ตอนที่ 126 คนที่ใกล้ตาย
1/
ตอนที่ 126 คนที่ใกล้ตาย
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 126 คนที่ใกล้ตาย
ตนที่ 126 คนที่ใกล้ตาย หมอหลวงชางกวนกลับวังมาทูลบอกอาการของเฉินอวี่จู๋แก่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็หาใช่ผู้ที่ไร้มโนธรรมถึงเพียงนั้น เมื่อรู้ว่าหลานของพระองค์มีอันตรายอาจจะไม่อาจรักษาไว้ได้ก็ทรงร้อนพระทัยอย่างยิ่ง จนในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยให้ส่งเฉินอวี่จู๋ไปที่ตำหนักฉ่ายเหว่ยเพื่อให้หวงกุ้ยเฟยทำการรักษานาง ส่วนหลี่เฉินเย่นที่เป็นสามีของเฉินอวี่จู๋ก็ต้องตามมาในวังด้วยอยู่แล้ว แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้เสด็จมาดูด้วยพะรองค์เองแต่พระองค์ก็ทรงส่งจูฟางหยวนมาที่ตำหนักฉ่ายเหว่ยโยอ้างว่าเพื่อดูแลความปลอดภัยแต่แท้จริงแล้วก็เพื่อทรงมาสอดแนมและถวายรายงานแก่พระองค์เป็นระยะนั่นเอง ชูเซี่ยตรวจอาการของเฉินอวี่จู๋อย่างละเอียด ทั้งยังถามความเป็นอยู่ของนางตลอดเดือนนี้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติที่นางเคยทำมาตลอด แต่ทว่าอาการของนางย่ำแย่ก็มาจากสาเหตุหลักๆคือการสูญเสียเลือดมากจนเกินไป ชูเซี่ยจัดแจงให้เฉินอวี่จู๋เข้ามาพักที่เรือนหลินหยูในตำหนักฉ่ายเหว่ย หญิงสาวหันมาพูดคุยกับหลี่เฉินเย่น “ท่านก็ให้นางพักที่นี่ก่อนสักระยะ ตอนนี้ข้าเองก็ยังหาสาเหตุของโรคนางไม่ได้ แต่ตอนนี้นางเสียเลือดมากเกินไปข้าจึงคิดว่าจะเพิ่มเลือดในร่างกายให้นางเสียก่อน” การเพิ่มเลือดอาจจะทำได้ไม่เร็วเท่าการถ่ายเลือดนัก แต่ทว่าที่นี่ไม่มีวิธีตรวจสอบกรุ๊ปเลือดอุปกรณ์การถ่ายเลือดไม่สามารถทำได้เช่นกัน ในเมื่อมีทางเลือกไม่มากนักนางจึงทำได้เพียงแค่หาทางเพิ่มเลือดในร่างกายเฉินอวี่จู่โดยธรรมชาติและให้นางพักฟื้นมากๆเท่านั้น เมื่อออกจากเรือนหลินหยูมาหลี่เฉินเย่นก็ไล่ผู้ติดตามให้ถอยออกไปก่อนจากนั้นก็จ้องมองชูเซี่ยด้วยสายตาปวดใจระคนสงสาร “เจ้าผอมเหลือเกิน ลำบากมากเลยหรือ” ชูเซี่ยเองก็มองสบสายตาอีกฝ่ายก่อนเอ่ยเสียงอุบอิบ “นอกจากเป็นห่วงท่านและคิดถึงท่านแล้วก็ไม่มีตรงไหนที่ทำให้ข้าลำบากหรอกเจ้าค่ะ” จูฟางหยวนให้พวกเขาสองคนเข้าไปคุยกันในห้องห้องหนึ่ง “ข้าจะดูต้นทางอยู่ข้างนอกพวกเจ้าจะคุยอะไรก็รีบๆเข้า!” ชูเซี่ยส่งสายตาขอบคุณให้แก่จูฟางหยวนก่อนที่อีกฝ่ายจะปิดประตูให้ หลี่เฉินเย่นโอบร่างบอบบางของนางเข้ามาในอ้อมแขนจากนั้นก็ยืนนิ่งๆซึมซับช่วงเวลาอบอุ่นของทั้งคู่ ทั้งสองฟังเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน มันหนักแน่นแต่ก็กระหน่ำเต้นยังแรงและเร็ว ชายหนุ่มกระซิบอยู่ข้างหูของนาง “ช่วงเวลาแห่งความทุข์ทรมานของเราอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เจ้าต้องรอข้านะ!” ชูเซี่ยอิงแอบอยู่ที่แผ่นอกของเขา หญิงสาวฟังเสียงหัวใจเต้นและถ้อยคำสัญญาของเขาอย่างตื้นตันจากนั้นก็เอ่ยตอบอย่างหนักแน่น “ข้าจะรอท่าน นานแค่ไหนข้าก็จะรอ!” หลี่เฉินเย่นจรดริมฝีปากลงบนติ่งหูของนางก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลำบากใจแหบพร่า “พระองค์ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่” คำว่าลำบากใจของเขาคงหมายถึงเรื่องพระองค์ขืนใจนางหรือไม่กระมัง ชูเซี่ยเข้าใจได้และส่ายหน้าเบาๆ”วางใจเถิด หากข้าไม่ยินยอมพระองค์ก็ไม่กล้า อย่างน้อยข้าก็เป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหิน พระองค์ย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรข้าจนทำให้ผิดใจกับพรรคแน่! จุดประสงค์ของพระองค์ที่ให้ข้าเข้าวังก็เพราะหวังจะได้พรรคมังกรเหินมาไว้ในมือเสียมากกว่า หาได้ต้องการตัวข้าหรอกเจ้าค่ะ” คำพูดของนางเป็นดั่งน้ำที่ชะโลมจิตใจ พวกเขาทั้งคู่รู้ดีว่าฝ่าบาทเองก็มีความรู้สึกพิเศษต่อชูเซี่ย ดังนั้นอย่างไรเสียพระองค์ก็ไม่บีบบังคับฝืนใจชูเซี่ยเป็นแน่ พระองค์คงหมายให้ชูเซี่ยยอมรับและเปิดใจให้แก่พระองค์ด้วยตัวนางเองมากกว่า ชูเซี่ยค่อยๆคลายอ้อมแขนออกจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ข้าได้ยินจากฉ่ายเวินว่าเฉินหยวนชิ่งช่วยชีวิตท่านไว้ตอนที่อยู่ในสนามรบ ท่านบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ” “บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น เริ่มแห้งแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก!” ชูเซี่ยเอ่ยอย่างโศกเศร้าเสียใจ “ข้าไม่อยากให้ท่านไปออกรบอีกแล้ว ท่านอยู่ข้างนอกนั่นหนึ่งวันข้าก็ต้องทนทุกข์หนึ่งวันเช่นกัน ทุกวันข้าเอาแต่เฝ้ารอข่าวคราวของท่านแม้กระทั่งตอนที่ท่านกลับมาถึงเมืองหลวงข้าก็เกรงว่าท่านจะต้องพบเจออันตรายอีก ข้าอยากให้ท่านคอยอยู่ข้างๆข้ามากกว่าข้าถึงจะวางใจได้” หลี่เฉินเย่นมองนางด้วยสายตาซาบซึ้ง “เด็กโง่ ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ในค่ายทหารไม่คิดถึงไม่ห่วงเจ้าหรือไงเล่า แต่พวกเราก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ ขอเพียงเจ้าดูแลตนเองให้ดี ข้าก็จะดูแลเป็นอย่างดี เชื่อใจข้าเถิด ดีหรือไม่” ชูเซี่ยถอนหายใจ “ข้าเชื่อท่านแต่ก็ไม่อาจสงบใจลงได้นี่นา เฉินเย่น ยามนี้ข้าอยู่ในวังทำอะไรไม่ค่อยอิสระมากเท่านัก ข้าจะสั่งให้คนของพรรคมังกรเหินคุ้มครองท่าน!” จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้ง “ยาเม็ดสีแดงที่ข้าให้ท่านกินวันนั้น ท่านกินหรือยังเจ้าคะ” “กินตั้งแต่แรกที่ได้รับแล้วและก็ให้เสด็จพี่ไปแล้ว วางใจเถิด!” “พระองค์ลอบวางยาพิษในสุราของพวกท่าน ยาที่ข้าให้ท่านไปเป็นยาที่สามารถแก้พิษได้ร้อยชนิด ท่านอาจารย์เป็นคนมอบให้ข้าเองเจ้าค่ะ เมื่อกินเข้าไปในร่างกายแล้ว ยาตัวนี้จะทำงานอยู่ภายในร่างกายท่านถึงหนึ่งปีเต็ม ระหว่างหนึ่งปีนี้ไม่ว่าพิษชนิดใดก็ไม่สามารถทำอะไรพวกท่านได้” ดวงตาคมของชายหนุ่มเปร่งประกายสังหารก่อนจะถามเสียงทุ้มเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาวางยาพิษอะไรกับพวกเรา” ดวงตาของชูเซี่ยก็แข็งกร้าวขึ้นทันที “พิษสลายวิญญาณ!” ร่างทั้งร่างของหลี่เฉินเย่นสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ พิษสลายวิญญาณเป็นพิษที่มักจะนำมาใช้ควบคุมคน มีลักษณะคล้ายกับพิษที่ท่านอ๋องเก้าได้รับคือต้องได้รับยาแก้พิษทุกๆเดือน หากไม่ได้รับตามเวลาที่กำหนดร่างกายก็จะค่อยๆเน่าเปื่อยและสติเลอะเลือนช้าๆ ยาพิษสลายวิญญาณมีความซับซ้อนและวิธีทำที่ยุ่งยากมากเพราะจำเป็นต้องใช้ส่วนผสมที่มีพิษถึงสิบชนิด แต่ละชนิดล้วนเป็นของที่หายากและล้ำค้ายิ่งนัก ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะได้มาครอบครอง ยาพิษชนิดนี้ไร้สีไร้กลิ่นไร้รสชาติ ผู้ที่รับพิษเข้าไปหากได้รับยาแก้ก็ไม่นับว่ามีปัญหาอะไร แต่หากภายในสิบสองชั่วยามไม่ได้รับยาแก้แล้วล่ะก็พิษก็ค่อยๆกำเริบอย่างช้าๆ สามชั่วยามแรกร่างกายจะมีเลือดไหลออกเจ็ดทวาร สิบสองชั่วยามผ่านไปแม้แต่เทวดาก็ไม่อาจช่วยได้ ชายหนุ่มยิ้มเย็น “สมแล้วที่เป็นสเด็จพ่อของข้า แม้แต่ยาพิษก็ยังใช้ยาพิษที่มีค่าควรเมืองเช่นนี้” ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามขึ้นอีก “เจ้ารู้ได้อย่างไหร่ว่าพระองค์ใช้พิษสลายวิญญาณ” ชูเซี่ยตอบเสียงเบา “เสี่ยวเต๋อจื่อเป็นคนของท่าน เรื่องนี้พระองค์ก็พอจะระแคะระคายบ้างแล้วจึงไม่ค่อยเรียกใช้เขาอีก แต่ทว่าที่พระองค์ไม่ทราบก็คือเว่ยกงกงเป็นคนของพรรคมังกรเหิน เขาเป็นคนของข้า!” เว่ยกงกงอยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานหลายปี เขาได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ยิ่งกว่าผู้ใด ตอนนั้นที่พระชายาเจิ้นหยวนถูกวางยาพิษ ฮ่องเต้ก็ทรงรับสั่งให้เว่ยกงกงและหลี่เฉินเย่นเป็นผู้สอบสวนเรื่องนี้ แต่ต่อมาไทเฮาทรงประชวนหนัก เว่ยกงกงจึงถูกส่งตัวไปดูแลไทเฮาอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งไทเฮาทรงสวรรคตไปแล้วเขาจึงกลับมาอยู่ข้างกายฝ่าบาทอีกครั้ง หลี่เฉินเย่นรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา “แม้ว่าเสด็จย่าจะไม่อยู่แล้วแต่พระองค์ก็ยังคงวางแผนชีวิตให้เราอย่างดี ช่างเป็นย่าที่ประเสริฐเหลือเกิน!” “ก่อนที่เสด็จย่าจะสวรรคตพระองค์ให้ข้าเอ่ยคำสัตย์สาบานว่าจะต้องปกป้องพวกท่านสองพี่น้องด้วยชีวิตของข้า ความปลอดภัยของพวกท่านเป็นสิ่งเดียวที่คอยปลอบประโลมและเยียวยาพระทัยของเสด็จย่าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้!” หลี่เฉินเย่นได้ฟังคำพูดของนาง หัวใจก็ตื่นตะลึงและหวาดกลัวขึ้นมา ชายหนุ่มรวบร่างของนางมากอดไว้แน่น “ไม่ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าใช้ชีวิตของเจ้ามาปกป้องพวกเราเลยแม้แต่น้อย ข้าหวังเพียงแค่เจ้าจะปลอดภัยและใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเท่านั้น” หัวใจของชูเซี่ยหวานล้ำ แม้ว่าสถานการณ์ก่อนหน้าที่พวกเขาพบเจอจะทำให้ลำบากไม่น้อยแต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จูฟางหยวนที่ดูต้นทางอยู่ข้างนอก เอ่ยเสียงรีบเร่ง “มีคนมา เร็วเข้า!” หลี่เฉินเย่นก้มหน้าลงประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มของนางแผ่วเบาก่อนจะมองสบสายตานางอย่างลึกซึ้ง “อยู่ในวังเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้ต่อต้านเขาเด็ดขาด!” ชูเซี่ยเข้าใจความหมายของเขา ระหว่างชีวิตกับร่างกาย เขาอยากให้นางเลือกที่จะปกป้องชีวิตของนางเองมากกว่า ต่อให้พระองค์ต้องการร่างกายของนางจริงนางก็จำเป็นต้องยอมเพื่อรักษาชีวิตของตนไว้ นางเอ่ยกลับเสียงเบาทว่าหนักแน่น “ท่านวางใจเถิด ข้าย่อมปกป้องตนเองอย่างสุดความสามารถ!” ทั้งคู่จ้องตากันส่งผ่านความรักและคำพูดมากมายให้แก่กันอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งประตูถูกเปิดออก จูฟางหยวนก้าวมายืนระหว่างคนทั้งคู่ จากนั้นพวกเขาจึงเห็นว่ามีองรักษ์เดินมาทางนี้หลายนาย ชูเซี่ยหันมาหาหลี่เฉินเย่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิด พระชายาของท่านอยู่กับข้า ข้าย่อมต้องดูแลนางอย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว ท่านเองก็วางใจกลับจวนไปพักผ่อนก่อนเถิด” หลี่เฉินเย่นโค้งกายคำนับ “เมื่อเป็นเช่นนั้น เปิ่นหวางก็ขอรบกวนหวงกุ้ยเฟยแล้ว!” กล่าวจบชายหนุ่มก็หมุนกายจากไปพร้อมเหล่าองครักษ์โดยไม่คิดจะหันกลับมามองชูเซี่ยอีก หลังจากหลี่เฉินเย่นกลับไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงเรียกเหล่าข้าหลวงและองครักษ์ในตำหนักฉ่ายเหว่ยเข้าเฝ้ารวมถึงคำบอกเล่าของจูฟางหยวนก็ได้ความว่าระหว่างหลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยไม่มีแม้กระทั่งแลกเปลี่ยนสายตาหรือสบตากันเลยด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงวางพระทัยลงไปได้บ้าง เมื่อเฉินอวี่จู๋เข้ามารักษาในวังฮองเฮาก็ไม่อาจจะไม่เสด็จมาเยี่ยมนางได้ เมื่อก่อนพระองค์พยายามหลีกเลี่ยงการมาพบปะชูเซี่ยมาโดยตลอดเพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงทราบว่าพระองค์เป็นพวกเดียวกันกับชูเซี่ย ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยให้ความสนพระทัยในตัวชูเซี่ยเลยสักนิดแม้กระทั่งบางครายังทรงปั้นสีพระพักตร์เมินเฉยยามต่อหน้านางเสียด้วยซ้ำ ในวันนี้ยามที่พระองค์มาเยือนที่ตำหนักนางก็ทรงตรัสกับนางเล็กน้อยให้ว่าให้นางคอยดูแลและทุ่มเทรักษาพระชายาอย่างสุดความสามารถ ชูเซี่ยทั้งหนักใจและอึดอัดแต่นางก็ยังจับได้ว่าต่อให้พระองค์จะแสร้งหมางเมินต่อนางสีพระพักตร์ของพระองค์ก็ยังทรงอ่อนโยนอยู่เสมอ หรงเฟยเองก็มาด้วยกันกับฮองเฮาเช่นกัน เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นลง ทั้งสามคนก็เหลือไว้เพียงสาวใช้ข้างกายที่ไว้ใจได้เท่านั้น นอกนั้นก็ให้ออกไปจนหมด ฮองเฮาทรงตรัสถามชูเซี่ยอย่างกังวล “อาการของอวี่จู๋เป็นอย่างไรบ้าง” ชูเซี่ยเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง “ไม่สู้ดีนักเพคะ!” หรงเฟยดึงมือของชูเซี่ยไว้จากนั้นก็เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้คนทำป้ายชื่อของเจ้าแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานพระองค์จะต้องเรียกเจ้าปรนนิบัติแน่” พระเนตรของฮองเฮาทรงทอประกายคมกล้าดุจดาบ “เจ้าอยู่ในวังไม่ได้อีกแล้ว เราจะส่งเจ้าออกไป” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองสบพระพักตร์ “อย่าเลยเพคะ ถึงแม้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หม่อมฉันก็สามารถจัดการได้เพคะ!” หรงเฟยถอนหายใจ “ชูเซี่ย คนที่เจ้าต้องเผชิญหน้าไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆนะ พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ ต่อให้เจ้าจัดการได้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตลอดไปหรอกนะ ข้าว่าเจ้าหนีออกจากวังไปเถิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเราก็จะคอยรับไว้ให้ ฝ่าบาทก็คงไม่ถึงขั้นลงอาญาข้าและฮองเฮาเพื่อเจ้าเพียงคนเดียวหรอก” การที่หรงเฟยกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง อย่าว่าแต่ลงอาญาเลย แม้ว่าจะถูกสังหารก็เกรงว่าพระองค์ก็คงไม่คิดจะสงสารหรือเสียพระทัยแม้แต่น้อย ชูเซี่ยรู้ว่าหรงเฟยกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อให้นางสบายใจแต่ทว่าจะให้นางทิ้งคนที่นี้ไว้ได้อย่างไร ชูเซี่ยกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร เชียนซานก็เดินเข้ามาข้างในอย่างร้อนรน “นายหญิงเจ้าคะ พระชายานางอาเจียนเป็นเลือดเจ้าค่ะ!” ทุกคนในห้องต่างก็ตื่นตระหนกกันหมด ชูเซี่ยลุกขึ้นจากนั้นก็วิ่งตรงไปที่เรือนหลินหยู ฮองเฮาและหรงเฟยเองก็ตามหลังไปติดๆ ตานเสวี่ยและเสี่ยวหลานพยุ่งร่างของเฉินอวี่จู๋ให้นั่งลงที่หัวเตียง มีกองเลือดสีแดงเต็มพื้นสีขาวไปหมด เฉินอวี่จู๋ที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงไอไม่หยุด ไอจนร่างบอบบางสั่นสะท้านไปหมด ตานเสวี่ยปาดน้ำตาออกก่อนจะลูบหลังนายของตนเบาๆ เมื่อเห็นว่าชูเซี่ยเข้ามาในห้อง ตานเสวี่ยก็วิ่งเข้ามาและคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยขอร้องอ้อนวอน “หวงกุ้ยเฟย ได้โปรดช่วยพระชายาของหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันขอร้องท่าน...” ชูเซี่ยก้าวมาข้างหน้าและพยุงร่างของตานเสวี่ยขึ้นจากพื้น จากนั้นก็เข้าไปช่วยเสี่ยวหลานพยุงเฉินอวี่จู๋ให้นั่งบนเตียงตรงๆ ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับกระดาษ เหงื่อไหลโทรมกาย ริมฝีปากไร้สี เหงื่อบนหน้าที่ไหลชะล้างเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าจนหมด ทำให้มีสภาพน่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง หญิงสาวยังคงไอไม่หยุดแต่นางก็พยายามคว้ามือของชูเซี่ยไว้แน่นก่อนจะพยายามเอ่ยอย่างยากลำบาก “ข้า...ข้ามีเรื่อง...อยากพูดกับท่าน...ข้า...” ชูเซี่ยลูบหน้าอกเขาเบาๆก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เจ้าพักก่อนเถิด มีเรื่องอะไรไว้รอเจ้าหายดีก่อนค่อยพูดกันก็ได้!” เฉินอวี่จู๋จ้องเขม็งมาที่ชูเซี่ย นางหายใจอย่างยากลำบาก หญิงสาวมีเรื่องมากมายที่จะบอกกับชูเซี่ยจริงๆ เสียงหอบหายใจอย่างยากลำบากดังไปทั่วห้อง ดวงตาของนางเบิกกว้างพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมลมหายใจของตนให้กลับมาเป็นปกติ แต่ทว่าอาการก็ดูไม่ดีขึ้นเลย นางยังคงพูดไม่ได้เช่นเดิม แม้กระทั่งหายใจนางก็ลำบากอย่างมากแล้ว ฮองเฮาเสด็จมาประทับบนเตียงจากนั้นก็กุมมือของผู้ป่วยไว้ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา “อวี่จู๋ อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด เสด็จแม่อยู่นี่” ชูเซี่ยเอื้อมมือไปจับมือของเฉินอวี่จู๋เพื่อตรวจชีพจรของนาง ชีพจรของนางแผ่วเบาและเต้นอ่อนมาก นี่เป็นสัญญาณของชีวิตที่ใกล้จะสูญสิ้นแล้ว หัวใจของนางตื่นกลัวไปหมด นางสูดลมหายใจลึกๆจากนั้นก็หยิบห่อเข็มทองออกมา ฝังลงจุดชีพจรเพื่อรักษาอัตรการเต้นของหัวใจนางไว้ เพราะเช่นนั้นเองเฉินอวี่จู๋จึงค่อยๆสงบลงได้ ชูเซี่ยตรวจชีพจรผู้ป่วยของนางอีกครั้ง หญิงสาวตรวจสอบชีพจรและการเต้นของหัวใจของคนบนเตียง จากนั้นก็หมอบลงไปดูกองเลือดของนางที่พื้น หญิงสาวลองเอานิ้วแตะเลือดสีสดที่พื้นก่อนจะลองถูมันบนนิ้วเบาๆก้พบว่าเลือดมันไม่ยอมแห้งเสียที นางจึงรู้สึกสงสัยไม่น้อย ตอนที่นางเดินทางจากในห้องนั้นมันจนถึงตำหนักก็ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งก้านธูป หากเป็นเลือดทั่วไปก็คงค่อยๆแห้งไปแล้ว แต่ทว่า เลือดที่อยู่บนพื้นกลับยังสดใหม่และไม่มีทีท่าว่าจะแห้งเลยด้วยซ้ำ สถานการณ์เช่นนี้ไม่ปกติอย่างยิ่ง
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 126 คนที่ใกล้ตาย
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A