาจะทำดาบที่ดีเลิศที่สุดให้แก่หลี่อวิ่นกัง ดาบเล่มนี้ถูกตีขึ้นมานานแล้วเหลือเพียงแค่รอโอกาสเหมาะๆส่งมอบมันให้แก่เจ้าของที่แท้จริงเพียงเท่านั้น หลี่อวิ่นกังทราบดีว่าเสนาบดีหลี่ให้การสนับสนุนเขามาโดยตลอด แม้กระทั่งยามที่อยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อเขาก็มักพูดจาเยินยอและสรรเสริญเขาเบื้องพระพักตร์เสมอ ชายหนุ่มจ้องมองเสนาบดีหลี่ด้วยความนับถือ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนบดีมาก!” แม้ว่าเสนาบดีหลี่จะป่วยออดๆแอดๆมาโดยตลอดแต่เพราะว่าเขาอยู่ในวังหลวงมานาน เรื่องราวมากมายแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยตาก็สามารถเข้าใจอะไรได้หลายๆอย่าง “ท่านอ๋อง แม้ว่าในภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องราวที่ท่านต้องเผชิญอีกมาก ชายแก่อย่างข้าก็ขออวยพรให้ท่านทำการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนะพะย่ะค่ะ!” ดวงตาของหลี่อวิ่นกังเป็นประกาย “ขอบคุณท่านมาก!” แม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ได้สนใจในบัลลังก์เลยแม้แต่น้อยก็ตาม เสนาบดีหลี่เข้าใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาหาได้สนใจในบัลลังก์ไม่ แต่ทว่าบางครั้งเราก็ไม่อาจเลือกเดินเส้นทางที่ตนเองปรารถนาเองได้ เสนาบดีหลี่ก้าวไปข้างหน้าจับไหล่ของชายหนุ่มไว้ “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สงครามครั้งนี้ก็ช่างสาหัสเหลือเกิน ขอให้ท่านอ๋องอย่าได้ประมาทโดยเด็ดขาด!” หลี่อวิ่นกังได้ยินคำพูดของเสนาบดีหลี่ก็รู้ได้ในทันทีว่าบัดนี้สถานการณ์ในวังหลวงคงตึงเครียดไม่น้อย สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชาขึ้นหลายส่วนจากนั้นก็พยักหน้า ดวงตาคมเป็นประกายอำมหิตเหมือนกับยามที่สู้ศึกในสงครามพร้อมทั้งเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “อัครมหาเสนาบดีโปรดวางใจ เพื่อปกป้องครอบครัวและคนที่เปิ่นหวางรัก เปิ่นหวางจะไม่มีวันแพ้เป็นอันขาด!”
已经是最新一章了
加载中