ตอนที่ 137 ดีใจจนลืมตัว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 137 ดีใจจนลืมตัว
ต๭นที่ 137 ดีใจจนลืมตัว ปีนี้ดอกบัวในสระใหญ่เบ่งบานงดงามเป็นพิเศษ ดอกสีม่วงอมชมพูโผล่พ้นออกมาจากสระสีเขียว สายลมพัดผ่านเบาแผ่วเบา แค่บัวไหวเพียงนิด กลิ่มหอมก็พัดขึ้นไปรอบด้าน หลี่เฉินเย่นกับชูเซี่ยนั่งอยู่ในศาลาใจกลางสระใหญ่ บนโต๊ะทางขวามือวางสุราอ่อน ๆ พร้อมกับแก้วกระเบื้องขาวขอบเส้นสีทองอันประณีต ชูเซี่ยดื่มไปหลายแก้วแล้ว จึงเริ่มเมาเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางเมานั้นไม่ใช่สุรา แต่เป็นดอกหลากสีอันงดงามละลานตาต่างหาก แสงตะวันอันงดงาม ลมในยามโพลเพล้ค่อนข้างแรงขับไล่ความร้อนของยามฤดูร้อน แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วใบหน้าชูเซี่ย ทั้งตาและคิ้วต่างสะท้อนแสงสีแดงอ่อน ความอ่อนโยนและงดงามเช่นนี้ทำให้หลี่เฉินเย่นไม่อาจละสายตาได้ สายตาของชูเซี่ยละจากสระบัวกลับมามองหน้าหลี่เฉินเย่น เมื่อเห็นว่าเขาจ้องตนเองอยู่ก็ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามองอะไรหรือ” หลี่เฉินเย่นกุมมือนางไว้ พูดด้วยความค่อนข้างสะเทือนใจ “พบเจอกับอุปสรรคมามากมาย ในที่สุดเราก็ได้อยู่ด้วยกันเสียที!” ในใจชูเซี่ยเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างมีความสุข “ใช่ ไม่ง่ายเลยจริง ๆ!” หลี่เฉินเย่นมานางด้วยความค่อนข้างกังวล “ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้าได้ยินเสียงข่าวโคมลอยมามาก เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย เรื่องต่าง ๆ ข้าล้วนจัดการได้ทั้งนั้น” ชูเซี่ยยิ้มพลางกล่าว “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น อีกอย่างข้าเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาใด เจ้าล้วนสามารถจัดการได้อย่างเรียบร้อย” จากนั้นหลี่เฉินเย่นถึงได้ยิ้มอย่างสบายใจ “งั้นก็ดีแล้ว!” สิบนิ้วประสานกัน ชูเซี่ยใช้ใจสัมผัสกับความด้านบนฝ่าเขา ความหนาของฝ่ามือ ความอบอุ่นจากฝ่ามือเขาแผ่ซ่านออกมา มันเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข นางคิดว่า การที่ชาตินี้ได้จับมือเขาแบบนี้คือเรื่องที่มีความสุขที่สุดแล้ว แต่เรื่องราวต่าง ๆ ที่ดำเนินไปไม่อาจเป็นได้ดังใจปรารถนา ไม่ใช่หรือ เหมือนกับว่าใจมีความรู้สึกไว สิบนิ้วประสานกัน เขาเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงใจที่ไม่สงบนิ่งของนาง เขามองนางด้วยความค่อนข้างกระวนกระวายใจ “ชูเซี่ย เจ้าสัญญากับข้าหนึ่งเรื่องได้หรือไม่” ชูเซี่ยยิ้ม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่องข้าก็สัญญาได้” หลี่เฉินเย่นสบตานาง แววตาระยิบระยับ จากนั้นก็กล่าวเสียงเบา “ชั่วชีวิตนี้ อย่าได้จากข้าไปไหน” ชูเซี่ยเลิกคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูด “ข้าสัญญา!” จากนั้นหลี่เฉินเย่นถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา ชูเซี่ยมองเขา ถึงแม้จะยิ้ม แต่หว่างคิ้วกลับดูเหมือนจะกดลงเข้าในใจนางมากยิ่งขึ้น ถึงจะยิ้มก็ไม่สบายใจอยู่ดี หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนอย่างแต่ก่อน พวกเขายังคงมองไม่เห็นภาพในวันข้างหน้า มีเพียงสิ่งเดียวที่ดีกว่าแต่ก่อน คือ ตอนนี้พวกเขาสามารถพบเจอกันเมื่อไรก็ได้ สำหรับสิ่งนี้ในอดีตแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก มนุษย์เป็นพวกไม่รู้จักพอ ชูเซี่ยนึกถึงตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ นางกับเขาไม่อาจพบกันได้ แม้จะได้พบกับ แต่จะส่งสายตาพูดคุยกันมากก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าหากถูกคนพบเข้าก็จะเป็นเรื่องจนหัวขาดเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนั้นนางคิดว่าเพียงแค่ได้แสร้งทำเป็นบังเอิญเจอได้พูดคุยกับเขา กินข้าวเป็นครั้งคราว ชมทิวทัศน์ด้วยกัน นางก็พอใจแล้ว และไม่ขออะไรอีก เรื่องที่ร้องขอในวันนั้น วันนี้ก็ได้มันแล้ว แต่นางก็ยังไม่พอใจ ยังคิดอยากอยู่กับเขาอย่างชอบธรรม เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต ชีวิตและความเป็นอยู่ที่อัดอันตันใจเช่นนี้ ทรมานทั้งตนเอง ทรมานทั้งเขาด้วย ในที่สุดชูเซี่ยก็เริ่มคิดที่จะจากไป นางนึกถึงคำที่อาจารย์เคยบอกกับนางว่าอย่าให้นางกลับไปอยู่ข้างกายหลี่เฉินเย่นอีก เขามีชะตาของฮ่องเต้ ส่วนนางเป็นวิญญาณหนึ่งดวง ไม่อาจปรากฏตัวในเวทีประวัติศาสตร์ได้ ไม่เช่นนั้น นางจะต้องได้รับผลตอบแทน บางที ใต้เท้าซือคงคนนี้อาจจะไม่ใช่ศัตรูของนาง แต่เป็นผู้มีพระคุณของนางต่างหาก เขาบีบบังคับให้นางไปจากหลี่เฉินเย่น เพื่อเป็นการชดใช้กรรม ฉ่ายเวินเป็นคนแรกที่รู้ว่านางจะจากไป นับแต่หลวี่หนิงทำความผิดต่อเชียนซาน เขาก็ไม่กล้าเข้าตำหนักฉ่ายเหว่ยแม้แต่ก้าวเดียว เขาพูดเรื่องนี้กับฉ่ายเวินเล็กน้อย ฉ่ายเวินบอกว่าจะไปขอโทษเชียนซานกับชูเซี่ยแทนเขาเอง ตอนที่ฉ่ายเวินมา หลี่เฉินเย่นยังอยู่ในท้องพระโรง ชูเซี่ยกำลังเก็บของอยู่ในตำหนักฉ่ายเหว่ย ความจริงแล้วของที่ต้องเก็บไม่ได้มีอะไรมากมายนัก มีแค่ตำราแพทย์กับล่วมยาเท่านั้น “พี่สาว ท่านเก็บของทำไมหรือ” ฉ่ายเวินถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย ชูเซี่ยหันกลับมามองฉ่ายเวินโดยไม่ปิดบังสิ่งใด “ข้าคิดจะไปจากวังหลวง!” นางเข้าใจดี ในเมื่อฉ่ายเวินรู้ว่านางจะจากไป นางไม่มีทางเผยเรื่องนี้กับหลี่เฉินเย่นแน่ เพราะฉ่ายเวินต้องการให้นางจากไปอยู่แล้ว พอได้ยินนางบอกว่าจะไป แววตาก็พลันเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ชั่วครู่ ชูเซี่ยเข้าใจแล้ว แต่ฉ่ายเวินกลับแสดงท่าทีร้อนรนอย่างมาก ดึงรั้งมือนางไว้ “พี่สาว ท่านจะไปหรือ ท่านจะไปไหน ทำไมถึงต้องไปด้วย” ชูเซี่ยดึงมือกลับ ยิ้มเล็กน้อยพลางพูด “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน แต่เจ้าอย่าบอกศิษย์พี่เจ้านะ” ชูเซี่ยพูดจบก็มองนาง ฉ่ายเวินส่ายหน้า ขอบตาพลันแดงขึ้นทันที “ไม่ได้ ข้าจะไปบอกศิษย์พี่ ท่านไปไม่ได้ หากท่านไป ศิษย์พี่ต้องเสยใจมากแน่ ๆ” ชูเซี่ยเกือบจะเชื่อนางแล้ว แต่น่าเสียดายที่เห็นความลิงโลดในดวงตานางเสียก่อน ถึงแม้นางจะพยายามปิดบังอย่างสุดกำลัง แต่ก็ปิดบังความดีใจนั้นไม่มิด นางจึงรู้ว่าฉ่ายเวินไม่ได้จริงใจที่จะให้นางอยู่ต่อ นางกล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าบอกเขา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้เรียกข้าว่าพี่สาวอีก!” ฉ่ายเวินกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขย่าแขนนางแล้วพูดเกลี้ยก่อมด้วยความจนใจ “ได้ ข้าจะไม่บอกศิษย์พี่ พี่สาวอย่าตัดสัมพันธ์กับข้าเลยนะ!” ท่าทีเหมือนจนใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่านั่นเป็นจุดประสงค์ของนาง แต่ก่อนชูเซี่ยยังพออดทนเล่นละครกับนางได้ แต่วันนี้เพียงแค่แสดงงิ้วไปไม่กี่คำก็รู้สึกล้าเสียแล้ว นางดึงมือกลับแล้วกล่าว “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะเก็บของอีกสักพัก จำไว้ เรื่องนี้อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด!” ฉ่ายเวินปล่อยมือนาง “ได้ งั้นพี่สาวเก็บของเถอะ ข้าไม่กีดทางพี่สาวแล้ว” พูดจบก็ออกไปทันที หลังจากที่เชียนซานเห็นว่านางออกไปแล้วก็ส่งเสียงถ่มน้ำลายทันที “เหมือนจะเสียใจมากเลยนักนี่ ดีใจสุด ๆ อย่างเห็นได้ชัดเลยสิไม่ว่า” “แม้แต่เจ้าก็มองออกหรือ” ชูเซี่ยมุ่นคิ้ว “แสดงออกชัดขนาดนี้ ตาข้าไม่ได้บอดนะเจ้าคะ ทำไมถึงจะมองไม่เห็นกัน นางอยากให้เจ้านายออกไปตอนนี้เลยเสียด้วยซ้ำ” เชียนซานพูดฟึดฟัด ชูเซี่ยพูดขึ้นมาว่า “นางเก็บซ่อนมันเอาไว้ลึกมาก น้อยครั้งนักที่จะทำพลาดถึงขั้นนี้ บางคนบอกว่ายามที่คน ๆ นึงดีใจก็จะหลงระเริงได้ง่ายที่สุด นางอาจจะดีใจมากไป ดู ๆ ไปแล้ว การที่นางตั้งตาคอยให้ข้าจากไป ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นเสียด้วยซ้ำ” “คางคกขึ้นวอ!” เชียนซานแค่นเสียง “เจ้านายอย่าได้สนใจนางเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อจะไปแล้ว ต่อไปเราก็ไม่ต้องสนใจคนกับเรื่องราวในวังแล้ว!” ก่อนหน้านั้นเชียนซานไม่เห็นด้วยที่นางจะไป แต่พอนึกถึงคำตำหนิมากมายที่นางได้รับจากสถานที่แห่งนี้ นางอยู่มนฑลกวางตุ้งช่วยคนไปนับไม่ถ้วน เป็นเซียนที่มีชีวิตอยู่ แต่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้กลับถูกคนเรียกว่าตัวกาลกินี เป็นกาลกินีที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองและปวงประชา ไม่ว่าใครได้ยินก็ล้วนแต่โมโหทั้งนั้น ดังนั้น ยามที่ชูเซี่ยบอกว่าจะไป นางมึนงงไปสักพัก จากนั้นก็สนับสนุนให้ชูเซี่ยไป ทั้งยังจากไปในทันทีอีกด้วย ชูเซี่ยไม่อาจบอกลาหลี่เฉินเย่นได้ หากเขารู้ว่านางจะไป เกรงว่าเขาจะทำอะไรที่บ้าคลั่งออกมา ฉะนั้น ชูเซี่ยจึงบอกเขาอ้อม ๆ ว่าอยากไปอยู่ที่โรงหมอของจูเก๋อหมิงสักสองสามวัน เดิมทีหลี่เฉินเย่นไม่ยอมให้นางไป แต่ช่วงหลายวันมานี้ถูกใต้เท้าซือคงบังคับจนหัวเขาแทบแตก เกรงว่าหากนางอยู่ในวังแล้วจะได้ยินข่าวลือไม่ดีเข้า ดังนั้น ถึงจะไม่ตัดใจไม่ได้ แต่ก็ยังสั่งให้คนส่งนางออกจากวังไป ชูเซี่ยไม่ได้อาลัยอาวรณ์มากมายนัก และไม่ได้บอกลาเขามาเกินไป เพราะกลัวว่าเขาจะมองความนัยนั้นออก ดังนั้นจึงได้แค่กำชับสั่งเสียเขา “ช่วงที่ข้าไม่อยู่กับเจ้า ต้องกินอาหารให้ครบสามมื้อ รักษาสุขภาพให้ดี!” หลี่เฉินเย่นพูดติดตลก “ได้ ถึงข้าจะไม่กินข้าว เสด็จแม่ก็บังคับข้าให้กินอยู่ดี วางใจเถอะ ครั้งนี้เจ้าอย่าไปนานล่ะ อย่างมากสุดห้าหกวันก็กลับมาได้แล้ว” ฉ่ายเวินก็มาส่งเช่นกัน นางพูดอย่างค่อนข้างเสียใจ “เดิมทีข้าก็คิดจะออกจากวังไปกับพี่สาวด้วย แต่ไทเฮาคัดลอกพระคัมภีร์แทนพระนาง พี่สาว รอให้ข้าคัดเสร็จก่อน ข้าค่อยออกไปเที่ยวเล่นกับท่านนะ” หลี่เฉินเย่นยิ้มพลางต่อว่า “กว่าเจ้าคัดพระคัมภีร์เสร็จก็อีกครึ่งเดือนโน่น พี่สาวเจ้าคงกลับมาก่อนแล้ว” ฉ่ายเวินแลบลิ้น “นั่นน่ะสิ พี่สาว งั้นท่านรีบไปรีบกลับนะ!” ชูเซี่ยชำเลืองมองอย่างค่อนข้างมีความนัยลึกซึ้ง “อื้ม ได้สิ” แม้นางจะจากไปแล้ว แต่ก็ให้คนของพรรคมังกรเหินแอบจับตาดูฉ่ายเวิน รวมถึงสืบเรื่องเฉินอวี่จู๋ในตอนนั้นด้วย ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่อาจละทิ้งการตายของเฉินอวี่จู๋ได้ ชีวิตที่สดใสเช่นนั้น ผู้หญิงที่งดงามเช่นนั้น แต่งเจ้าเข้าจวนอ๋องได้ไม่นานก็ล้มหายตายจากไปเสียแล้ว หากว่าเป็นเพราะป่วยก็แล้วไป ถือว่าคนงามชะตาอาภัพ แต่หากเป็นเพราะถูกคนวางยา มันก็แน่นอนที่นางไม่สามารถอดทนกับคนชั่วช้าแบบนั้นได้ ความจริงแล้วก็ออกจากโรงหมอไปได้ไม่นาน แต่พอชูเซี่ยได้ย่างเท้าเข้าสู่โรงหมออีกครั้งก็เกิดความรู้สึกคล้ายกับอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง จูเก๋อหมิงที่นั่งอยู่ข้างประตูยิ้มอย่างชื่นมื่น “ผู้สูงส่งมาเยือน ช่างเป็นเกียรติเสียจริง!” วันนี้โรงหมอไม่มีคนไข้แม้แต่คนเดียว ภายในโรงหมอวุ่นวายมากเหมือนกับเพิ่งประสบกับการรบครั้งใหญ่ ชูเซี่ยงุนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น ถูกปล้นหรือ” จูเก๋อหมิงยิ้ม พลางพูดอย่างไม่แยแส “อันธพาลน้อยคนนึงก่อเรื่องน่ะ ตอนนี้ไปแล้ว” จูเก๋อหมิงมีอิทธิพลและชื่อเสียงในเมืองหลวงพอสมควร ยังจะมีอัทธพาลน้อยคนไหนกล้ามาก่อเรื่องด้วยหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นแน่ แต่พอชูเซี่ยเห็นเขามีท่าทีสบาย ๆ ไม่อยากพูดอะไรมาจึงไม่ได้เอ่ยถาม เพียงแค่หันกลับไปส่งสัญญาณทางสายตาให้เชียนซาน ให้เชียนซานไปสืบดู ตอนนี้จูเก๋อหมิงพักที่กระท่อมเล็กของชูเซี่ย ชูเซี่ยกลับมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงย้ายกลับไปที่กระท่อมเล็ก จูเก๋อหมิงดูแลกระท่อมเล็กไว้ดีมาก สวนขนาดเล็กปลูกดอกไม้เต็มไปหมด โรงเรือนของนายท่านเหมาก็ยังอยู่ จูเก๋อหมิงทำความสะอาดเอาไว้แล้ว สะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบอย่างถึงที่สุด ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ชูเซี่ยรู้สึกหวั่นไหวมาก จูเก๋อหมิงลงครัวทำกับข้าวมาให้สองสามอย่างแล้วพูดกับชูเซี่ย “เจ้าอยู่ในวังคงชินกับการกินอาหารชาววังแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังชินกับกับข้าวพวกนี้อยู่หรือเปล่า” ชูเซี่ยได้ยินน้ำเสียงที่ค่อนข้างประชดประชันก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจเล็กน้อย คนเคยผ่านความทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน ตอนนี้กลับพูดจาเสียดแทงนางราวกับว่าทั้งสองไม่คุ้นเคยกันอย่างมาก มีความห่างเหินกัน นางเงยหน้ามองจูเก๋อหมิงแล้วเอ่ยพูด “เจ้ามองข้าแบบนี้เองหรือ?” ความเจ็บปวดฉายแวบขึ้นมาบนหน้าของจูเก๋อหมิง “ข้าขอโทษ ความจริงเจ้าข้าก็รู้สถานการณ์ของเจ้าดี! ลึก ๆ ในใจข้าก็หวังว่าเจ้าจะมีความสุขนะ!” จูเก๋อหมิงเองก็ไม่แน่ใจความรู้สึกที่มีในเวลานี้ ทีคิดว่าอยากให้นางมีความสุข หวังว่านางจะได้อยู่กับคนรัก แต่เมื่อพวกเขาเดินไปด้วยกันจริง ๆ เขาพบว่าตนเองไม่อาจรับมันได้ ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป บางทีก็อาจจะเหมือนอย่างที่เขาพูด ที่หวังว่าจะให้นางมีความสุข แต่ลึก ๆ ในใจยังคงมีความเห็นแก่ตัวนิด ๆ หวังว่าคนที่จะมองความสุขให้แก่นางคือตัวเขาเอง ชูเซี่ยตบไหล่เขาอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดขึ้น “เอาล่ะ เพื่อนกันไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เจ้าคิดอย่างไรข้ารู้ดี!” จูเก๋อหมิงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เงยหน้ามองชูเซี่ย “เจ้าวางแผนจะออกมาอยู่นอกวังกี่วันหรือ” ก่อนหน้านี้หลี่เฉินเย่นสั่งให้คนมาบอกเขา ว่าชูเซี่ยจะไปที่โรงหมอสองสามวัน ดังนั้น เขาจึงคิดเพียงว่าชูเซี่ยออกมาผ่อนคลายจิตใจเช่นกัน ชูเซี่ยซึมไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบเขา“อาจจะประมาณสิบวันน่ะ” “อ้อ!” จูเก๋อหมิงไม่ได้พูดอะไรอีก ยกถ้วยข้าวขึ้นพลางพูด “งั้นอย่างเพิ่งคุยกันเลย กินข้าวเถอะ!” ทั้งสองกินข้าวไปแบบไม่ค่อยรู้รสชาติ ชูเซี่ยยกถ้วยข้าวขึ้น เกิดความรู้สึกเลือนลางกับเส้นทางวันข้างหน้า พอนึกถึงว่านับแต่นี้ไปตนเองต้องไปจากหลี่เฉินเย่นแล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยาวนานเอ่อล้นออกมา 
已经是最新一章了
加载中