ตอนที่ 124 พิษแห่งราชวงค์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 124 พิษแห่งราชวงค์
ต๭นที่ 124 พิษแห่งราชวงค์ งานเลี้ยงค้อนรับยามค่ำคืนถูกจัดขึ้นในตำหนักเจิ้งหยาง ตอนที่หลี่เฉินเย่นเดินทางกลับจวน ฉ่ายเวินก็ยืนให้การต้อนรับอยู่หน้าจวน “ศิษย์พี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!” ดวงตาของฉ่ายเวินเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ความคิดถึงฉายชัดในดวงตากลมโตของนาง หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าของฉ่ายเวินพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงเสียแล้ว ศิษย์พี่ช่างไม่ได้เรื่อง!” ฉ่ายเวินแย้มยิ้มงดงาม นางก้าวไปจับมือของหลี่เฉินเย่นอย่างสนิทสนม “แค่กลับมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!” หลี่เฉินเย่นไม่เห็นเฉินอวี่จู๋ออกมาต้อนรับตนก็รู้สึกแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาที่จวนนางก็มักจะยืนรอต้อนรับเขาอยู่เสมอ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามสาวใช้ในจวนที่อยู่ด้านข้าง “พระชายาเล่า?” สาวใช้ผู้นั้นก็เอ่ยตอบ “ท่านอ๋อง ระยะนี้พระชายาสุขภาพไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ นางกำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือน” ฉ่ายเวินก็เอ่ยเสริม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางล้มป่วยมาหลายวันแล้ว เมื่อครู่ก็บอกว่าอยากออกมาต้อนรับท่านด้วยตนเอง โชคดีที่ข้ายังอยู่จึงสั่งให้คนเฝ้านางไว้ นางจึงจะยอมพักผ่อนแต่โดยดี!” หลี่เฉินเย่นพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “แล้วทางวังส่งคนมาบ้างหรือไม่” ฉ่ายเวินก็ตอบกลับเสียงหวาน “มาหลายครั้งเลยเจ้าค่ะ ทั้งยังส่งของบำรุงมามากมายเพื่อให้นางบำรุงร่างกายของตนเองให้ดี ทุกครั้งที่มาก็ถามตลอดว่ามีครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง” หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่” ฉ่ายเวินเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ผิดปกติ? อะไรหรือเจ้าคะ?” หลี่เฉินเย่นนึกไปถึงเรื่องที่เฉินอวี่จู๋กเรื่องตั้งครรภ์ปลอมขึ้นมา เรื่องนี้ฉ่ายเวินไม่รู้ ภายในจวนอ๋องผู้ที่รู้ว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นเรื่องโกหกก็มีเพียงแค่หลางเยว่และพ่อบ้านเท่านั้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงและส่งผลกระทบในวงกว้าง ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี “ไม่มี เปิ่นหวางถามถึงชูเซี่ยเท่านั้น!” ฉ่ายเวินคลายความสงสัยลง “สถานการณ์ภายในวังพวกเราก็รู้ไม่แน่ชัด แต่ทว่าข้าได้ยินมาว่าพี่สาวถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณเจ้าค่ะ!” หลี่เฉินเย่นตื่นตระหนกขึ้นมารีบร้อนถาม “เกิดอะไรขึ้น” ฉ่ายเวินส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดรู้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากไปสืบเช่นกัน แต่ทว่าในวังหลวงกลับถูกปิดข่าวไว้เงียบ เบาะแสนี้ที่ข้ารู้ก็เพราะจูฟางหยวนเป็นคนนำมาบอกเจ้าค่ะ” “จูฟางหยวน? เหตุใดเขาจึงรู้ได้” หลี่เฉินเย่นถามอย่างแปลกใจ “ยามนี้จูฟางหยวนได้เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์แล้วเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าเป็นเพราะหลิงกุ้ยเฟยเป้นผู้เสนอชื่อเขาให้แก่ฝ่าบาท” ฉ่ายเวินตอบคำถาม สีหน้าของเฉินเย่นคลายกังวลลง ไม่ว่าจูฟางหยวนจะมีใจให้แก่ชูเซี่ยจริงหรือไม่แต่ที่เขารู้ก็คือชายผู้นั้นจะต้องปกป้องชูเซี่ยอย่างสุกความสามารถของเขาแน่ การที่มีจูฟางหยวนอยู่ในวังกับนางเขาค่อยเบาใจลง หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามตานเสวี่ย “พระชายาป่วยเป็นอะไรหรือ นางเป็นอย่างไรบ้าง” ตานเสวี่ยสาวใช้ข้างกายของเฉินอวี่จู๋ก็เอ่ยขึ้น “เรียนท่านอ๋อง ระยะนี้พระชายากินอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง หากกินเข้าไปก็จะอาเจียนออกมา ทั้งยังเวียนหัว ผมก็ร่วง หลายวันก่อนยังดีอยู่แท้ๆแต่ตอนนี้แม้แต่จะยืนยังไม่มีแรงด้วยซ้ำ!” ชายหนุ่มถึงกับตกใจ “ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียว เชิญท่านหมอมาตรวจอาการแล้วหรือยัง” ตานเสวี่ยก็เอ่ยตอบ “หมอหลวงมาตรวจอาการแล้วเจ้าค่ะแต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร แต่เทียบยาที่เขาจัดมาให้ก็ไม่ทำให้พระชายาดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย!” หลี่เฉินเย่นหยุดฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเอ่ย “เจ้ากลับไปดูแลนางก่อน เปิ่นหวางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะตามไปดูนาง!” ตานเสวี่ยเอ่ยอย่างดีใจ “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะรีบกลับไปบอกพระชายาให้ทราบ พระชายาจะต้องดีใจมากเป็นแน่” กล่าวจบนางก็วิ่งกลับไปอย่างดีใจ ฉ่ายเวินยืนนิ่งไป เมื่อนางได้ยินว่าหลี่เฉินเย่นจะไปเยี่ยมผู้หญิงคนนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งยังขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “ศิษย์พี่ คืนนี้ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะให้ท่าน หากไม่เพียงไม่รีบเตรียมตัวยังจะไปเยี่ยมนางอีกหรือ” หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “นางป่วยหนักถึงเพียงนี้หากเปิ่นหวางไม่ไปดูนางหน่อยก็ไม่อาจวางใจลงได้” ฉ่ายเวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเลื่อนลอย “ศิษย์พี่หลงรักนางเข้าแล้วหรือเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นพูดออกไปจากใจจริง “เฉินหยวนชิ่งช่วยชีวิตเปิ่นหวางไว้ครั้งหนึ่ง หากไม่มีเขาเปิ่นหวางคงตายในสนามรบไปแล้ว!” ฉ่ายเวินตื่นตระหนกขึ้นมา “ศึกนี้คงอันตรายมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างขมขื่น “การรบไม่ใช่การละเล่น มันเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตของตน อันตรายมีรายล้อมอยู่รอบด้าน หากประมาทเพียงครู่เดียวก็ถึงตายได้!” ใบหน้าของฉ่ายเวินเศร้าหมองลง “ความจริงแล้วข้าไม่ชอบให้ศิษย์ออกไปรบราฆ่าฟันเลยเจ้าค่ะ เป็นเพียงหนอนหนังสือแบบเมื่อก่อนก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ” สีหน้าของหลี่เฉินเย่นราบเรียบ “ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดสงครามหรอก ทุกอย่างมันเกิดก็เพราะตกลงกันไม่ได้ต่างหากเล่า บางครั้งสงครามก็เป็นวิธีที่นำมาซึ่งการยุติและความสันติได้เช่นกัน” ฉ่ายเวินส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ การสู้รบก็มีแต่เสียเลือดเสียเนื้อ จะนำมาซึ่งความสันติได้อย่างไรกัน” คำพูดพวกนี้มันค่อนข้างขัดแย่งในตัวเองไม่น้อย หลี่เฉินเย่นรู้สึกอับจนปัญญาที่จะอธิบายให้นางเข้าใจ เขาจึงตัดสินใจเงียบและเปลี่ยนเรื่อง “เปิ่นหวางจะกลับเรือนไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย คืนนี้จะพาเจ้าเข้าวังไปพบพี่สาว!” “พี่สาวถูกกักบริเวณอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ จะพบได้อย่างไรกัน” หลี่เฉินเย่นหยุดฝีเท้าก่อนจะหันมาบอกด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพาเจ้าเข้าวังด้วยอย่างไรเล่า!” ฉ่ายเวินงุนงงอยู่สักพักจากนั้นก็เข้าใจและส่งเสียงร้อง ‘อ๋อ!’ ออกมา ตอนที่หลี่เฉินเย่นพบหน้าของเฉินอวี่จู๋ครั้งแรกแม้ว่าชายหนุ่มจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแต่กระนั้นก็ตื่นตะลึงอยู่ดี แค่ระยะเวลาเพียงเดือนเดียวที่เขาไม่พบนาง นางกลับเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน แม้ว่าวันนี้นางจะแต่งกายและประทินโฉมอย่างดีเพื่อรอให้การต้อนรับเขาแต่ทว่าเขาก็ยังสามารถเห็นใบหน้าที่ซีดจนกลายเป็นสีเหลืองของนางได้ ดวงตาของนางทั้งหม่นหมองและมีรอยคล้ำ ริมฝีปากแห้งผาด แม้ว่าจะทาชาดสีแดงกลบแต่ก็ยังเห็นขอบปากสีเป็นสีดำคล้ำได้ “ท่านอ๋อง ข้าคงน่าเกลียดมากใช่หรือไม่” เฉินอวี่จู๋มองเห็นสายตาที่ฉายแววตกใจของเขาก็เอ่ยถามขึ้น หลี่เฉินเย่นรีบกลบเกลื่อนอาการตกใจทันทีจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เจ้าก็พักผ่อนให้มากเถิด แล้วหมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง” “ท่านหมอกล่าวแค่ว่าเป็นความผิดปกติของเลือดในกายข้าก็เท่านั้น ค่อนข้างอันตราย เขาจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มอาจจะต้องใช้เวลารักษานานทีเดียวกว่าจะหายขาดได้” หลี่เฉินเย่นเพ่งมองหญิงสาวข้างกาย ลองกลับมานึกดูแล้วก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่นางหลอกลวงเบื้องสูงต่อเสด็จพ่อว่าตนเองตั้งครรภ์จนทำให้เกิดความเครียดจนเป็นผลให้เลือดลมไหลเวียนไม่ปกติกระมัง เขาเองก็รู้สึกผิด แม้ว่าการที่นางโกหกเรื่องตั้งครรภ์จะเป็นวิธีที่โง่เง่ามากก็ตามแต่ที่นางทำไปก็เพื่อช่วยเขา ชายหนุ่มลอบถอนหายใจในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รักนางไม่ได้ ชาตินี้เขาคงติดค้างนางเสียแล้ว “หลายวันนี้เจ้าก็พักฟื้นร่างกายเถิด เชื่อฟังคำพูดของหมอหลวงด้วยนะ หากวันใดอากาศแจ่มใสก็ออกไปเดินเล่นสูดอากาศสดชื่นบ้าง” หลี่เฉินเย่นเอยอย่างใส่ใจ เป็นเพราะเมื่อก่อนเขาเข้าใจว่านางก็คือชูเซี่ยกอปรกับที่นิสัยของนางอ่อนโยนอ่อนหวาน แม้ว่าหัวใจของเขาจะไม่อาจรักนางแต่ก็ไม่สามารถหมางเมินนางได้เช่นกัน ใบหน้าซีดขาวของเฉินอวี่จู๋เปร่งประกายดีใจ คิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออก ท่าทางของนางดูผ่อนคลายและมีความสุขแม้กระทั่งริมฝีปากที่แห้งผากก็ยังแย้มยิ้มออกมา “ท่านอ๋องวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าต้องดีขึ้นในเร็ววันแน่” เมื่องานเลี้ยงในยามค่ำคืนมาถึง งานเลี้ยงในครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าเป็นการเฉลิมฉลองของงานเทศกาลอย่างไรอย่างนั้น แต่ทว่ากลับมีกลิ่นอายของการฆาตกรรมคืบคลานมาช้าๆโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว ยามอยู่ในศึกสงครามทั้งหลี่เฉินเย่นและหลี่อวิ่นกังต่างก็สัมผัสไอสังหารมาแล้วมากมาย ยามนี้เมื่อมีไอสังหารแปลกๆแม้จะเล็กน้อยเพียงใดพวกเขาก็สามารถสัมผัสถึงมันได้อย่างง่ายดาย เป็นอย่างที่หลี่เฉินเย่นคาดคิดไว้ว่างานนี้ชูเซี่ยที่ถูกกักบริเวณไม่อาจมาเข้าร่วมได้ หัวหน้าราชองครักษ์จูฟางหยวนสั่งให้เหล่าราชองครักษ์คอยออกลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยให้แก่สถานที่จัดงานในวันนี้ หลี่เฉินเย่นมองดูจูฟางหยวนจากที่ไกลๆ แม้จะมีแสงไฟสลัวแต่เขาก็สามารถเห็นได้ว่าอีกฝ่ายมักจะหันมามองเขาอยู่เสมอ และทันทีที่เขาลุกไปห้องน้ำด้านจูฟางหยวนก็แอบเดินตามมาทันที จูฟางหยวนยัดกระดาษใบหนึ่งเข้ามาที่อุ้งมือเขาโดยที่ไม่มีใครเห็น นั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วและแรงขึ้น จนกระทั่งเดินมาถึงห้องน้ำชายหนุ่มก็รีบคลี่อ่านเนื้อความบนกระดาษทันที นอกจากตัวอักษรบนกระดาษแล้วยังมียาเม็ดกลมๆสีแดงอีกสองเม็ดห่อมาด้วย บนเนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า ‘สุราที่ท่านและเจิ้นหยวนอ๋องดื่มมียาพิษ ใช้ยาเม็ดนี้เพื่อล้างพิษ!’ จดหมายนี้เป็นของชูเซี่ย เพียงแค่เห็นเขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นลายมือของนางไม่ผิดแน่ หัวใจของเขาค่อยๆอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย การที่ชูเซี่ยฝากจูฟางหยวนส่งจดหมายและยาแก้พิษมาให้เขาได้ก็แสดงว่านางเองก็ยังปลอดภัยและสบายดีอยู่ ชายหนุ่มหยิบยาเข้าปากเม็ดหนึ่งจากนั้นก็นำอีกเม็ดเหน็บไว้ที่สายคาดเอวของตน ภายนอกห้องน้ำมีองครักษ์สองนายคอยเขาอยู่ ทันทีที่หลี่เฉินเย่นเดินออกไปพวกเขาก็โค้งกายให้ “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงเชิญท่านไปนั่งประจำที่ในงานเลี้ยงพะย่ะค่ะ!” องครักษ์สองคนนี้คือคนที่ฮ่องเต้ส่งมาจับตาดูเขานั่นเอง แต่หลี่เฉินเย่นแสร้งทำเป็นไม่รู้ ชายหนุ่มพยักหน้านิ่งๆ “เปิ่นหวางจะไปเดี๋ยวนี้!” หลี่เฉินเย่นและหลี่อวิ่นกังนั่งอยู่ข้างกันในงาน ชายหนุ่มแอบเตะขาของพี่ชายตนเองเบาๆเพื่อเป็นสัญญาณ หลี่อวิ่นกังก็เข้าใจได้ในทันที ชายหนุ่มแกล้งปัดตะเกียบเงินบนโต๊ะจนตกจากนั้นก้มลงไปเก็บและก็พบว่ามีเม็ดยาสีแดงเม็ดหนึ่งอยู่ใต้นั้น ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาและในจังหวะที่ลุกขึ้นมาก็หยิบมันเข้าปากอย่างรวดเร็ว ทุกอย่าเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสักคน! สองพี่น้องรู้สึกโศกเศร้าและละอายใจเป็นที่สุด คนคนนั้นเป็นถึงบิดาแท้ๆของพวกเขา แต่ว่าพวกเขาก็ไม่อาจไม่ปกป้องตนเอง ฉ่ายเวินกินดื่มไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา หญิงสาวผุกลุกขึ้นเรียกสายพระเนตรที่ทอดมองมาอย่างให้ความสนใจจากนั้นก็เอ่ยทูลกับฝ่าบาท “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยากไปหาพี่สาวของหม่อมฉัน!” แต่ไรมาฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปราณในความไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาของฉ่ายเวินอยู่แล้ว ยิ่งยามนี้นางดื่มสุราจนแก้มแดงระเรื่อ ทำให้ใบหน้ายิ่งดูงดงามและน่าเอ็นดูมากขึ้น พระองค์จึงตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยนขึ้นมา “อืม ไปเถิด!” ฉ่ายเวินย่อกายลง “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท ฝ่าบาทพระทัยดีเหลือเกิน!” กล่าวจบนางก็วิ่งจากไปอย่างร่าเริง ฮ่องเต้ทรงปรายพระเนตรไปทางหลี่เฉินเย่นก็พบว่ายามนี้หลี่เฉินเย่นกำลังสนทนากับหลี่ซี่อย่างออกรส ไม่ได้สนใจฉ่ายเวินที่มาขออนุญาติไปพบชูเซี่ยเลยแม้แต่น้อย หลี่ซี่เองก็ไม่รู้ว่ากล่าวอะไรกับชายหนุ่มเพราะจู่ๆหลี่เฉินเย่นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ดูท่าว่าคงดื่มสุราไปไม่น้อยเพราะยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำและเริ่มนั่งไม่ค่อยตรง จากนั้นก็ทรงหันไปทางหลี่อวิ่นกัง ดวงตาของหลี่อวิ่นกังกำลังมองไปที่อานเหยียนที่อยู่ในอ้อมกอดของหรงเฟย ใบหน้าคมฉายแววอ่อนโยนและอมยิ้มเล็กน้อย ภาพตรงหน้าช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแลพรักใคร่กลมกลืนกันมาก ภายในพระทัยของฮ่องเต้เกิดความรู้สึกละอายขึ้นมา แต่ทว่าพระองค์ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการจะป้องกันต่างหากเล่า หากว่าโอรสทั้งสองของพระองค์ไม่คิดจะแย่งชิงบัลลังก์จากพระองค์ พระองค์ก็คงจะไม่ลงมือเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้หรอก ตัวพระองค์เองก็หาได้อยากทำเช่นนี้เสียเมื่อใดเล่า พระองค์เองก็หวังว่าลูกชายของพระองค์จะเติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง คอยดูแลปกป้องแผ่นดินของพระองค์เช่นนี้ต่อไป แต่ทว่าพระองค์ก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าพวกเขาจะมาแย่งชิงบัลลังก์ไปจากพระองค์ ตอนที่ฉ่ายเวินมาถึงตำหนักฉ่ายเหว่ย ชูเซี่ยก็กำลังนั่งปักผ้าอยู่ที่โต๊ะ เย็บปักถักร้อยเป็นงานอดิเรกใหม่ที่ชูเซี่ยค้นพบและชอบมากที่สุดในระยะนี้ นางหัดฝีมือการเย็บปักมาจากนางข้าหลวงผู้หนึ่งในวัง ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบันของนางนางถือมีดผ่าตัดและเย็บแผลให้ผู้ป่วยมามากมาย ฝีเข็มของนางที่ราวกับการเต้นระบำในการเย็บปักถักร้อยจึงดีเยี่ยมและช่วยให้นางคลายความคิดถึงไปได้บ้าง “พี่สาว!” ฉ่ายเวินส่งเสียงเรียกพร้อมทั้งวิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของชูเซี่ยอย่างรวดเร็ว ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองนางก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “เจ้ามาแล้วหรือ!” ฉ่ายเวินพยักหน้า “มาแล้วเจ้าค่ะ ในงานเลี้ยงข้าฟังที่พวกเขาพูดคุยกันไม่รู้เรื่องและไม่น่าสนใจแม้แต่น้อย ข้าเลยคิดว่ามาหาพี่สาวจะดีกว่าเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยเก็บของลงตะกร้าเข็มจากนั้นก็สั่งให้ชิงหลานไปเตรียมน้ำชามา “ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉ่ายเวินเม้มปาก “ก็ดีเจ้าค่ะ ทันทีที่เขากลับมาก็เอาแต่ถามหาเฉินอวี่จู๋ ความรักของสามีภรรยาคู่นี้ช่างรักใคร่ปรองดองดีเหลือเกิน” ชูเซี่ยยิ้มออกมา “ก็พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ไม่พบเจอกันนานเขาก็ย่อมคิดถึงภรรยาของเขาก็สมควรแล้ว” ฉ่ายเวินเงยหน้ามองนางก่อนเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ “แต่ว่า ผู้หญิงคนนั้นถือสิทธิ์อะไรมาครอบครองตำแหน่งพระชายาเล่าเจ้าคะ เดิมทีตำแหน่งพระชายาควรเป็นของพี่สาวจึงจะถูก” ชูเซี่ยกดเสียงให้ต่ำลง “อย่าได้พูดเหลวไหล กำแพงมีหูประตูมีช่อง!” ฉ่ายเวินจึงลดเสียงให้เบาลงอีกนิด “ก็มันจริงนี่เจ้าคะ พี่สาวไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือเจ้าคะ หรือว่าท่านไม่รักศิษย์พี่ของข้าแล้ว?” ริมฝีปากของชูเซี่ยกระตุกรอยยิ้มจางๆ “ตอนนี้พูดอะไรก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว ข้าเองก็เข้ามาถวายตัวในวังกลายเป็นหวงกุ้ยเฟย ส่วนเขาเองก็แต่งพระชายาไปแล้ว ข้ากับเขามีบุญวาสนาได้พานพบแต่ไร้วาสนาที่จะได้ครองคู่” ฉ่ายเวินจ้องมองนางพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “พี่สาวจะไม่ถอดใจเร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ ข้ากับท่านไม่เหมือนกันเลยสักนิด หากข้าชอบคนคนหนึ่งแล้วข้าก็จะปักใจรักเพียงเขาแค่ผู้เดียว” ในใจของชูเซี่ยกระตุกวูบแต่กระนั้นนางก็ยังแสร้งเอ่ยถามออกไปอย่างหยอกเย้า “เช่นนั้นคนที่เจ้าชอบคือใครกันนะ คุณชายหลี่?” ใบหน้าของฉ่ายเวินขึ้นสีแดงระเรื่อ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้าบ้านั่น ตอนนี้เขาสนิทสนมกับศิษย์พี่มากเลยเจ้าค่ะ ตอนแรกศิษย์พี่เองก็คัดค้านอยู่บ้างแต่ตอนนี้ไม่แล้ว ทั้งยังให้ข้ากับเขาดูๆกันให้มากขึ้นอีกด้วย” ชูเซี่ยลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของนางก่อนจะถามเสียงเรียบ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไรกันล่ะ ชอบคุณชายหลี่หรือไม่” ฉ่ายเวินบีบมือของตนแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็คิดว่าเขาเองก็ดีแต่มาบัดนี้ข้ากลับรู้สึกว่าข้ากับเขาเข้ากันไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก” “หากว่าเจ้าไม่ชอบเขาก็ต้องบอกฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ต้นอย่าได้ให้ความหวังแก่เขามากไปกว่านี้!” เช่อเอ๋อเขย่ามือชูเซี่ยไปมา “พวกเราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถิดเจ้าค่ะ พี่สาว ท่านอยู่ในวังชินหรือยังเจ้าคะ” ชูเซี่ยยักไหล่ “มีอะไรให้ไม่ชินกันเล่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดกันนอนหนึ่งห้องกินอาหารสามมื้อเหมือนเดิม!” ฉ่ายเวินหยิบซองจนหมายออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้แก่ชูเซี่ย “พี่สาว นี่เป็นจดหมายที่ศิษย์พี่ฝากมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยรู้สึกอึดอัดใจและปวดใจไม่น้อย เขาและนางในเวลานี้สามารถสื่อสารพูดคุยได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น
已经是最新一章了
加载中