ตอนที่ 142 ความลับในประสบการณ์ชีวิต   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 142 ความลับในประสบการณ์ชีวิต
ต๭นที่ 142 ความลับในประสบการณ์ชีวิต หลังจากที่ได้ยินคำพูดทั้งหมดของเชียนซานทุกคนต่างก็มีสีหน้าตื่นตะลึงปนประหลาดใจ หญิงชราเมื่อครู่มองเชียนซานก่อนจะเอ่ยปาก “เด็กน้อย เจ้าเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ข้าฟังอีกรอบหนึ่งเดี๋ยวนี้!” เดิมทีเชียนซานเองก็ไม่ชอบใจในตัวอดีตฮ่องเต้อยู่แล้ว แล้วนางจะไว้หน้าให้พระองค์อีกทำไมกันเล่า อีกทั้งตอนนี้ก็มีคนอยู่บริเวณนี้ค่อนข้างมาก ทั้งขุนนาง ทั้งพวกบ่าวและชาวบ้าน หญิงสาวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชูเซี่ยและหลี่เฉินเย่น ทั้งยังมีเรื่องไทเฮาทรงมอบตำแหน่งเจ้าสำนักมังกรเหินให้นายหญิงของนางดูแลต่อทั้งยังหมั้นหมายให้แก่หลี่เฉินเย่นจนไปถึงเรื่องที่อดีตฮ่องเต้บังคับให้นายหญิงของนางเข้าวังถวายตัวเป็นพระสนมโดยไม่เต็มใจก็ล้วนพูดออกมาโดยละเอียดไม่คิดปิดบัง นางเป็นคนตรงไปตรงมาทุกเรื่องที่นางพูดล้วนเป็นความจริงไม่โกหกแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่นางพูดออกมาล้วนฟังดูจริงใจ ฟังอย่างไรก็ดูไม่เป็นการหลอกลวงแม้แต่น้อย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดต่างก็เงียบงันไม่พูดไม่จา เดิมที่คุณชายสามตระกูลจางก็ไม่อยากเป็นขุนนางอยู่แล้วดังนั้นเข้าจึงไม่เคยสนใจเรื่องศาลของท่านพ่อทั้งยังไม่แม้แต่จะถามถึงเลยสักครั้ง มายามนี้เมื่อชายหนุ่มได้ยินเชียนซานเล่ามาเช่นนั้นก็รู้สึกว่าช่างโชคดีเหลือเกินที่ตนไม่ได้รับราชการเป็นขุนนาง ว่ากันว่าอยู่กับฮ่องเต้เมื่ออยู่กับเสือ ขนาดโอรสของตนอดีตฮ่องเต้ยังทรงทำเช่นนั้นกับเขาได้ แล้วพวกเขาที่เป็นเพียงข้าราชบริพารเล่า? ฮูหยินชราอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่นานก่อนจะหายใจออกมา “มีอะไรน่าแปลกกัน นิสัยเดิมของอดีตฮ่องเต้ก็ทรงโหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่แล้ว ผู้อื่นอาจจะไม่รู้ แต่ข้าเองก็เป็นคนที่ผ่านมาโลกมานานอาบน้ำร้อนมาก่อนพวกเจ้า เห็นเรื่องราวและผู้คนมากมาย” ใต้เท้าซือคงมองมาที่เชียนซานอย่างเคลือบแคลง “อดีตไทเฮาเป็นผู้หมั้นหมายระหว่างพวกเขาทั้งสอง?” เชียนซานยิ้มเย็น “แม้ว่าตอนที่อดีตไทเฮาจะทรงตรัสเรื่องนี้จะไม่มีพยานอื่นใดอยู่ด้วย แต่ข้าเชื่อว่าเหล่านางกำนัลในวังคงจะพอได้ยินข่าวลือนี้อยู่บ้าง ใต้เท้าอยากทราบเรื่องจริงก็ไปลองถามนางกำนัลของอดีตไทเฮาที่ชื่อว่าหว่านเหนียงดูได้เลยเจ้าค่ะ หว่านเหนียงเป็นอดีตนางกำนัลของอดีตไทเฮาเชื่อถือได้อย่างแน่นอน เพราะแม้กระทั่งยามที่พระชายาเจิ้นหยวนตั้งครรภ์นางก็เป็นผู้ที่คอยทำของบำรุงไปดูแลอย่างใกล้ชิดตามบัญญาของไทเฮาองค์ปัจจุบันอีกด้วย หากว่าทุกท่านไม่เชื่อก็ไปสืบดูได้เลยเจ้าค่ะ!” ใต้เท้าซือคงนิ่งไป แม้ว่าในใจจะเอนเอียงเชื่อในคำพูดของเชียนซานค่อนข้างมาก แต่ทว่าเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าอดีตฮ่องเต้จะทรงเป็นคนเช่นนี้ แต่ทว่าอดีตไทเฮาก็ทรงเป็นคนที่เขาให้ความเคารพนับถือยิ่งกว่าเพราะพระองค์ทรงเคยช่วยชีวิตบิดาของเขาไว้และเพราะเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้ตระกูลจางเป็นหนี้บุญคุณของพรรคมังกรเหิน หากพูดในแง่คุณธรรมและจริยธรรมแล้ว ชูเซี่ยเป็นถึงหวงกุ้ยเฟยเป็นพระสนมของอดีตฮ่องเต้ ในฐานะที่เป็นโอรสของอดีตฮ่องเต้ พระองค์จึงไม่สามารถแต่งตั้งให้นางเป็นพระสนมของตนเองได้ แต่ถ้าหากมองย้อนตามความเป็นจริง ก่อนที่ชูเซี่ยจะถวายตัวเป็นพระสนมในวังนางก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายของหลี่เฉินเย่นอยู่ก่อนแล้ว ทั้งไทเฮาก็ทรงเป็นพยานรับรู้อีกด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้นั่นก็เท่ากับว่าอดีตฮ่องเต้ทรงแย่งหญิงสาวของบุตรชายตนเอง หรือร้ายแรงกว่านั้นคือพระองค์ทรงเอาลูกสะไภ้ของตนเป็นผู้หญิงของตน ถ้าเช่นนั้นเป็นใครกันเล่าที่เป็นฝ่ายผิดคุณธรรมและจริยธรรม? ความมั่นคงของใต้เท้าซือคงเริ่มสั่นคลอน เขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง “เรื่องนี้ไว้ค่อยถกกันวันหลังเถิด ยามนี้ฮูหยินของข้าเป็นตายอย่างไรข้าก็ยังไม่ทราบ!” หลังจากที่เขาพูดจบภายในห้องก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทุกคนจึงพร้อมใจกันเงยหน้าและในทันทีที่ประตูถูกเปิดออกมาก็พบว่าจูเก๋อหมิงเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าซีดขาวอ่อนล้า แขนเสื้อของเขาเปื้อนคราบเลือดเต็มไปหมด ทุกคนต่างก็ล้อมวงกันเข้ามาถามอย่างร้อนรน “เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง” จูเก๋อหมิงเหลือบมองมาที่ท่านใต้เท้าซือคงครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด ชูเซี่ยนางยังอยากดูอาการอีกสิบสองชั่วยามเสียก่อน” คำพูดกำกวมของท่านหมอเทวดาทำให้ทุกคนถึงกับกุมขมับ หญิงชราขมวดคิ้ว “เช่นนั้นตกลงมารักษาได้หรือไม่ได้กัน” เชียนซานหวังจะวิ่งถลาเข้าไปภายในห้อง “นายหญิงเล่า” จูเก๋อหมิงรั้งกายของนางไว้ “นายหญิงของเจ้านางต้องการการพักผ่อน นางเหนื่อยมากแล้ว!” เชียนซานทำสีหน้าประหลาด นางรู้ได้โดยทันทีว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจจนพลักท่านหมอหนุ่มให้หลบไปให้พ้นทาง “ท่านหลบไปนะ นายหญิงของเข้าเกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่” จูเก๋อหมิงยังคงรั้งนางไว้ “วางใจเถิด นางไม่เป็นอะไรเพียงแค่เสียเลือดไปค่อนข้างมากร่างกายจึงอ่อนแอ เจ้าก็ให้นางพักผ่อนสักหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวนางก็คงจะดีขึ้นเอง” หลวี่หนิงชะงักไป “เหตุใดหวงกุ้ยเฟยจึงเสียเลือดค่อนข้างมาก” ทุกคนต่างมองไปที่จูเก๋อหมิงอย่างประหลาดใจ ในเมื่อผู้ที่บาดเจ็บไม่ใช่ชูเซี่ยแล้วเหตุใดนางจึงเสียเลือด? จูเก๋อหมิงมองใบหน้าของใต้เท้าซือคงก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “เพราะการผ่าตัดให้ฮูหยินของท่านทำให้เสียเลือดค่อนข้างมากทั้งยังอันตรายอย่างยิ่ง ท่านหมอเวินนางจึงถ่ายเลือดของตนเองให้ฮูหยิน แต่ทว่านางกว่าวว่าเลือดของคนสองคนใช่ว่าจะเข้ากันได้เสมอไป มันมีความเป็นไปได้ว่าร่างกายของฮูหยินจะปฎิเสธเลือด แต่ทว่าสถานการณ์ค่อนข้างคับขันหากว่าไม่รีบลงมือฮูหยินของท่านย่อมตายแน่ ดังนั้นนางจึงต้องยอมเสี่ยง” จูเก๋อหมิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเขาไม่เข้าใจคำพูดของชูเซี่ยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนก็ล้วนเป็นคนอีกทั้งยังเป็นหญิงทั้งคู่ เลือดย่อมต้องเข้ากันได้อยู่แล้ว อีกอย่างวิธีการถ่ายเลือดของนางค่อนข้างแปลก นั่นก็คือทางใช้เข็มกลวงที่มีปลายแหลมสองข้างทิ่มฝั่งหนึ่งที่แขนนางก่อนจะทิ่มปลายอีกฝั่งที่แขนฮูหยินและค่อยๆกดถ่ายเลือดเบาๆ วิธีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ระหว่างที่ทุกคนไม่เข้าใจในสิ่งที่จูเก๋อหมิงพูด เชียนซานก็พุ่งเข้าไปในห้องโดยที่จูเก๋อหมิงห้ามไม่ทันเสียแล้ว ชูเซี่ยเอนกายนอนอยู่บนตั่งยาว ใบหน้าของหญิงสาวทั้งซีดขาวและอ่อนล้า ข้อมือของนางถูกห่อด้วยผ้าขาวมีเลือดซึมอยู่ เข็มที่นางใช้ค่อนข้างใหญ่นางเป็นคนสั่งทำมันขึ้นมาเอง เดิมทีตั้งใช้ว่าจะนำมาใช้ถ่ายเลือดสำหรับขับพิษ แต่ทว่านางเลือกใช้มันอย่างเร่งด่วนสำหรับการถ่ายเลือดทำให้เกิดแผลในเส้นเลือดมากเกินไป ดังนั้นตอนนี้นางจึงจำเป็นต้องใช้ผ้าพันแผลเพื่อหยุดเลือดไว้ชั่วคราว ฮูหยินจางที่นอนอยู่บนเตียงแม้ว่าใบหน้าจะไม่ซีดเผือดเท่าชูเซี่ยแต่ก็นับได้ว่าไร้สีเลือด หญิงวัยกลางคนหลับตาแล้วอ้าปากออกเล็กน้อย มุมปากของนางมีคราบผงสีขาวๆซึ่งเป็นผงห้ามเลือดที่ชูเซี่ยนำมาป้อน บนร่างของนางมีเสื้อคลุมขนาดใหญ่คลุมบาดแผลไว้ มือของนางที่วางอยู่ข้างเตียงซีดขาวจนพาให้ผู้คนใจหาย ชูเซี่ยเห็นว่าทุกคนเข้ามาในห้องก็พยายามยันกายลุกขึ้นแต่ถูกเชียนซานห้ามไว้ “นอนเถิดเจ้าค่ะ สภาพท่านยามนี้ดูอ่อนแอยิ่งนัก” ชูเซี่ยยิ้มขำ “ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าบอกเสียหน่อย ได้พักผ่อนสักหน่อยก็ค่อยยังชั่วแล้ว” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงดุ “เจ้าให้เลือดนางมากถึงเพียงนี้จะไม่เป็นไรได้อย่างไร” ชูเซี่ยหันมามองจูเก๋อหมิง ดูตาของเขาฉายแววกังวลและสงสารนางอย่างสุดซึ้ง หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆเจ้าค่ะ ร่างกายคนเรามีสิ่งที่เรียกว่าไขกระดูกอยู่ เจ้าส่วนนี้สามารถเพิ่มเม็ดเลือด อย่างอื่นในร่างกายข้าอาจจะไม่มากแต่ไขกระดูกมากที่สุด ทำให้ร่างกายของข้าเพิ่มเลือดได้เร็วมากดังนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้าเลย!” นางเหลือบมองไปที่ฮูหยินจางด้วยสีหน้ากังวล “ตอนนี้ข้ากังวลเรื่องการถูกปฏิเสธเลือดเท่านั้น...” ในยุคปัจจุบันของนาง นางมีเลือดกรุ๊ป O เลือดกรุ๊ป O สามารถถ่ายเลือดให้ผู้อื่นได้เกือบทุกคน แต่ทว่าหลังจากที่วิญญาณหลุดมาอยู่ในร่างนี้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างนี้ของนางกรุ๊ปเลือดอะไร คุณชายใหญ่ตระกูลจางวิ่งมาที่ข้างกายชูเซี่ยจากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว “ไม่ว่าท่านแม่ของข้าจะเป็นอย่างไรข้าก็ขอขอบคุณหวงกุ้ยเฟยมากขอรับ!” ภายในใจของชูเซี่ยยังไม่สบายใจเท่าใดนัก เนื่องจากสถานการณ์เมื่อครู่คับขันยิ่งนักหากนางไม่ถ่ายเลือดไปให้ฮูหยินนางจะต้องตายแน่นอน ตอนนั้นนางจึงข้ามขั้นตอนตรวจสอบเลือดและถ่ายเลือดให้ทันทีเพราะไม่มีทางเลือกมากนัก ตอนนี้นางได้แต่หวังว่าเลือดในร่างกายของนางยังคงเป็นเลือดกรุ๊ป O ดังนั้นตอนที่คุณชายใหญ่ตระกูลจากคุกเข่าขอบคุณนาง นางจึงไม่อยากรับทั้งในใจยังบังเกิดความรู้สึกกลัวอีกด้วย กลัวว่าฮูหยินจะปฎิเสธเลือดของนางจดเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต หากว่าเป็นเช่นนั้นคนที่ผิดบาปที่สุดก็ย่อมเป็นนาง ในโลกปัจจุบันหากนางทำเช่นนี้นับว่าทำผิดต่อจรรยาบรรณแพทย์อย่างรุนแรงด้วยซ้ำ นางมองมาที่คุณชายใหญ่ตระกูลจางด้วยสีหน้าซับซ้อน “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าเองก็ไม่มั่นใจมากนักหรอก!” คุณชายใหญ่ตระกูลจางเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ย “หากว่าท่านแม่หายพวกเราก็ล้วนเป็นหนี้บุญคุณของหวงกุ้ยเฟย หากว่าไม่ก็เท่ากับว่าตระกูลของเราไร้วาสนา” ชายหนุ่มกล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไปก่อนจะเอ่ยอย่างลังเลขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าน้อยยังมีอีกเรื่องที่อยากขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ!” ยังไม่ทันที่ชูเซี่ยจะเอ่ยออกมาเชียนซานก็แทรกเข้ามาเสียก่อน “พวกท่านนี่ช่างน่าขำเสียจริง เดี๋ยวก็ขับไล่นายหญิงของข้าออกจวนมาตอนนี้ก็มาร้องขอความช่วยเหลือ น่าสนใจเหลือเกิน!” ชูเซี่ยส่งสายตาปรามเชียนซาน “ฟังที่คุณชายใหญ่กล่าวเสียก่อน!” คุณชายใหญ่ปรายตามองเชียนซานก่อนเอ่ยต่อ “ข้าน้อยขอร้องให้หวงกุ้ยเฟยโปรอนุญาติให้เชียนซานยอมให้พวกเราตรวจดูปิ่นปักผมบนศีรษะของนางด้วยเถิด” ชูเซี่ยนิ่งงันไป “เอ่อ เจ้าจะเอาปิ่นปักผมของนางไปทำไมกัน อีกอย่างเรื่องนี้ต้องไปขอร้องนางสิเพราะปิ่นนั่นของนางไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย!” ฮูหยินชราตระกูลจางก็ไม่พอใจ “เจ้าเป็นชายอกสามศอกจะเอาปิ่นปักผมของสตรีไปทำอะไรกัน” เชียนซานนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังกล้าเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้งนางจึงรู้สึกโมโหขึ้นมา “นายหญิงท่านไม่รู้อะไร คนพวกนี้ชั่วร้ายนัก พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายทำมากล่าวอ้างว่าข้าเป็นน้องสาวที่พลัดพรากจากไปของพวกเขา โชคดีที่ตอนพวกเขาขับไล่ท่านข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่ทันเล่ห์ของพวกเขาหรอก รู้เช่นนี้พวกเราไม่ควรช่วยพวกเขาตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ!” ชูเซี่ยมองคุณชายใหญ่ตระกูลจางอย่างประหลาดใจ ชายหนุ่มจึงรีบร้อนแก้ตัว “นี่มันคำพูดไร้สาระสิ้นดี หวงกุ้ยเฟยได้โปรดฟังคำพูดของข้าน้อยด้วยเถิด” เชียนซานรีบเดินเข้ามาขวางหน้าชูเซี่ยไว้ “ยามนี้นายหญิงของข้าอ่อนแอนัก พวกท่านก็ให้นางนอนพักผ่อนก่อนไม่ได้หรือ อย่าได้รบกวนนางมีเรื่องอะไรค่อยคุยกันวันอื่นสิ!” ชูเซี่ยลอบสังเกตสีหน้าของเชียนซานนางก็รู้สึกเห็นใจหญิงสาวอยู่ไม่น้อย เชียนซานของนางแต่เล็กจนโตก็ไม่มีบิดามารดา คนที่นางสนิทชิดเชื้อที่สุดก็คือพรรคมังกรเหิน นางโตมาพร้อมกับการรับรู้ว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้ามาโดยตลอดทั้งยังไม่เคยแม้แต่จะคิดว่ามีคนในครอบครัวหลงเหลืออยู่ด้วยซ้ำ แต่ทว่าจู่ๆกลับมีคนมาบอกว่าเป็นครอบครัวของนาง ในใจลึกๆของเชียนซานย่อมดีใจอยู่แล้วแต่ทว่าใจหนึ่งนางก็กลัว นางกลัวที่จะผิดหวังกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องจริงๆ ชูเซี่ยจึงหันไปเอ่ยกับคุณชายใหญ่ตระกูลจาง “เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถิด!” “แต่ว่า...” คุณชายใหญ่ตระกูลจางกำลังจะเอ่ยอะไรอีกแต่ชูเซี่ยกลับยกมือห้าม “ตอนนี้สิ่งที่พวกท่านต้องกังวลคืออาการของฮูหยินจึงจะถูก เราต้องรอดูอาการนางสิบสองชั่วยามหากว่าไม่มีอะไรนางก็จะดีขึ้นมาในที่สุด ระหว่างนี้พวกท่านก็อยู่ข้างกายนางชวนนางพูดคุยหน่อยก็แล้วกัน” ทุกคนในห้องจึงยอมเปลี่ยนความสนใจไปที่ผู้ป่วยบนเตียงแทน ชูเซี่ยเห็นเชียนซานลอบถอนหายใจทั้งยังมีสีหน้าผิดหวังน้อยๆ นางรู้สึกสงสารเชียนซานเหลือเกิน หยฺงสาวเอือมมือออกไปดึงมือนางมากุมไว้ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ยังมีข้าเป็นครอบครัวนะ” คำพูดที่ชูเซี่ยต้องการสื่อก็คือ ไม่ว่าตระกูลจางจะเป็นญาติหรือสายเลือดของนางหรือไม่ นางก็จะไม่ใช่ตัวคนเดียวอย่างแน่นอน เชียนซานพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่านางจะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใดแต่ทว่านายหญิงก็สามารถมองนางออกอยู่ดี ใช่แล้ว นางเข้าใจมาตลอดว่าตนเองเหลือตัวคนเดียวแต่แล้วจู่ๆกลับมีคนบอกนางว่าเป็นครอบครัวของนาง เรื่องเช่นนี้มีผลกระทบต่อจิตใจของนางมากจนเกินไป ฮูหยินชราลอบมองเสี้ยวหน้าของเชียนซานก่อนจะย่องไปข้างกายนางทั้งยังเอื้อมมือไปแย่งปิ่นปักผมของนางมาไว้ในมือ เชียนซานไม่ทันระวังตัวและไม่คิดว่าฮูหยินชราจะลงมือกับนางอีกด้วย นึกไม่ถึงว่าหญิงชราที่จะเดินเหินแต่ละครั้งก็ต้องมีคนคอยช่วยพยุงจะมือไม้ว่องไวถึงเพียงนี้ ดูท่าแล้วยามที่นางยังสาวก็คงเป็นยอดฝีมือเลยทีเดียว ดังนั้นตอนที่เชียนซานถูกแย่งชิงปิ่นปักผมไปนางจึงทำได้มองหญิงชรานิ่งๆไม่ได้เข้าไปแย่งชิงกลับคืน ตอนที่นางเริ่มตั้งสติได้จะไปแย่งชิงกลับคืนมาก็ได้ยินฮูหยินชราสั่งคนของตนเองเสียงกร้าว “ไปเอาปิ่นปักผมอีกชิ้นหนึ่งมาให้ข้า!” คุณชายใหญ่ที่ได้สติไวที่สุดรีบวิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของผู้ป่วยเพื่อหยิบเอากล่องเครื่องประดับออกมาและเปิดมันออกหยิบปิ่นปักผมหยกออกมาจากนั้นก็วิ่งกลับมายื่นให้แก่ฮูหยินชรา ฮูหยินชรานำปิ่นทั้งสองชิ้นมาเทียบกันก่อนจะเงยหน้ามองเชียนซานและส่งให้นางดู “เจ้ามาดูด้วยตนเองเถิด!” เชียนซานไม่ได้รับมาดูแต่ทว่านางก็ใช้สายตาเพ่งมองปิ่นหยกทั้งสองชิ้นอย่างตั้งใจ ปิ่นทั้งสองชิ้นเหมือนกันมากต่างกันแค่ของนางถูกห่อไว้ด้วยทองคำบริสุทธิ์ แค่ดูก็รู้ว่าปิ่นปักผมเป็นคู่กัน รูปที่สลักอยู่บนนั้นก็ทั้งชิ้นซ้ายและขวาก็ต่อกันได้อย่างพอดิบพอดี เชียนซานไม่รับมาไว้ในมือแต่เป็นชูเซี่ยที่เอื้อมมือไปหยิบมาดูเอง นางพิจารณาดูนกการเวกทั้งสองตัว ชิ้นหนึ่งสลัคำว่า ‘ซิ่ว’ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งของเชียนซานถูกสลักคำว่า ‘ยิง’ ไว้ เมื่อต่อทั้งสองชิ้นเข้าด้วยกันจะกลายเป็นคำว่า ‘ซิ่วยิง’? นางจึงเงยหน้าขึ้น “ซิ่วยิงคือ...” เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลจางที่ตอบเอง “ท่านแม่ของพวกเรามีนามว่าซิ่วยิง!” 
已经是最新一章了
加载中