ตอนที่ 130 ไม่ทิ้งกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 130 ไม่ทิ้งกัน
ต๭นที่ 130 ไม่ทิ้งกัน หลังจากที่ครบรอบวันตายของเฉินอวี่จู๋เจ็ดวัน ฝ่าบาทก็ทรงแต่งตั้งให้หลี่เฉินเย่นเป็นทูตไปตรวจสอบการทุจริตของขุนนางที่เจียงหนาน เพราะนี่เป็นเรื่องกระทันหันทำให้หลี่เฉินเย่นไม่ทันได้บอกกล่าวแก่ชูเซี่ย ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ฮองเฮาของตนเพื่อฝากพระองค์ไปบอกแก่ชูเซี่ยสักคำ ฉ่ายเวินขอไปกับเขาด้วย เดิมที่หลี่เฉินเย่นก็ไม่อยากพาหญิงสาวไปด้วย แต่ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเหงาหงอยของนางยามถูกปฎิเสธและถูกรบเร้าหลายต่อหลายครั้งก็ทำให้ชายหนุ่มที่รักหญิงสาวเหมือนน้องสาวแท้ๆใจอ่อนยอมพาไปด้วยจนได้ รถม้าออกเดินทางจากเมืองหลวงเข้าสู่เขตฉางโจว หลี่เฉินเย่นหยุดพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อกินอาหาร จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าสุรามาไหหนึ่งและเดินออกไปนั่งตรงลานกว้างเพื่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน คืนนี้ท้องฟ้าไม่มีแสงดาว แม้กระทั่งดวงจันทร์ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ ดูเหมือนว่าอากาศในค่ำคืนนี้จะชื้นเพราะน้ำค้างมากเป็นพิเศษ ฉ่ายเวินเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของเขาจากนั้นก็เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “ศิษย์พี่ ท่านยังเสียใจเรื่องเฉินอวี่จู๋อยู่หรือเจ้าคะ” แต่ไหนแต่ไรมาฉ่ายเวินก็ไม่มีความเคารพในตัวของเฉินอวี่จู๋อยู่แล้ว แม้ว่าเรื่องที่เฉินอวี่จู๋เป็นพระชายาจะเป็นเรื่องจริงแต่นางก็ไม่เคยคิดจะให้เกียรติอีกฝ่ายเลยสักนิด เรื่องการตายของเฉินอวี่จู๋ก็ทำให้หลี่เฉินเย่นเสียใจไม่น้อย แต่ทว่าที่เขากังวลมากท่สุดก็คือการที่เขาต้องออกมาจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะถือโอกาสนี้ทำอะไรกับคนข้างกายของเขาบ้าง นับตั้งแต่ที่เขาก้าวออกมาจากเขตเมืองหลวงหัวใจของเขาก็กระวนกระวายไม่หยุด ราวกับว่าสังหรณ์ว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่ว่ารับสั่งของเสด็จพ่อเขาก็ไม่อาจไม่ทำตามได้ ชายหนุ่มกระดกสุราเข้าปากคำหนึ่ง สุราที่ชายหนุ่มดื่มเข้าไปค่อยๆไหลผ่านลำคอลงไปจนถึงท้องทำให้ชายหนุ่มร้อนลุ่มอย่างประหลาด “ฉ่ายเวิน เจ้าจำช่วงเวลาที่เราอยู่บนเขาฝึกวิชากันได้หรือไม่ ยามนั้นไม่มีบุญคุณความแค้น ไม่แก่งแย่งไม่ชิงดี มีความสุขเหลือเกิน!” ฉ่ายเวินก็คิดถึงช่วงเวลานั้นเช่นกัน “ช่วงเวลาที่อยู่บนเขานั่น เป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิตแล้วเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นหันกลับมามองนางก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงละอายใจ “เป็นศิษย์พี่ที่ไม่ดูแลเจ้าให้ดีเอง รู้อย่างนี้ตอนนั้นศิษย์พี่ไม่น่าพาเจ้าลงมาจากเขาด้วยกันเลย ไม่เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็คงเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาที่ไม่ต้องพบเจอเรื่องพวกนี้!” ฉ่ายเวินมีความสุขมากเช่นกันเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “แต่ทว่าศิษย์พี่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้ามีความสุขจริงๆนี่ ทั้งยังไม่ได้ทำตามที่รับปากกับท่านอาจารย์เลยสักข้อ ตอนนี้เจ้าก็อายุยี่สิบแล้วก็ยังไม่ออกเรือน ศิษย์พี่รู้สึกผิดเหลือเกิน!” ใบหน้าของฉ่ายเวินฉายแววไม่พอใจ ดวงตาของนางหม่นลง “ข้าไม่อยากออกเรือน อีกอย่าง ” หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “เจ้าและหลี่ซี่ไม่ใช่ใจตรงกันหรอกหรือ” ฉ่ายเวินยิ้มออกมาน้อยๆ แต่ดวงตาเป็นประกายบางอย่างยามที่จับจ้องมาที่หลี่เฉินเย่น “เขาไม่ใช่คนที่ข้าต้องการเจ้าค่ะ!” “เช่นนั้นเจ้าก็บอกศิษย์พี่มาว่าเจ้าชอบพอผู้ชายแบบใด ศิษย์พี่จะต้องตามหาผู้ชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าให้แก่เจ้าจงได้!” หลี่เฉินเย่นกล่าวโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาวข้างกายจึงไม่มีโอกาสเห็นดวงตาที่เป็นประกายของนาง ดวงตาของฉ่ายเวินจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นก่อนที่จะขยับปากเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้ชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าก็อยู่ตรงหน้าข้าแล้วไม่ใช่หรือ” หลี่เฉินเย่นชะงักก่อนจะหันกลับมามองฉ่ายเวินอย่างสงสัย ฉ่ายเวินค่อยๆผุดรอยยิ้มซุกซนออกมา “ข้าล้อเล่นเจ้าค่ะ ในเมื่อบุพเพของข้ายังไม่มาก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปหรอกเจ้าค่ะ ข้ายังไม่รีบแล้วท่านจะมารีบแทนข้าทำไมกัน เรื่องของข้าและหลี่ซี่คงเป็นได้เพียงสหายกันเท่านั้นไม่สามารถเป็นสามีภรรยากันได้หรอกเจ้าค่ะ ศิษย์ หากวันหน้าฉ่ายเวินพบคนที่ต้องตาข้าย่อมบอกท่านเอง ถึงตอนนั้นศิษย์พี่ก็ต้องช่วยข้านะเจ้าคะ!” หลี่เฉินเย่นอ้าปากพูด “เจ้าเองก็อายุยี่สิบเอ็ดเข้าไปแล้ว หญิงสาวที่เลยสิบแปดไปแล้วก็นับว่าเป็นสาวเทื้อ เจ้า...” ฉ่ายเวินมองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยวาจาตัดพ้อ “ศิษย์พี่รังเกียจฉ่ายเวินหรือเจ้าคะ หากศิษย์พี่ไม่อยากพบหน้าข้า ข้าก็จะไปจากจวนอ๋อง!” หลี่เฉินเย่นยกมือขึ้นลูบแก้มของนางเบาๆ “ศิษย์พี่ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย ศิษย์พี่ก็แค่กังวลอนาคตของเจ้าก็เท่านั้น หญิงสาวผู้หนึ่งจำเป็นต้องออกเรือนกับสามีที่ดีจึงจะมีชีวิตที่ยืนยาว!” ฉ่ายเวินไม่สนใจ “ถ้าเช่นนั้นตัวศิษย์พี่เล่าเจ้าคะ ท่านยังจะรอพี่สาวอยู่หรือ นางเองก็ถวายตัวเข้าวังไปแล้ว เกรงว่าระหว่างพวกท่านจะไม่มีวาสนาต่อกันเสียแล้ว เฉินอวี่จู๋เองก็สิ้นลมไปแล้ว ศิษย์พี่ควรหาสตรีเคียงข้างใหม่จึงจะถูก เป็นเช่นนี้ก็ดีหากว่าท่านสามารถหาคนรักใหม่ได้วันนั้นฉ่ายเวินก็จะออกเรือน” ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นขุ่นมัว ชายหนุ่มมองใบหน้าของฉ่ายเวินนิ่งๆ เพียงแค่คำพูดของฉ่ายเวินที่กล่าวว่าเขากับชูเซี่ยไร้วาสนาก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มทรมานขึ้นมา เจ็บจนแทบไม่อยากจะหายใจ ชายหนุ่มหักฟันพูด “ชาตินี้ศิษย์พี่ผิดต่อหญิงสาวข้างกายมากมายเหลือเกิน ในใจของศิษย์พี่มีหญิงสาวที่รักอยู่เต็มหัวใจแล้ว หากว่าไร้วาสนาต่อกันจริง ชาตินี้ศิษย์พี่ก็ไม่ขอแต่งงานอีกต่อไป!” ฉ่ายเวินนิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตนเองพบ “เหตุใดท่านจึงต้องทรมานตนเองเช่นนั้น ท่านไม่รู้หรือว่าฉ่ายเวินก็ปวดใจไปกับท่านด้วย ตอนนี้ศิษย์พี่เป็นคนใกล้ชิดเพียงคนเดียวของฉ่ายเวิน เป็นคนที่สำคัญที่สุด ฉ่ายเวินย่อมปรารถนาให้ท่านมีความสุข!” “เด็กโง่ คนที่สำคัญที่สุดำหรับเจ้าควรจะเป็นสามีในอนาคตของเจ้าจึงจะถูก อีกอย่าง ศิษย์พี่ไม่ได้ทรมานอะไรเลย การมีคนคนหนึ่งให้เรารอเขาและคิดถึงเขาก็นับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง!” น้ำเสียงของหลี่เฉินเย่นอ่อนโยนยิ่งนักแต่ก็หนักแน่นมากเช่นกัน ฉ่ายเวินก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน “ศิษย์พี่ ใต้หล้านี้หาใช่มีหญิงสาวแค่คนเดียวไม่ คนที่ดีกว่านางก็มีมาก เมื่อมาแล้วก็ไปเหตุใดจึงต้องยึดติดด้วยเล่า” “หญิงสาวที่ดีกว่านางมีมากแต่หญิงสาวที่ข้ารักได้ก็มีเพียงแค่นางผู้เดียว!” ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบมีเสียงบางอย่างกำลังบินตรงมาทางนี้ สีหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบาเหาะขึ้นไปและกระโดดลงมาพร้อมนกพิราบตัวหนึ่ง นกพิราบตัวนี้มีจดหมายผูกติดกับขามันมาด้วย หลี่เฉินเย่นก้มลงอ่านเนื้อความในนั้นจากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ฉ่ายเวินเองกีบก้มลงอ่านด้วยเช่นกัน เนื้อความในนั้นเขียนว่า “ฮ่องเต้จะสังหารท่านหมอเวิน!” ฉ่ายเวินเห็นว่าชายหนุ่มข้างกายวิ่งตรงไปที่คอกม้านางก็รีบรั้งร่างของเขาไว้ “ศิษย์พี่อย่าได้ไป นี่อาจเป็นกับดักก็ได้นะเจ้าคะ!” หลี่เฉินเย่นสะบัดมือของเขาออกและกระโดดขึ้นหลังม้าจากนั้นก็เอ่ยกับนางเสียงกร้าว “นี่เป็นลายมือของเสี่ยวเต๋อจื่อ เสี่ยวเต๋อจื่อไม่มีวันหลอกเปิ่นหวาง!” ฉ่ายเวินพยายามรั้งเขาไว้อีกครั้งและเอ่ยอย่างร้อนใจ “ต่อให้เป็นความจริงท่านรีบกลับไปก็ไม่มีประโยชน์ หากฝ่าบาทจะทรงสังหารพี่สาวจริงๆ ในยามนี้นางเป็นถึงหวงกุ้ยเฟย ท่านจะอาศัยตำแหน่งอะไรไปช่วยนางเล่า ถึงตอนนั้นไม่เพียงช่วยนางไม่ได้ตัวท่านเองก็จะเดือดร้อนไปด้วย!” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นยะเยือกทั้งยังกัดฟันพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “เช่นนั้นข้าก็ขอตายไปพร้อมกับนาง!” พูดจบชายหนุ่มก็ควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว ฉ่ายเวินเองก็รีบขึ้นหลังม้าควบตามไปติดๆ แต่ทว่าม้าของหลี่เฉินเย่นเป็นม้าชั้นเลิศนางมีหรือจะตามอีกฝ่ายได้ทัน นางควบม้าตามไล่ฝุ่นละอองที่ตลบอยู่ตามถนนโดยไม่เห็นแม้แต่ร่างของหลี่เฉินเย่นด้วยซ้ำ ฮ่องเต้ทรงยกเลิกการกักบริเวณของชูเซี่ยไปแล้วอีกทั้งยังเรียกเหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้านางกลับคืนไปจนหมด ตอนนี้ชูเซี่ยเป็นอิสระแล้ว ทุกๆวันก็มีเพียงสถานที่เดียวที่นางไปก็คือตำหนักหมอหลวง หลังจากที่เฉินอวี่จู๋จากไปแล้วนางก็ไปตำหนักหมอหลวงทุกวันเพื่ออ่านตำราการรักษาทุกเล่มที่มี นางอ่านตำราการรักษามากมายที่อยู่ในนั้นแต่ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหาสาเหตุของโรคได้อยู่ดี คืนนี้นางก็นั่งอ่านตำราอยู่ในตำหนักของตน เชียนซานและนางกำนัลคนอื่นๆต่างก็เข้านอนกันหมดแล้ว นางเองก็ไม่ต้องการให้ใครมาคอยรับใช้ในยามค่ำคืน ดังนั้นภายในห้องจึงมีเพียงร่างบอบบางที่นั่งอ่านหนังสือภายใต้แสงเทียนเท่านั้น จู่ๆบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับที่ลมพักมาเข้ามาจนแสงเทียนในตะเกียงมอดดับลง มีเงาร่างหนึ่งโผล่พรวดเขามา ชูเซี่ยลุกขึ้นยืนจ้องเขม็งไปที่หลี่เฉินเย่น หลี่เฉินเย่นเห็นว่าชูเซี่ยยังอยู่สุขสบายดีไม่มีอันตรายแม้แต่น้อย ในชั่วขณะนั้นเองที่เขาเริ่มเข้าใจทุกอย่าง นี่เป็นกับดัก! ภายนอกตำหนักมีเสียงฝีเท้ามากมาย ชูเซี่ยรีบร้อนวิ่งไปปิดประตูจากนั้นก็กึ่งลากกึ่งจูงชายหนุ่มไปหลบอยู่หลังตำหนัก “เกิดอะไรขึ้น ท่านไม่ใช่ออกจากเมืองหลวงไปแล้วหรือ” ชูเซี่ยวิ่งไปถามไป หลี่เฉินเย่นยื่นจดหมายของเสี่ยวเต๋อจื่อให้นาง ชูเซี่ยก้มลงอ่านแล้วก็เข้าใจ ที่แท้แล้วฝ่าบาทก็เชื่อใจผู้ใดทั้งนั้นจึงได้ปลอมจดหมายนี่ขึ้นมา หากว่าเขากลับมาหานางจริงๆนั่นก็เท่ากับว่าระหว่างเขาและนางมีอะไรกันจริงๆ และเชียนก็ติดกับเข้าแล้วจริงๆ องครักษ์พวกนั้นก็คงรออยู่ที่นอกตำหนักมาสักพักหนึ่งแล้วสินะรอจนกระทั่งเขาเข้ามา ส่วนชายหนุ่มข้างกายนางที่เฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกลมาตลอดกลับดูไม่ออกมานี่เป็นกับดัก คงเป็นเพราะเขารู้สึกหวาดกลัวและเป็นห่วงนางจนกลายเป็นสูญเสียความรอบคอบในการคิดอ่านไป ชายหนุ่มเห็นว่านางเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเกินไป ต่อให้เขารู้ว่านี่เป็นกับดักก็คงเลือกที่จะกลับมาหานางอยู่ดี ภายนอกตำหนักฉ่ายเหว่ยถูกล้อมไปด้วยทหารมากมาย ตำหนักฉ่ายเหว่ยถูกปิดล้อมไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดบุกเข้ามาราวกับว่ากำลังรอคำสั่งจากใครบางคนอยู่เท่านั้น เชียนซานวิ่งเข้ามาในห้องเมื่อเห็นหลี่เฉินเย่นก็พอเข้าใจเรื่องราวบางส่วน นางรู้แล้วว่าบัดนี้คงถึงคราวที่จะต้องประจันหน้า หลี่เฉินเย่นหยบขลุ่ยเลาหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อนำขึ้นมาจรดริมฝีปากละเป่าออกไปไกลถึงสิบลี้ ชูเซี่ยเข้าใจความหมายของเขาได้ทันที นางหันกลับมาสั่งเชียนซาน “จุดพลุ!” เชียนซานขานรับนางวิ่งออกไปที่ลานหน้าตำหนักและหยิบพลุไฟออกมาจากสาบเสื้อ นางบิดมือของตนเองจนได้ยินเสียงดังขึ้นสองครั้งพร้อมกับพลุไฟที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นลวดลายมังกร นี่เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเรียกพลพรรคมังกรเหินโดยด่วน เมื่อทุกคนในพรรคเห็นสัญญาณนี่ก็ทราบดีว่ายามนี้นายหญิงของพวกตนกำลังตกอยู่ในอันตรายต้องรีบเร่งไปช่วยเหลือให้เร็วที่สุด แม้ว่าทั้งหลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยต่างก็ส่งสัญญาณเรียกพรรคพวกของตนไปแล้วแต่พวกเขาก็รู้ดีว่ากองกำลังของพวกเขากำลังมาแต่ฝ่ายศัตรูบุกมาถึงหน้าประตูแล้ว หลี่เฉินเย่นรวบร่างของชูเซี่ยเข้ามาในอ้อมกอดจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พวกเราจะไม่พลาดจากกันอีก เปิ่นหวางกับเจ้าจะร่วมเป็นร่วมตายไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่แยกจาก!” ใบหน้าของชูเซี่ยเต็มไปด้วยความอบอุ่น หญิงสาวยิ้มหวานออกมา “ได้!” พวกเขามองสบายตากันและกันอย่างไม่สนใจเสียงของภายนอกและคบไฟที่ถูกจุดจนสว่างโร่ เชียนซานไม่อาจไม่ขัดจังหวะหวานซึ่งตรงหน้า นางเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นองครักษ์ของจูหางหยวน แต่เหตุใดจูฟางหยวนจึงไม่มาแจ้งล่วงหน้า เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา” หัวใจของชูเซี่ยหล่นวูบ จริงสิ จูฟางหยวนเล่า หากฝ่าบาทต้องการระดมพลมากมายถึงเพียงนี้จูฟางหยวนย่อมรู้แน่ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ส่งข่าวมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ชูเซี่ยเอ่ยตะโกนอย่างร้อนใจ “นายท่านเหมา!” ณ คอกลาที่ตำหนักฉ่ายเหว่ยบังเกิดระเบิดควันสีดำขึ้นมาพร้อมๆกับร่างของนายท่านเหมาที่ค่อยๆเปลี่ยนไปกลายเป็นชายหน้าดำผู้หนึ่ง ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาชูเซี่ย “วางใจเถิด ข้าจะไปตามหาจูฟางหยวนเอง!” กล่าวจบร่างของเขาก็กลายเป็นกลุ่มควันดำหายไปกับอากาศ หลี่เฉินเย่นและเชียนซานยืนตะลึงมองมาที่ชูเซี่ยเป็นตาเดียว ชูเซี่ยเห็นเช่นนั้นจึงพูดแล้ว “ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายเรื่องของนายท่านเหมา พวกเราต้องรีบหนีออกไปจากวังให้ได้ก่อน เฉินเย่น พวกเราต้องไปรับฮองเฮาและหรงเฟยหนีไปด้วยกัน” หากไม่พาฮองเฮาและหรงเฟยหนีไปด้วย พวกเขาจะต้องถูกฝ่าบาทลงอาญาแน่ ดังนั้นหากจะหนีก็ต้องพาพวกเขาหนีไปด้วยกัน เชียนซานจึงรับหน้าที่นี้เอง “ข้าจะไปเองเจ้าค่ะ พวกท่านอยู่ที่นี่วางแผนหาทางหนีออกไปให้ได้ หากจนปัญญาจริงๆก็รอจนกว่ากำลังพลของพวกเราจะมานะเจ้าคะ!” พูดจบนางก็จัดการพุ่งออกไปทางเพดาน ภายนอกตำหนักมีเสียงของเหล่าองครักษ์ที่เอ่ยขึ้นดังอย่างพร้อมเพรียง “ถวายบังคมฝ่าบาท!” ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาพร้อมกล่าวด้วยสุรเสียงน่าเกรงขาม “คนเล่า?” องครักษ์หนึ่งก้าวออกมาทูลตอบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นกับตาตนเองว่าหนิงอานอ๋องเข้าไปในตำหนักฉ่ายเหว่ยจริงๆและจนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมาขอรับ ท่านอ๋องต้องยังอยู่ข้างในอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยสุรเสียงกร้าว “สั่งคนให้พังประตูเข้าไป!” หลี่เฉินเย่นรู้ว่าไม่ทันการณ์แล้ว เขาโอบกอดร่างของชูเซี่ยไว้แน่นจากนั้นก็จุมพิตที่หน้าผากของนางอย่างลึกซึ้ง “เจ้าไปกับข้า พวกเราจะฝ่าออกไปด้วยกัน!” ชูเซี่ยพยักหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปโอบกอดเขาและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เชียน ข้ารักท่าน!” หลี่เฉินเย่นขยับปากกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา ท้ายทอยของเขาก้รู้สึกเจ็บแปลบจากนั้นดวงตาก็เริ่มมืดลงและร่วงลงไปนอนบนพื้น ชูเซี่ยคุกเข่าลงไปพยุงร่างสูงไว้ น้ำตาของนางไหลลงมาอาบแก้ม “หากว่าท่านตกอยู่ในกำมือของเขาท่านจะไม่มีโอกาสรอดอีก ข้าเคยให้สัญญากับเสด็จย่าไว้แล้วว่าจะต้องปกป้องท่านด้วยชีวิตของข้า ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็จะต้องส่งท่านออกไปจากวังหลวงให้ได้!” นางคุกเข่าลงกับพื้นและค่อยๆนึงเข็มทองออกมาจากศีรษะ เข็มทองค่อยๆส่งแสงสีทองจ้าออกมาโอบล้อมร่างของหลี่เฉินเย่นไว้ เสียงพังประตูดังขึ้นออกมาพร้อมเหล่าองครักษ์มากมายที่กรูกันเข้ามา เมื่อองครักษ์บุกเข้ามาถึงตำหนักด้านในแสงสีทองเจิดจ้าก็หายไปพร้อมกับร่างของหลี่เฉินเย่นที่นอนอยู่บนพื้นก็หายไปอย่างลึกลับ 
已经是最新一章了
加载中