ตอนที่ 145 ร้อนรน
1/
ตอนที่ 145 ร้อนรน
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 145 ร้อนรน
ตนที่ 145 ร้อนรน คนที่มาถึงก่อนเชียนซานก็คือหลี่เฉินเย่น! ชูเซี่ยรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องมาหานางแต่นางก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเร็วถึงเพียงนี้ เรื่องที่นางอยู่ที่จวนใต้เท้าซือคงเพื่อช่วยเหลือคนคาดว่าหลางเยว่ก็คงเล่าให้เขาฟังแล้ว แต่ทว่าก่อนที่นางจะออกจากวังมาเขาก็ถูกรายล้อมทั้งงานราษฎร์และงานหลวงมากเสียจนนางคิดว่าเขาคงมาหานางได้ในวันพรุ่งนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถจัดการงานเป็นร้อยได้เสร็จรวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่มีราชองครักษ์ติดตามเขามาเลยสักคนมีเพียงแค่เสี่ยวซานจื่อและจงเจิ้งที่ติดตามเขามาเท่านั้น ชายหนุ่มก้าวเท้าเร็วๆมารวบร่างของชูเซี่ยเข้ามาในอ้อมกอดของเขาจากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆแล้วก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา “คิดถึงเจ้าเหลือเกิน!” หัวใจของชูเซี่ยปวดหนึบ ห่างกันเพียงไม่กี่วันนางก็รู้สึกราวกับทั้งโลกเหลือนางเดียวดายอยู่เพียงแค่คนเดียวแล้ว เขาคิดถึงนาง ตัวนางเองก็คิดถึงเขาแทบบ้า ความรักของคนมักจะมีความขมขื่นเก้าส่วนความหวานเพียงส่วนเดียวจริงๆ คนทั้งคู่กอดกันอีกสักพักจากนั้นก็ค่อยๆจับจูงกันไปนั่ง ชูเซี่ยตั้งใจจะลุกไปรินน้ำชาให้เขาแต่ทว่ากลับถูกชายหนุ่มรั้งไว้ทั้งยังออกแรงฉุดจนนางล้มลงนั่งบนตักของเขาพอดิบพอดี หลี่เฉินเย่นมองดวงตาแดงก่ำและใบหน้าเหนื่อยล้าของนางก็รู้สึกเวทนาสงสาร “เหนื่อยมากใช่หรือไม่” ชูเซี่ยฉีกยิ้มให้เขาจนเห็นฟันครบทุกซี่ นางส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ แต่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยก็คุ้มค่า!” ชายหนุ่มเข้าใจความหมายของนาง ในใจของเขาก็ทุกข์ทรมานยิ่งนัก ยามนี้เขาเป็นถึงฮ่องเต้แล้วแต่ทว่านางยังทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจ ทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้อยู่ข้างกายของเขา “เจ้าช่วยเหลือทั้งภรรยาและหลานชายของเขา หากเขายังยืนกรานจะให้เจ้าจากไปข้าจะไม่ขอทนอีกต่อไปแน่!” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นชา ทั้งยังกัดฟันพูดอย่างคนที่ใกล้จะหมดความอดทนเต็มที ชูเซี่ยเอื้อมมือออกไปลูบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มเบาๆ “พวกเรายังมีเวลาเหลืออยู่อีกมากไม่จำเป็นต้องใจร้อนไปหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างท่านใต้เท้าซือคงเพียงแค่จงรักภักดีต่อแว่นแคว้นและประชาชนเท่านั้น แรกเริ่มเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายข้า...” “เจ้าไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแทนเขาอีกแล้ว ใครหน้าไหนที่กล้าขัดขวางไม่ให้เราได้อยู่ด้วยกันข้าล้วนถือว่ามันเหล่านั้นเป็นศัตรู!” ประโยคที่เขาพูดออกมาช่างฟังดูจริงใจและไร้เดียงสาเหลือเกินในสายตาของนาง จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยต่อ “เส้นทางของพวกเราแต่ไรมาก็เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ถึงความลำบากของเราทั้งสอง เดิมข้าคิดว่าเวลาแห่งความทุกข์ทรมานของเราสองถึงคราวสิ้นสุดแล้วแต่กลับต้องมาทนฟังเสียงคัดค้านของผู้อื่นอีก คุณธรรมอะไรเหล่านั้นสำคัญมากจริงๆอย่างนั้นหรือ? หากว่ามันสำคัญจริงๆต่อนั้นเสด็จพ่อก็คงไม่รับเจ้าเข้าวังทั้งๆที่รู้ฐานะแท้จริงของเจ้าอยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ” “ถ้าเราบอกว่าเราต้องเคารพข้อเท็จจริง เช่นนั้นเรื่องความจริงที่ว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้าหลี่เฉินเย่นอยู่ก่อนแล้วก็นับว่าถูกต้อง หากว่าวันนี้ข้ายืนกรานจะแต่งกับเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไรไม่ใช่หรือ เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงหรอกนะ คนที่เลือกอยู่ฝ่ายข้ามีมากกว่าฝ่ายคัดค้านเสียอีกเพราะไม่ว่าใครก็ทราบดีว่าก่อนที่เจ้าจะเข้าวังเจ้าอาศัยอยู่ในจวนอ๋องของข้าอยู่ช่วงหนึ่ง มีคนมากมายที่รู้ว่าเรารักกัน!” ชูเซี่ยมองเขาอย่างประหลาดใจ “มีคนรู้เรื่องที่ข้าพักในจวนของท่านนั่นไม่แปลก แต่ทว่าที่ท่านบอกว่าเรารักกันมีใครรู้ที่ไหนกันเล่า” “ไม่ผิด” ชายหนุ่มจ้องมองนางก่อนจะเผยยิ้มเล็กน้อย “แต่ข้าจัดการปล่อยข่าวลือออกไปแล้วว่าตอนนั้นเพื่อช่วยข้าแล้วเจ้าจึงยอมถวายตัวเข้าวัง และตอนที่เจ้าอยู่ในวังก็ไม่เคยถูกอดีตฮ่องเต้แตะต้องมาก่อน คนที่ต้องถูกตำหนิควรเป็นอดีตฮ่องเต้ ไม่ใช่เจ้าหรือข้า แต่เป็นพระองค์ต่างหาก!” จนถึงตอนนี้หลี่เฉินเย่นก็ยังเคียดแค้นชิงชังในตัวอดีตฮ่องเต้จนไม่อาจเรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อได้อีก ชูเซี่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนนี้เขาเป็นโอรสสวรรค์เป็นถึงฮ่องเต้ ไม่ว่าเขาตรัสอะไรก็ล้วนเป็นจริงตามนั้น ยามนี้เขากำลังเลือกใช้บทบาทโอรสผู้น่าสงสารที่ถูกอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆของเขาทำร้ายเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากขุนนางและเหล่าประชาราษฎร์ แต่ทว่าชูเซี่ยก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี สำหรับนางแล้วนางไม่ขอให้ตนเองมีตำแหน่ง ไม่ขอตำแหน่งพระสนมหรืออะไรทั้งสิ้น นางขอแค่นางสามารถอยู่ข้างกายเขาต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นนางไม่เคยใส่ใจต่อเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางพวกนั้นด้วยซ้ำ นางสนใจแค่ว่าเหล่าขุนนางที่ต่อต้านพวกนั้นเขาจะไม่พอใจในตัวของหลี่เฉินเย่นหรือไม่ก็เท่านั้น ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นมันอาจจะทำให้เกิดปัญญากับอำนาจการปกครองและทำให้บัลลังก์ของเขาสั่นคลอนก็เป็นได้ เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่กับนางได้เพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็ต้องไปแล้วเพราะว่าท่านจิ้งกั๋วโฮ่วทั้งสองกำลังรอคอยเขาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรในวัง ยังมีเรื่องการเมืองอีกมากที่พวกเขาต้องปรึกษาหารือกันดังนั้นต่อให้ไม่อยากจากนางก็จำเป็นต้องจาก หลี่เฉินเย่นเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กของนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วของชายหนุ่มขมวดแน่น ดวงตาคมฉายแววเศร้าสร้อยขณะที่ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเย้ยหยัน โลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ยามนี้เขาได้เป็นถึงฮ่องเต้ เป็นโอรสสวรรค์ แต่แม้แต่สตรีที่เขารักก็ยังไม่สามารถเลือกนางมาเป็นคู่ครองได้ มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าชูเซี่ยเป็นผู้ตัดสินจะออกจากวังไปเอง นางคิดว่าเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นความคิดของนางที่จะออกจากวังแต่แรกแล้ว แล้วเขาจะขัดขวางนางได้ที่ไหนกัน ไม่ เขารู้จักนางดีเกินไป หากว่าเขาขัดขวางนาง ด้วยนิสัยของนางแล้วสุดท้ายก็จะหาทางหนีออกมาเองมากกว่าซึ่งเขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่ เขาจึงยอมปล่อยให้นางออกจากวังแต่โดยดีแต่ก็ยังสั่งให้องครักษ์คอยจับตามองและคุ้มกันนางอยู่ห่างๆได้ เรื่องทุกเรื่องของนาง ไม่ว่าจะไปที่ไหนพบเจอผู้ใดบ้างก็ล้วนมีคนมารายงานเขาอยู่เสมอ เรื่องครั้งนี้ที่เกิดกับจวนใต้เท้าซือคงก็เช่นกัน เรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขาอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากว่าเรื่องที่ชูเซี่ยช่วยชีวิตคนในจวนนั้นไว้ไม่อาจเปลี่ยนใจของใต้เท้าซือคงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาเลือกใช้วิธีที่โหดร้ายก็แล้วกัน ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงจงเจิ้งก็ถอนหายใจจออกมา “ฝ่าบาท ท่านหมอเวินผอมลงมากเหลือเกิน!” หัวใจของหลี่เฉินเย่นอัดแน่นก่อนจะระบายลมหายใจออกมายาวๆ “นางชอบเก็บเรื่องมากมายไว้กับตัวแม้กับเรานางก็ยังไม่ยอมระบายออกมา เป็นเช่นนี้ต่อไปอย่ามาแต่จะผอมลงเลย อีกไม่นานนางจะต้องป่วยแน่!” เสี่ยวซานจื่อจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง “โชคยังดีที่นางมีท่านหมอจูเก๋ออยู่ข้างกาย!” คำพูดของเสี่ยวซานจื่อไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีแม้แต่น้อย ครั้งหนึ่งจูเก๋อหมิงและหลวี่หนิงเคยเป็นสหายรักของเขาทั้งคู่ ถ้าหากเทียบหลวี่หนิงกับจูเก๋อหมิงเขาย่อมสนิทสนมกับจูเก๋อมากกว่า จูเก๋อเข้าใจมาตลอดว่าที่ตัวเขากำลังเผลอใจให้กับชูเซี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดว่านั่นเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง จึงเอาแต่หลอกตัวเองอยู่เสมอและไม่ยอมรับความรู้สึกนั้น ดังนั้นทุกวันนี้ที่เขาพบกับสหายรักคนนี้ก็มองหน้ากันไม่ค่อยติดเท่าใดนัก ตัวเขาไม่เคยโกรธหรือเกลียดจูเก๋อแม้แต่น้อยแต่ทว่าก็ไม่รู้จะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไรดี และเขาก็รู้ว่าจูเก๋อเองก็ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเขาเช่นไรเหมือนกัน “ใช่แล้วพะย่ะค่ะฝ่าบาท ยามนี้อาการป่วยของโหร่วยเฟยดีขึ้นมากแล้ว ดูท่านหมอหลวงหลันก็ฝีมือไม่เลวทีเดียว!” “อืม!” หลี่เฉินเย่นไม่ได้กล่าวอะไรมากมาย เขาทำเพียงแค่ส่งเสียงรับคำในคอเท่านั้น น้องมี่เหอ ครึ่งหนึ่งเขาเคยเรียกนางเช่นนั้น ในความทรงจำของเขานางเคยเป็นเด็กสาวที่งดงามและจิตใจดี จนกระทั่งนางใส่ร้ายป้ายสีชูเซี่ย ต่อมาก็ถึงขั้นวางยาพิษชูเซี่ยอีก นางทำถึงเพียงนี้จะให้เขามองนางว่าจิตใจดีได้อีกหรือ แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขากลับรู้สึกว่านางเองก็น่าสงสารยิ่งนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำลงไปก็ล้วนเป็นเพราะเขา ความรักที่ไม่อาจครอบครองมักจะทำให้คนเสียสติได้เสมอ กลับกันหากว่าเรื่องเช่นนี้กับเขา แม้ว่าเหตุการณ์จะต่างกันแต่การกระทำก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอก ชายหนุ่มตัดสินใจหันกลับไปหาจงเจิ้ง “เจ้าไปที่ห้องทรงพระอักษรกล่าวกับท่านจิ้งกั๋วโฮ่วทั้งสองหน่อยเถิดว่าข้าจะไปช้าสักหน่อย!” “ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดหรือพะย่ะค่ะ” จงเจิ้งทูลถามอย่างประหลาดใจ หลี่เฉินเย่นเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาตอบ “ไปเยี่ยมโหร่วยเฟย!” ในตำหนักของโหร่วยเฟยช่างวังเวงและเงียบเหงา ว่ากันว่าเป็นเพราะนางไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้จึงไม่มีผู้ใดอยากสนใจทำดีกับนาง อีกอย่างเพราะยามนี้นางป่วยหนักไม่อยากให้มีคนคอยอยู่ปรนนิบัตินางมากนัก มากคนก็มากความ นางจึงเหลือเสี่ยวฉิงไว้คอยดูแลนางคนเดียวก็พอ หลี่เฉินเย่นไม่ได้ส่งคนมาบอกแก่ทางตำหนักของนางก่อน เสี่ยวฉิงเองก็กำลังสาละวนอยู่กับสำรับอาหารของโหร่วยเฟยในห้องครัว เมื่อหญิงสาวเห็นว่าฮ่องเต้เสด็จมาก็ตื่นตระหนกรีบย่อกายทันที “ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!” หลี่เฉินเย่นพยักหน้า “โหร่วยเฟยเป็นอย่างไรบ้าง” “ทูลฝ่าบาท พระสนมดีขึ้นมาแล้วเพคะ!” เสี่ยวฉิงทูลตอบ โหร่วยเฟยที่กำลังนอนเอนกายอยู่บนเตียงบรรทม นางกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อได้ยินเสียงของหลี่เฉินเย่นนางก็คิดว่าตนเองคงกำลังฝันไป แต่เมื่อไม่ใช่นางก็รีบผุดลุกขึ้นมาก่อนจะพยายามลงจากเตียงมาถวายบังคัม หลี่เฉินเย่นก็เดินเข้ามาหานาง “ไม่ต้อง นอนลงไปเถิด!” โหร่วยเฟยก็ยอมนอนลงบนเตียงอย่างว่าง่าย ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มในดวงใจที่นางไม่ได้พบเขาอีกเลยนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวังอย่างเหม่อลอย “เพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!” หลี่เฉินเย่นนั่งลงที่ข้างเตียงของนางก่อนดวงตาคมจะจับจ้องมาที่ใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวและเอ่ยถามเสียงทุ้ม “ดีขึ้นแล้วยัง” โหร่วยเฟยยิ้มออกมาเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ ไม่เคยเป็นอะไรเลย!” “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!” หลี่เฉินเย่นเอ่ย “เจ้าก็ดูแลตนเองดีๆเถิด ต่อแต่นี้ไปอยู่ในวังก็ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกแล้ว รอเจ้าหายดีก็สามารถออกไปเดินเล่นก็ย่อมได้!” โหร่วยเฟยชะงักกึก ยามที่อยู่ในจวนนางถูกสั่งกักบริเวณไว้ตลอดมา จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในวังแม้จะไม่มีรับสั่งจากเขานางก็ไม่กล้าออกไปเดินเองทำเพียงแค่เดินไปมาอยู่ภายในสวนตำหนักตนเองเท่านั้น นางมองหลี่เฉินเย่นอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “หม่อมฉันสามารถออกไปเดินเล่นได้จริงๆหรือเพคะ” หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าตื่นตะลึงของนางก็รู้สึกไม่สบายใจ “แน่นอน!” ความจริงแล้วความโกรธเกลียดของนางก็ล้วนเกิดจากการกระทำของเขาทั้งนั้น จะให้เขายกความผิดทั้งหมดไว้บนตัวนางได้อย่างไร เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็เอ่ยต่อ “ช่วงนี้ดอกไม้ในอุทธยานกำลังบานสะพรั่ง หากว่าร่างกายเจ้าเริ่มดีขึ้นแล้วก็ออกไปเดินชมธรรมชาติ ชื่นชมธรรมชาติและกลิ่นหอมของดอกไม้หน่อยก็ดี” โหร่วยเฟยพยักหน้าขึ้นลงแรงๆด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “เพคะ เพคะ หม่อมฉันจะรีบออกไปเดินเล่นเดี๋ยวนี้!” “อย่าใจร้อน ดอกใม้พวกนั้นยังบานอยู่อีกนาน รอเจ้าหายดีก่อนเถิด อีกอย่างช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อนเจ้ายังเป็นหวัดได้แสดงว่าร่างกายเจ้าอ่อนแออย่างยิ่ง ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถิด!” “เพคะ หม่อมฉันจะเชื่อฟังฝ่าบาท!” โหร่วยเฟยพยักหน้าอย่างว่าง่าย ยามนี้หญิงสาวไม่ได้รวบผมขึ้นมา นางปล่อยผมสยายล้อมกรอบหน้าทั้งยังแย้มรอยยิ้มงดงามออกมา ดวงตากลมที่เอ่อคลอพาให้ผู้คนใจสั่น แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นก็ไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อยเขาเพียงรู้สึกเวทนาสงสารนางก็เท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็สนทนากันอีกไม่กี่คำหลี่เฉินเย่นก็กลับไป หลี่เฉินเย่นคงไม่รู้ว่าความอ่อนโยนในวันนี้ของเขาทำให้นางทั้งตื่นตกใจและมีความสัขมากเพียงใด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ กำลังนำพาหายนะมามาให้นางเช่นกัน! หลังจากที่หลี่เฉินเย่นกลับไปชูเซี่ยก็หยิบตำราออกมาเล่มหนึ่งแต่ไม่ว่านางจะพยายามอ่านอย่างไรก็อ่านไม่เข้าหัวสักที ในหัวของนางเอาแต่คิดถึงคำพูดของหลี่เฉินเย่นที่พูดกับนางก่อนจะถอนหายใจออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งนางก็เห็นว่าเชียนซานกำลังวิ่งมาทางนี้ ใบหน้าของเชียนซานเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องและคุกเข่าลงตรงหน้าชูเซี่ยก็เอ่ยอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “นายหญิง ขอร้องท่าน ท่านช่วยนางด้วยเถิด!” เมื่อเห็นหญิงสาวที่เย็นชามาตลอดกลายร่างเป็นเด็กน้อยขี้แยก็ทำให้ชูเซี่ยทั้งรักใคร่และสงสารอย่างสุดซึ้ง นางรีบดึงร่างของอีกฝ่ายขึ้นมา “ก่อนที่จะไปช่วยนางข้าอยากดูแขนของเจ้าก่อน!” เชียนซานส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องดูหรอกเจ้าค่ะ แขนของข้ามีรอยแผลไฟไหม้อยู่จริงๆ พวกเราไปกันเถิด รีบไปหากช้ากว่านี้คงไม่ทันแล้ว!” ชูเซี่ยวางตำราในมือลง “คนที่สามารถช่วยนางได้ไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้าต่างหากเล่า!” เชียนซานช้อนสายตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตามองนางอย่างสงสัย ชูเซี่ยจับไหล่ของนางทั้งสองข้างไว้ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “อาการของนางในตอนนี้ไม่ว่ายาหรือหมอก็ล้วนรักษาไม่ได้ ผู้ที่ช่วยให้นางผ่านพ้นสถานการณ์ย่ำแย่นี้ไปได้ก็คือเจ้า แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่ฟื้นคืนสติ แต่ส่วนลึกในใจของนางยังคงคิดถึงบุตรสาวของตนไม่เคยลืม แต่นางยังสามารถได้ยินคำพูดของพวกเรา เจ้าต้องไปกระซิบข้างหูของนางบอกนางว่าเจ้ากลับ จางหมิงจูบุตรสาวของนางมาหานางแล้ว เพื่อกระตุ้นความคิดของนาง ทำให้นางมีความหวังและกำลังใจที่จะอยู่บนโลกนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง!” เชียนซานรู้สึกหวาดกลัวและดูแคลนตนเองขึ้นมา “นายหญิง ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าบางทีข้าอาจจะไม่ใช่บุตรสาวของพวกเขา” ชูเซี่ยรู้แต่แรกอยู่แล้วว่านางต้องกังวลเรื่องนี้ “หากเจ้าสังเกตดีๆเจ้ากับฮูหยินจางหน้าเหมือนกันมากเลยนะ ทั้งปิ่นปักผมของเจ้า ยังมีรอยไหม้ที่แขนอีก ต่อให้เจ้าไม่อยากยอมรับแต่มันก็คือเรื่องจริง นิสัยของเจ้ากับท่านใต้เท้าซือคงจริงๆแล้วก็คล้ายกันยิ่งนัก ยิ่งความหน้าตายดื้อรั้นแบบนั้นอีก” เชียนซานเช็ดน้ำตาป้อยๆ ริมฝีปากเอ่ยคำพูดสั่นเครือ “ตรงไหนกัน ข้ากับเขาเหมือนกันตรงไหนกัน ใครบอกว่าเขาเหมือนเขาไม่ทราบ” ชูเซี่ยหัวเราะขบขัน “เช่นนั้นเจ้าเต็มใจจะไปช่วยเหลือมารดาของเจ้ากับข้าหรือไม่” เชียนซานนิ่งไปก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “หากว่าข้าไปแล้วนางจะดีขึ้นมาข้าก็จะไป!” “อย่างน้อยนางก็ย่อมดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่!” ชูเซี่ยตอบ เชียนซานจึงยอมพยักหน้า ดวงตาฉายชัดถึงความรักและความเด็ดเดี่ยวของตน “ได้ ข้าไป!”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 145 ร้อนรน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A