ตอนที่ 127 มีความหมายอื่น   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 127 มีความหมายอื่น
ต๭นที่ 127 มีความหมายอื่น ตกดึกนางก็ให้เชียนซานไปเชิญฝ่าบาทให้เสด็จมา นางต้องการจะเอ่ยทูลขอร้องฝ่าบาทให้ทรงอนุญาติให้นางออกจากวังไปจวนอ๋องหนิงอานสักครั้ง นางอยากไปตรวจดูอาหารการกินของเฉินอวี่จู๋ด้วยตนเอง ในเมื่อร่างกายไม่อาจตรวจดูได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านี่จะเป็นการวางยาพิษ แต่ทว่านางก็ตรวจไม่พบสารพิษในร่างกาย ที่แสดงให้เห็นชัดก็มีเพียงเสียเลือดมากเท่านั้น สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ในขณะนี้ก็คือเลือดของนางค่อนข้างผิดปกติ แน่นอนว่าชูเซี่ยย่อมไม่เอ่ยเรื่องยาพิษให้ฝ่าบาททรงทราบเด็ดขาด นางบอกเพียงว่าต้องการตรวจดูอาหารให้แน่ชัดเท่านั้น ฝ่าบาทเองก็ทรงเห็นว่ายากนักที่นางจะยอมก้มหัวอ้อนวอนตนจึงไม่กล้าขัดใจนาง “พรุ่งนี้เช้าเราจะให้เว่ยเจียงและจู ฟางหยวนตามเจ้าออกไปนอกวังด้วย!” ที่พระองค์เจาะจงให้เป็นพรุ่งนี้เช้าก็เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าหลี่เฉินเย่นเองก็ต้องออกมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่ท้องพระโรงตั้งแต่เช้าเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ในจวนและทั้งคู่ก็คงไม่มีโอกาสได้พบกัน ชูเซี่ยย่อกายลงช้าๆ “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” เดิมทีฝ่าบาทก็ทรงไม่ไว้วางพระทัยในตัวชูเซี่ยนักดังนั้นจึงมีรับสั่งให้เว่ยกงกงและจูฟางหยวนออกไปนอกวังพร้อมนางด้วยกอปรกับที่พระองค์มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับนางมานาน นางเองก็ไม่ยอมโอนอ่อน ส่วนพระองค์เองก็เป็นถึงฮ่องเต้ย่อมไม่อาจจะยอมก้มหัวให้นางได้ แต่มาวันนี้นางกลับเป็นฝ่ายมาขอร้องพระองค์เองด้วยท่าทีที่อ่อนข้อให้ พระองค์ก็ต้องถือโอกาสนี้ทำตนเป็นคนดีและเปลี่ยนใจของนางให้ได้ ในเช้าวันถัดมาชูเซี่ยก็ออกเดินทางไปจวนอ๋อง ตานเสวี่ยเองก็ติดตามนางออกไปนอกวังด้วยกันเหลือเสี่ยวหลานไว้คอยดูแลเฉินอวี่จู๋อยู่ภายในวัง ตานเสวี่ยนำรายการอาหารและวัตถุดิบที่เตรียมไว้สำหรับทำสำรับให้แก่เฉินอวี่จู่มอบให้ชูเซี่ยดูทั้งหมด ชูเซี่ยเองก็ตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน อาหารและวัตถุดิบพวกนี้ต่อให้นำมากินร่วมกันหรือปรุงอย่างไรก็ไม่ทำให้เกิดพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เลย แน่นอนว่าการตรวจค้นแบบนี้แทบจะไม่ช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะหากว่ามียาพิษอยู่จริงก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกคนวางยาพิษกำจัดไปแล้ว เมื่อฉ่ายเวินรู้ว่านางมาก็วิ่งอย่างร่าเริงมาหานาง เมื่อเห็นว่านางวุ่นวายอยู่ในครัวก็อดถามขึ้นอย่างสงสัยไม่ได้ “พี่สาว ท่านหาอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพลางหัวเราะน้อยๆ “ไม่ได้หาอะไรหรอก ก็แค่ตรวจดูว่าอาหารที่พระชายากินในแต่ละวันมีปัญหาอะไรหรือไม่” ฉ่ายเวินก็ถามอย่างประหลาดใจ “อาหารจะไปมีปัญหาอะไรได้เล่าเจ้าคะ แล้วอาการของนางดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ” ชูเซี่ยก็เอ่ยตอบ “อืม ก็นับว่าดีขึ้นแล้ว แต่ก็ต้องรอให้หายสนิทเสียก่อน อีกทั้งก็ต้องหาที่มาของโรคนี้ให้ได้ด้วย” ฉ่ายเวินร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ถ้าเช่นนั้นก็ดียิ่ง!” ชูเซี่ยมองฉ่ายเวินด้วยประกายตาบางอย่าง “นางเพิ่งเริ่มป่วยหลังจากที่ท่านอ๋องไปออกรบหรือ แล้วเจ้ารู้เรื่องอาการป่วยของนางหรือไม่” “ข้าพอรู้บ้างเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่รู้ว่านางจะร้ายแรงถึงเพียงนั้น แรกเริ่มข้าก็นึกว่านางเพียงแค่แกล้งป่วย ท่านก็รู้นี่เจ้าคะว่านางเป็นพวกคุณหนูเหยีบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ร่างกายสูงส่งกว่าคนทั่วไปอีกทั้งตอนนี้นางก็เริ่มตั้งครรภ์แล้วร่างกายจึงอ่อนแอเป็นปกติอยู่แล้ว ข้าจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก อีกอย่างจวนอ๋องเองก็มีหมอหลวงคอยดูแลนางอยู่แล้ว ข้าก็คิดว่าไม่นานนางก็คงจะหายดีไม่น่าห่วงเจ้าค่ะ” แต่ไหนแต่ไรฉ่ายเวินก็ไม่ชอบเฉินอวี่จู๋อยู่แล้ว พอมายามนี้ที่พูดถึงอาการป่วยของอีกฝ่ายน้ำเสียงของนางไร้ความเมตตาสงสารเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพูดถึงคนแปลกหน้า ชูเซี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก หญิงสาวตรวจตราของบำรุงที่ทางวังส่งมาให้เพื่อบำรุงครรภ์ของเฉินอวี่จู๋ แม้ว่าก่อนหน้านี้จูเก๋อหมิงจะมาตรวจแล้วครั้งหนึ่งและไม่พบปัญหาอะไร แต่ยามนี้นางก็ตรวจอีกครั้งเพื่อความมั่นใจและก็พบว่ามันไม่มีพิษเจือปนอยู่จริงๆ หลังจากที่ชูเซี่ยเสร็จสิ้นธุระของตนแล้วฉ่ายเวินก็ดึงมือของนางไว้ “พี่สาว ข้าอยู่ในจวนอ๋องเบื่อเหลือเกิน ท่านพาข้าเข้าวังไปเล่นหน่อยได้หรือไม่” ชูเซี่ยหันมามองเด็กสาว “อยู่ในวังยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่ อิสระก็ไม่มีอยู่ในจวนไม่ดีกว่าหรือไงกัน” สีหน้าของฉ่ายเวินดูผิดหวัง “ตอนนี้ศิษย์พี่ก็ยุ่งมาก หลี่ซี่เองก็ยุ่งไปกับเขาด้วย เดี๋ยวนี้พี่จูเก๋อก็ไม่ค่อยมาแล้ว ทุกวันที่ข้าอยู่ในจวนไม่มีอะไรทำเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน!” “เรื่องของเจ้าและหลี่ซี่ไปถึงไหนกันแล้วเล่า เจ้าชอบเขาใช่หรือไม่ หากว่าชอบเขาแล้วก็คงต้องถึงเวลาจัดงานมงคลกันเสียที!” ชูเซี่ยเอ่ยถามอย่างสนใจ ฉ่ายเวินส่ายหน้า สีหน้าของนางดูผิดหวัง “ศิษย์พี่เองก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน เขาบอกว่าข้าอายุก็ไม่น้อยแล้ว ผ่านปีนี้ไปก็อายุยี่สิบเอ็ดเข้าไปแล้ว แต่ว่าพี่สาว ข้าบอกตรงๆนะเจ้าคะว่าตัวข้าเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวของข้าเองรู้สึกอย่างไร มีบางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเขาดีต่อข้าเหลือเกิน ช่วงเวลาที่ข้ากับเขาอยู่ด้วยกันก็มีคามสุขไม่น้อย แต่ถ้าหากต้องมาด้วยกันจริงๆข้าก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปอยู่ดี” ชูเซี่ยชะงักมือของนางจากนั้นก็หันมามองใบหน้างามที่ฉายแววกังวลออกมา “หากเจ้าอยู่ที่นี่ไม่มีความสุขงั้นก็ตามข้าไปอยู่ในวังเถิด!” สีหน้าของฉ่ายเวินค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นดีใจหนักหนา “เจ้าค่ะ ข้าจะรีบกลับไปเก็บของเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ!” หลังจากที่ฉ่ายเวินจากไปแล้ว เสี่ยวฉิงก็ค่อยๆเดินมาหานาง “หวงกุ้ยเฟยเพคะ โหร่วยเฟยอยากเชิญท่านไปพบสักครู่!” มี่เหอ? ชูเซี่ยเกือบลืมไปเสียแล้วว่ายามนี้โหร่วเฟยถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในตำหนักของตนเอง เมื่อมานึกดูแล้วนางเองก็ไม่ได้พบมี่เหอนานมากแล้วไม่รู้ว่ายามนี้หญิงสาวจะเป็นเช่นไรบ้าง นางเองก็กังวลเรื่องของมี่เหออยู่บ้าง เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับหลิวหยิงหลงหรือนางนอดีต เรื่องสายสัมพันธ์พี่น้อง นางรู้ดียิ่งกว่าใครว่ามี่เหอไม่ได้เป็นคนทำร้ายนางแน่ หลิวมี่เหอผ่ายผอมลงไปมาก มีผ้าคลุมผืนใหญ่ห่อหุ้มร่างบางของนางไว้ ยามที่หญิงสาวยืนอยู่ที่ลานกว้างเกรงว่าหากมีลมพัดมาแรงหน่อยร่างบอบบางของนางก็อาจจะปลิวไปกับสายลมได้ มี่เหอกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย นอกจากกำไลข้อมือที่สวมใส่อยู่ทั้งร่างของนางรวมถึงศีรษะก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดอีก ร่างบอบบางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆและเดียวดายอยู่เช่นนั้น ดวงตากลมดูปูดโปนเล็กน้อยด้วยความที่นางผอมจนเกินไปจึงดูน่ากลัวอยู่บ้าง หญิงสาวย่อกายลงน้อยๆ “หม่อมฉันถวายบังคมหวงกุ้ยเฟยเพคะ!” “เจ้าผอมลงมาก ร่างกายไม่ค่อยดีหรือ” ชูเซี่ยรู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าว โหร่วเฟยในตอนนี้ผอมแห้งและซีดเซียวราว กลับใกล้จะโรยราช่างต่างกับอดีตเหลือเกิน ชูเซี่ยเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ หลิวมี่เหอส่ายศีรษะเบาๆจากนั้นก็เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ดีหรือไม่ดี ก็ไม่ต่างอะไร” ชูเซี่ยมองดูใบหน้าว่างเปล่าของหญิงสาวอย่างใจหาย หญิงสาวตรงหน้าดูว่างเปล่าราวกับว่าในโลกนี้ไม่เหลืออะไรให้นางต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ในชั่วขณะนั้นเองที่นางรู้สึกว่าหลี่เฉินเย่นช่างโหดร้ายเหลือเกิน แต่นางกลับรู้สึกว่าตนเองโหดร้ายยิ่งกว่า ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าผู้ที่ทำร้ายพระชายาหนิงอานจนถึงแก่ชีวิตก็คือหลิวมี่เหอ แต่ในใจของนางแจ่มแจ้งยิ่งกว่าผู้ใดว่าแท้จริงแล้วเป็นนางต่างหากที่ทำร้ายหลิวมี่เหอจนกลายเป็นเช่นนี้ ชูเซี่ยดึงมือของหญิงสาวมากุมไว้เบาๆ มือของนางผอมมาก ผอมเสียจนนางสัมผัสได้ถึงกระดูกของอีกฝ่าย นางสามารถมองเห็นเส้นเลือดที่หลังมือได้อย่างชัดเจน มือของนางไม่ได้นุ่มหยุ่นและดูอิ่มเอิบแบบเมื่อก่อน มันผอมจนเกินไปทำให้นางคิดถึงกรงเล็บของพวกเหยี่ยว “เข้าไปก่อนค่อยพูดเถิด!” หลิวมี่เหอเดินนำนางเข้ามาในห้อง การจัดแต่งในห้องดูเรียบง่ายไปหมด เฉินอวี่จู๋ไม่เคยมาพบมี่เหอที่เรือนเลยสักครั้งเพราะว่าอีกฝ่ายโดนกักบริเวณไว้อยู่ แต่อวี่จู๋ก็ปล่อยให้นางใช้ชีวิตของนางอย่างเรียบง่ายและไม่ได้ขัดสนอะไร อีกทั้งยังกลัวว่านางจะมีผู้ดูแลไม่พอจึงได้ให้เสี่ยวฉิงมาดูแลปรนนิบัตินางเพิ่มอีกคน เมื่อก่อนเสี่ยวฉิงก็คอยดูแลปรนนิบัตินางแต่ทว่ากลับถูกไล่ออกจากจวนไป เป็นชูเซี่ยเองที่รับนางกลับมาที่จวนอีกครั้ง มาตอนนี้เมื่อเสี่ยวฉิงกลับมาดูแลหลิวมี่เหอนางก็รู้หน้าที่ดี ไม่ได้ลำบากใจอะไร “ท่านไม่เกลียดข้าหรือ” ทันทีที่นั่งลง หลิวมี่เหอก็เอ่ยถามชูเซี่ย ชูเซี่ยจ้องมองนาง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้วางยาพิษข้า!” หลิวมี่เหอชะงักไป ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังยามที่เอ่ยถาม “ท่านรู้หรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ได้เป็นคนวางยาพิษ” “ข้ารู้สึกได้ เจ้าไม่ได้เห็นข้าเป็นศัตรูเสียหน่อย!” น้ำตาของหลิวมี่เหอค่อยๆหยดลงมาช้าๆ ใบหน้าที่ซูบผอมค่อยๆฉายแววโกรธแค้นขึ้นมา ดวงตาเปร่งประกายวาววับจากนั้นก็เอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจ “ไม่ว่าข้าจะเป็นคนที่วางยาพิษหรือไม่ หรือว่าท้ายที่สุดข้าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าก็ไม่เคยทำร้ายท่านเลย นับตั้งแต่ที่พี่สาวของข้าตายไปท่านอ๋องก็เอาแต่โทษตนเอง จนกระทั่งท่านปรากฎตัวขึ้นเขาจึงเริ่มกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ข้าไม่เคยคิดจะทำร้ายท่าน ข้าอยากให้ท่านคอยอยู่เคียงข้างเขาด้วยซ้ำ เพื่อเป็นการชดใช้ความผิดที่ข้าเคยก่อมา ข้าจึงไม่คิดจะทำร้ายท่านเลย แต่ว่าข้าไม่อาจไม่ยอมรับว่าเป็นคนวางยาพิษได้เพราะว่า...” จู่ๆฉ่ายเวินก็ปรากฎกายขึ้นที่หน้าประตู นางเดินเข้ามาพร้อมห่อผ้าห่อใหญ่ สีหน้ายิ้มแย้ม “เพราะว่าอะไรหรือ มี่เหอ หากว่าเจ้าไม่ได้วางยาพิษจริงๆ เหตุใดจึงต้องยอมรับกันเล่า” ดวงตาของมี่เหอค่อยๆเปลี่ยนไป หญิงสาวละสายตาจากชูเซี่ยมาหยุดมองที่ร่างของฉ่ายเวิน ดวงตาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ละอายใจ อึดอัดใจและสำนึกผิด จนทำให้ไม่อาจมองออกได้ว่าแท้จริงแล้วนางรู้สึกอย่างไรกันแน่ หลิวมี่เหอเม้มริมฝีปากของตนไว้แน่นก่อนที่ดวงตาของนางจะตวัดไปมองชูเซี่ย จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็น “ไม่ผิด ข้าเองก็เคยคิดอยากให้เจ้าคอยอยู่เคียงข้างท่านอ๋องตลอดไป แต่ข้าจะทำใจได้อย่างไรกันเล่า ข้าคอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอดไม่เคยหลบลี้หนีหายไปไหนก็ไม่สามารถทำให้เขาใจอ่อนได้ แล้วเจ้าถือดีอย่างไรมาแย่งเขาไป ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าตายเสีย หากว่าเจ้าตายไปสักคน ข้าจึงจะสามารถครอบครองท่านอ๋องไว้ได้ ยังมีเฉินอวี่จู๋อีก นางไม่ได้ป่วยหรอก เป็นข้าที่วางยาพิษนางเอง ยาพิษชนิดนี้ไม่มียาแก้หรอกนะ ต่อให้ฝีมือการแพทย์ของเจ้าจะเลิศล้ำเพียงใดหรือต่อให้เจ้าใช้เวลาสามปีห้าปีเจ้าก็ไม่อาจบอกได้อยู่ดีว่ามันเป็นยาพิษอะไร แต่ว่านางผู้นั้นคงไม่อาจอยู่รอได้ถึงตอนนั้นหรอกนะ เกรงว่าแค่นางมีเวลาสามถึงห้าวันก็นับว่ามากแล้ว!” ฉ่ายเวินก้าวไปข้างหน้าของตวัดฝ่ามือตบลงที่ใบหน้าของนางอย่างแรงพร้อมกัดฟันเอ่ย “ผู้หญิงเช่นเจ้า เหตุใดจึงได้โหดร้ายถึงเพียงนี้” ฉ่ายเวินที่ไม่เคยชื่นชอบเฉินอวี่จู๋มาตลอดมาวันนี้กลับออกหน้าแทนเฉินอวี่จูเสียได้ อีกทั้งใบหน้าของนางก็ดูจะโกรธแค้นอย่างจริงจังหาใช่การเสแสร้งไม่ ชูเซี่ยนึกถึงคำพูดของหลิวมี่เหอก็รู้สึกสับสนอยู่บ้าง คำพูดก่อนหน้านี้ของนางที่พูดออกมาดูจะเป้นคำพูดจากใจจริงมากกว่า แต่ทว่าทันทีที่ฉ่ายเวินก้าวเข้ามานางก็กลับเปลี่ยนคำพูดเสียอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่านางหวาดกลัวฉ่ายเวิน หากว่าคำพูดก่อนหน้าของนางเป็นความจริงแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคำพูดหลังจากที่ฉ่ายเวินเข้ามาในห้องก็เป็นการฝืนใจสินะ คำพูดของนางดูเหมือนจะไม่ใช่การพล่ามทั่วไป คล้ายกับว่านางแอบแฝงเจตนาบางอย่างอยู่ในนั้น หญิงสาวตัดสินใจเดินไปข้างหน้าและรั้งฉ่ายเวินกลับมาข้างกาย ดวงตากลมโตจ้องไปที่มี่เหออย่างโกรธเคือง “คนเช่นนี้ไม่มีค่าพอให้เราต้องเปลืองมือหรอก ไปกันเถิด!” กล่าวจบนางก็ลากตัวฉ่ายเวินออกไปด้วยกัน แต่ชั่วขณะนั้นเองที่ชูเซี่ยหันหน้ากลับไปมองดวงตาที่ฉายแววเป็นห่วงของหลิวมี่เหอ ชูเซี่ยพยักหน้าลงเบาๆเป็นนัยว่านางเข้าใจในความหมายนั่นแล้ว หลิวมี่เหอจึงค่อยๆถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และมองตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ที่จากไปช้า! ฉ่ายเวินเดินออกมาจากเรือนโม่หลานด้วยด้วยความโกรธแค้นที่สุมอยู่ภายในอก ปากของนางก็เอ่ยด่าออกมาตลอดทาง “คนอำมหิตโหดเหี้ยมข้าก็เคยเจอมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเจอสตรีที่โหดเหี้ยมมาก่อน เมื่อครู่พี่สาวไม่ควรมาห้ามข้าเลย น่าจะปล่อยให้ข้าตบปากนางสักหลายครั้ง ผู้หญิงเช่นนี้ข้าอยากสับนางให้เป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเสียด้วยซ้ำ!” “ช่างเถิด จะไปให้ค่านางทำไมกัน อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ถูกกักบริเวณไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ จิตใจของนางอาจได้รับการบิดเบือนมานานแล้ว คำพูดของนางเจ้าก็อย่าปเชื่อมากนักเลย นางถูกกักบริเวณอยู่ที่ไหนจะไปวางยาพิษผู้อื่นได้เล่า อีกอย่างอาการของเฉินอวี่จู๋ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายคนที่ถูกผิดเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่จะทำให้เราสับสนเท่านั้น หากเจ้านำมาคิดเป็นจริงเป็นจังนั่นก็เท่ากับว่าเจ้าแพ้แล้วล่ะ!” ฉ่ายเวินหันมามองชูเซี่ยก่อนถาม “ท่านคิดว่าเฉินอวี่จู๋ไม่ได้ถูกพิษหรือเจ้าคะ แล้วแท้จริงเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ ป่วยมาตั้งนานก็ยังหาสาเหตุของโรคไม่ได้สักที” ชูเซี่ยเห็นท่าทางโมโหของนางจิตใจก็ค่อยๆสงบลง จากนั้นก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา นางขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจก่อนจะขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ชัดนัก วิชาการแพทย์ของพวกเราก็มีข้อจำกัดมากมาย บางทีนางอาจจะเป็นโรคที่เราไม่เคยพบมาก่อนก็เป็นได้” กล่าวจบชูเซี่ยก็ค่อยๆยิ้มหยอกล้อออกมา “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ชอบเฉินอวี่จู๋หรือ เหตุใดจึงเป็นห่วงนางได้เล่า” ฉ่ายเวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบนางแต่ข้าก็ไม่เคยเกลียดจนถึงกับอยากให้นางตายเสียหน่อย ยามนี้นางกลายเป็นเช่นนี้ข้าก็เสียใจเช่นกัน นั่นเป็นชีวิตของคนทั้งชีวิตต่อให้ข้าไม่ชอบนางเพียงใดข้าก็หวังให้นางแข็งแรงอยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวจบก็หันมามองหน้าชูเซี่ยจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “เหตุใดพี่สาวถึงมองข้าเช่นนี้ หรือว่าท่านคิดว่าข้าจะเหี้ยมโหดเหมือนหญิงผู้นั้นหรือเจ้าคะ” ชูเซี่ยยิ้มออกมา “เด็กโง่ พี่สาวก็แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ฉ่ายเวินของพวกเราออกจะเป็นเด็กดีมีเมตตา จะเป็นคนโหดเหี้ยมไปได้อย่างไรกันเล่า” ฉ่ายเวินกระชับห่อผ้าบนไหล่ให้แน่นขึ้น “ต่อให้ข้าไม่ได้เป็นคนดีมีเมตตา ข้าก็ไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ หากผู้อื่นไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกผู้อื่น นี่คือกฎของข้า! แต่ถ้าหากมีผู้ใดกล้าลงมือรังแกข้า ข้าจะตอบแทนมันเป็นสิบเท่า!” หญิงสาวก้มหน้าพูดด้วยสายตาอำมหิต ชูเซี่ยที่เดินตามอยู่หลังนางจึงไม่อาจเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นนั้นได้เลย แต่ทว่าชูเซี่ยก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายและเย็นยะเยือกจากท้ายประโยคของหญิงสาวได้ไม่ยาก 
已经是最新一章了
加载中