ตอนที่ 162 ขอยารักษาคน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 162 ขอยารักษาคน
ต๭นที่ 162 ขอยารักษาคน หลังจากที่ฉ่ายเวินจากไปแล้ว หลี่เฉินเย่นจึงเรียกให้ตามหลางเยว่ให้มาเข้าพบ เขาเดินมือไขว้หลังอย่างร้อนใจอยู่ในห้องทรงพระอักษร ฉ่ายเวินมาในวันนี้เพื่อสืบข่าวซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แม้ว่านางไม่ได้เอ่ยถึงเจตนาของตนออกมา แต่กลับเอ่ยถึงสถานะที่แท้จริงของซูเซี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า หากเขายังพบเรื่องที่มีพิรุธอย่างมากอีกด้วย นั่นก็คือการที่นางเรียกหยิงหลงที่เป็นคนผลักนางตกน้ำว่าพี่สาว แต่กลับคบหากับโหร่วยเฟยที่เมื่อก่อนไม่ได้สนิทสนมขึ้นมา ทุกประโยคล้วนเอ่ยขึ้นว่าโหร่วยเฟยไม่ใช่พี่มี่เหอ ในเรื่องนี้ จะต้องมีบางอย่างที่เขาไม่รู้อย่างแน่นอน “หลางเยว่ เจ้าไปตรวจสอบดูว่าผู้ใดคือคนที่ปล่อยข่าวลือพวกนี้” หลี่เฉินเย่นคิดว่างานมากมายหลายอย่างนี้ เดิมทีแล้วล้วนต้องจัดการทีละขั้นตอน ซึ่งเขาก็ได้วางแผนเอาไว้หมดแล้ว แต่การหยั่งเชิงของฉ่ายเวินในวันนี้ ทำให้ในใจของเขาว้าวุ่นอย่างมาก มีบางคนหรือบางสิ่งที่เขาไม่ได้คิดคำนวณไว้ในแผนอีกหรือ “ฝ่าบาท ไม้ต้องตรวจสอบหรอกพะย่ะคะ ในวังหลวงไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยพะย่ะค่ะ” หลางเยว่เอ่ยขึ้น “งั้นก็ผิดปกติแล้วละ นางจะรู้ได้อย่างไร เมื่อครู่นางมาเพื่อหยั่งเชิงจับพิรุธข้าเป็นแน่ เรื่องนี้หากไม่มีความชัดเจน นางก็คงไม่สามารถมาโดยปราศจากการไตร่ตรองหรอก ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยขึ้นอย่างกังวล หลางเยว่เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่ผิดพะย่ะคะ ผู้ที่ทราบถึงสถานะที่แท้จริงของท่านหมอเวิน มีเพียงไม่กี่คน หากล้วนยังไม่สามารถเผยเปิดถึงความลับนี้ได้อีกด้วยพะย่ะคะ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามว่า “ช่วงนี้เฉินหยวนชิ่งเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่” “ตอนนี้เขาล้วนยุ่งกับการถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติพะย่ะคะ แต่ว่าบางทีอาจยังสามารถนัดพบกับฉ่ายเวินเป็นการส่วนตัวได้ แต่สังเกตจากสีหน้าของเขาแล้วดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ไม่สบายใจพะย่ะคะ ” หลางเยว่เอ่ยขึ้น “อืม เจ้าเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขาต่อไป หากมีเขามีการเคลื่อนไหวอะไร รีบเข้าวังมากราบทูลทันที” หลี่เฉินเย่นเอ่ยกำชับ “พะย่ะคะ” หลางเยว่ถวาบบังคมแล้วถอยหลังจากไป ในใจของหลี่เฉินเย่นนั้นกระวนกระวาย คิดอยู่ตลอดเวลาว่าฉ่ายเวินกำลังวางแผนคิดจะทำสิ่งใด “ทูลฝ่าบาท หว่านเหนียงมาแล้วพะย่ะคะ ” หลางเยว่เพิ่งออกไปไม่นาน จงเจิ้งก็เข้ามาทราบทูลรายงาน “รีบให้เข้ามา” หลี่เฉินเย่นหมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้มังกร เมื่อหว่านเหนียงเข้ามาแล้ว ข้าจงก็รับปิดประตูลง หว่านเหนียงคุกเข่าแสดงความเคารพแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” “หว่านเหนียงไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถิด” หลี่เฉินเย่นเอ่ยขึ้น เขายังคงให้เกียรติหว่านเหนียงอย่างมากเช่นเดิม หว่านเหนียงลุกขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆว่า “ทูลฝ่าบาท คืนวานนี้นายท่านได้ออกจากวังไปแล้วเพคะ” “ข้าทราบแล้ว” หลี่เฉินเย่นเอ่ย หว่านเหนียงอืมตอบรับ แล้วเอ่ยว่า “บ่าวรู้ว่าฝ่าบาทสามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ วันนี้ที่บ่าวมาเป็นเพราะมีเรื่องที่อยากสอบถามฝ่าบาทเพคะ” “คือเรื่องราวอันใดหรือ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม หว่านเหนียงนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยว่า “ความจริงเดิมทีแล้วเรื่องนี้บ่าวไม่ควรที่จะเอ่ยถามฝ่าบาทเพคะ แต่บ่าวนั้นคิดว่าใช้วิธีการอย่างอื่นตรวจสอบ ก็ยังมิสู้เอ่ยถามกับฝ่าบาทด้วยตัวเอง ฝ่าบาทเพคะบ่าวอยากรู้ว่าพระองค์ทรงมีศิษย์พี่ศิษย์น้องกี่คนกันหรือเพคะ ” หลี่เฉินเย่นตื่นตกใจเล็กน้อย “เจ้าใยเอ่ยถามเรื่องนี้หรือ” หว่านเหนียงจึงเอ่ยปากเล่าเรื่องราวในวันนั้นที่หลวี่หนิงได้เอ่ยกับตนให้แก่หลี่เฉินเย่นฟังจดหมดสิ้น หลังจากเอ่ยจบจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เดิมทีเรื่องนี้นายท่านได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่าห้ามให้ฝ่าบาททรงทราบ แต่ว่าตัวบ่าวเองนั้นขบคิดแล้วว่าเรื่องนี้ช่างใหญ่หลวงและสำคัญยิ่งนัก ควรที่จะมาเอ่ยถามฝ่าบาทด้วยตัวเอง เกรงว่าช่วงนี้หากให้นายท่านวิ่งวุ่นไปทุกแห่งเพื่อตรวจสอบถึงเรื่องนี้ ก็คงจะเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปเพคะ” หว่านเหนียงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความละอายใจและเสียใจ คิดว่าตนนั้นฝ่าฝืนคำสั่งของซูเซี่ย เพราะซูเซี่ยได้เคยกำชับว่าเรื่องนี้ไม่อาจที่จะทูลให้ฮ่องเต้ทรงรับทราบได้ สีหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนไปทันที ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้างขึ้น ลมหายใจก็ถี่ขึ้นคล้ายมีความโกรธแฝงอยู่บางส่วน “หลวี่หนิงเคยเอ่ยเช่นนั้นจริงหรือ” “คือความจริงแน่นอนเพคะ ฝ่าบาทสามารถเรียกหลวี่หนิงมาซักถามให้ชัดเจนได้เพคะ” หว่านเหนียงเอ่ยขึ้นอีกว่า “บ่าวกลัวว่าถ้าหากที่คาดเดานั้นคือความจริง นางและศิษย์พี่ศิษย์น้องของตนล้วนสามารถที่จะลงมือได้ นั่นเท่ากับว่านางจะต้องลงมือกับนายท่านแน่นอนเพคะ บ่าวไม่อาจมองดูนายท่านตกอยู่ในอันตรายได้อย่างเด็ดขาดเพคะ ” หลี่เฉินเย่นปิดตาลงอย่างทุกข์ใจ สูดลมหายใจเข้าช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าคือเรื่องจริง ชิงเอ๋อและนางมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน โปรดปรานนางเหมือนเป็นน้องสาวของตนเอง นางคงไม่สามารถลงมือทำร้ายชิงเอ๋อได้ หากชิงเอ๋อหนีไปกับผู้อื่นก็ไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ” “หากนางมีเพียงงศิษย์พี่ผู้นั้น ถ้าอย่างนั้นในวังของนางป้ายวิญญาณก็ควรที่จะเป็นศิษย์พี่ผู้นี้” หว่านเหนียงเอ่ยอย่างมั่นใจ “ข้าจะตรวจสอบเอง เจ้ากลับไปก่อนเถิด” หลี่เฉินเย่นยกมือมือที่คล้ายกับไม่มีกำลังของตนขึ้นโบกให้หว่านเหนียงออกไป เรื่องนี้ทำให้เขาหวั่นไหวเป็นอย่างมาก ปีนั้นที่บนเขาพวกเขาทั้งสามคนล้วนสบายใจและสุขใจอย่างยิ่งมีใช่หรือ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่เขามีความสุขมากที่สุด ความทรงจำในตอนนั้นในใจของเขาล้วนสำคัญอยู่เสมอ ในใจของเขาอาจารย์เปรียบเสมือนบิดา ผู้มอบความรักความเอ็นดูให้กับเขาในช่วงวัยเด็ก ฉ่ายเวินชิงเอ๋อคือน้องสาวของเขา คือคนในครอบครัว นับเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา ตอนเขาอายุยังน้อยนั้นอารมณ์ร้อน ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนั้นคือสิ่งใด เขาหวั่นไหวกับชิงเอ๋อ แต่ว่าหากเป็นเช่นนั้นอาจทำให้ชิงเอ๋อเสียชีวิตไป เขาก็คงสำนึกในความผิดของตนไปชั่วชีวิต หว่านเหนียงทำได้เพียงถอยหลังเดินออกไป นางมิใช่คนที่มากความเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หากนายท่ายกำชับนางไม่ให้พูด นางย่อมมิพูดออกมาอย่างแน่นอน แต่นางนั้นกลัวว่าหากฉ่ายเวินผู้นี้กล้าที่จะลงมือกับศิษย์พี่ของตนแล้วละก็ นางจะต้องไม่เลือกวิธีการที่จะรับมือกับนายท่าน และยิ่งกว่านั้นตอนนี้นายท่านอยู่นอกวังกับเชียนซาน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เอ่ยพูดออกไปจะเป็นการดี หากหลุดรอดออกไป กลัวว่าจะมีคนที่เจตนาต้องทำให้เรื่องนี้เกิดเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตขึ้นเป็นแน่ หลี่เฉินเย่นสั่งให้หลางเยว่ประกาศออกไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา ให้สืบหาการหายตัวไปของชิงเอ๋อและอานุ่ยเกอ แต่เรื่องนี้จะต้องดำเนินการอย่างเงียบเชียบที่สุด ห้ามเอิกเกริก เขาวาดภาพเหมือนของชิงเอ๋อและอานุ่ยเกอ ออกคำสั่งให้องค์รักษ์เงาไถ่ถามทั่วทุกแห่งหน แม้ว่าแผ่นดินนี้จะกว้างใหญ่ แต่พวกเขาทั้งสองคนนั้นเรียกว่าเป็นการหนีตามกันไปของคู่รัก ไม่ใช่หนีตาย ดังนั้นไม่อาจที่จะหลบซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ จะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่งเป็นแน่ เพียงตั้งรกรากอยู่เป็นเวลานาน ก็สามารถหาร่องรอยนั้นพบได้ ค่ำคืนนี้ เขามาที่ตำหนักหยงหมิง เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่หลังจากที่ฉ่ายเวินได้โยกย้ายเข้ามา เพื่อที่มาตรวจสอบป้ายวิญญาณที่หลวี่หนิงได้เอ่ยไว้ เมื่อตอนพลบค่ำเขาได้เรียกหลวี่หนิงให้มาเข้าพบแล้ว หลวี่หนิงก็ยืนยัยว่าตนไม่ได้มองผิดแน่นอนเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจมาที่นี่ด้วยตนเองสักครั้ง ภายในตำหนักหยงหมิง แสงไฟสว่างไสว หลลี่เฉินเย่นเดินปล่อยอารมณ์เข้าไปด้านใน ข้างกายมีเพียงจงเจิ้งเดินตามเข้าไป ฉ่ายเวินอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงไฟ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวดั่งหยก เส้นผมสีดำยาวเรียบรื่นสยายอยู่บนไหล่ ตอนนี้ร่างกายของนางกำจายกลิ่นหอมออกมา ดูเหมือนว่านางเพิ่งกำลังอาบน้ำเสร็จ สีหน้ายังคงสีแดงสด อย่ภายใต้แสงไฟดูราวกับช่างดึงดูดใจผู้คนเป็นอย่างยิ่ง ตั่งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กสาวผู้นั้นได้เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวเช่นนี้ หลี่เฉินเย่นได้แต่อุทานออกมาในใจเบาๆ หวังอย่างยิ่งว่านางยังจะเป็นสาวน้อยผู้นั้นดั่งเช่นเมื่อก่อน น่าเสียดายที่คนล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ “ศิษย์พี่ ดึกเช่นนี้แล้วท่านยังเสด็จมาหาข้าหรือเพคะ” ฉ่ายเวินดูเหมือนดีใจเป็นอย่างมาก สีหน้าดูคล้ายงงงัน หลังจากนั้นจึงยิ้มแล้วรีบลุกกายขึ้นถวายบังคมทันที หลี่เฉินเย่นส่งเสียงตอบรับ เดินเข้าไปนั่งลงข้างกายของนางอย่างใกล้ชิด แล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าคิดถึงเจ้า อยากที่จะมาพูดคุยกับเจ้า” ฉ่ายเวินยิ้มกว้างราวกับดอกไม้ผลิบาน “หาโอกาสเช่นนี้ได้ยากยิ่งเพคะ ตอนนี้ศิษย์พี่คือคนที่ยุ่งที่สุดเพคะ ยังเป็นห่วงน้องสาวผู้นี้เช่นข้า ถึงจะเป็นการหลอกข้า แต่ในใจของข้าก็ดีใจเพคะ ” “อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งนี้ เรื่องราวต่าง ๆ ไม่เป็นที่พึงพอใจ ดังนั้นถึงคิดถึงเรื่องราวในช่วงที่พวกเราอยู่บนเขาขึ้นมา ไม่รู้ว่าชิงเอ๋อตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง มีลูกชายตัวอวบอ้วนกี่คนแล้วกับอานุ่ยเกอ ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยขึ้นอย่างมีรอยยิ้ม ฉ่ายเวินนำหนังสือเล่มนั้นวางลงบนโต๊ะ ยื่นมือออกมารวบที่เส้นผมของตน สายตาคล้ายกับปิดปังบางอย่างสิ่ง หลี่เฉินเย่นยังไม่ทันที่จะจับพิรุธได้ นางก็กลับมามีสายตาที่ปกติเช่นเดิมแล้ว พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “มีแน่นอนเพคะ นางจากไปก็หกปีแล้วเพคะ” “เวลาหกปี ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ตอนที่อาจารย์ได้จากไปนางก็ไม่ได้กลับมา นางช่างใจดำจริงๆ” หลี่เฉินเย่นถอนใจออกมา “เกรงว่านางอาจจะไม่รู้ก็เป็นได้เพคะ” ฉ่ายเวินฝืนยิ้มออกมา “อีกประการหนึ่งแต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่ชิงเอ๋อนับถือท่านพ่อมาก หากนางรู้จะต้องกลับมาอย่างแน่นอนเพคะ ” “สู้ให้ข้าประกาศให้คนใต้บังคับบัญชาตามหานางจะดีกว่า รอให้ถึงชิงหมิงในเดือนสามปีหน้า พวกเราสามคนเดินทางไปเซ่นไหว้ท่านอาจารย์ด้วยกันกัน” หลี่เฉินเย่นเอ่ยขึ้นมาทันที ฉ่ายเวินพยักหน้า “ก็ดีเพคะ ข้าก็อยากกลับไปเซ่นไหว้ท่านพ่อเช่นกันเพคะ” นางหยุดชะงักไปแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เพียงตอนนี้ศิษย์พี่ชิงเอ๋อและอานุ่ยเกอได้ใช้มีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข พวกเราก็ไม่ต้องไปรบกวนพวกเขาหรอกเพคะ” หลี่เฉินเย่นมองไปยังฉ่ายเวิน “แต่เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้าไม่คิดถึงชิงเอ๋อหรือ ” ฉ่ายเวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าหมองว่า “คิดอย่างแน่นอนเพคะ คิดถึงอย่างมาก แต่คิดแล้วมีประโยชน์อันใดหรือเพคะ นางล้วนหลบซ่อนไม่ออกมาพบพวกเรา หากนางต้องการที่จะพบพวกเรา ก็คงเข้าเมืองหลวงมาก่อนหน้านี้แล้ว ศิษย์พี่ก็ขึ้นครองราชย์มาเป็นเวลานานแล้ว หากนางต้องการที่จะตามหาพวกเรา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายที่จำทำใช่หรือไม่เพคะ กระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ของพวกเขาเลย พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีเจตนาที่จะหลบซ่อนตัวจากพวกเราเพคะ” หลี่เฉินเย่นส่งเสียงรับคำ “หากนั่นคือความจริง ก็แล้วไปเถอะ ในเมื่อนางเจตนาที่จะหลบซ่อนตัวไปจากพวกเรา งั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปรบกวนชีวิตของพวกเขาแล้วละ แต่เวลาผ่านไปก็หลายปีไม่ได้พบเจอ ก็ไม่แปลกที่จะคิดถึง” “ข้าไม่คิดถึงศิษย์พี่ชิงเอ๋อที่ไหนกันหรือเพคะ ข้ามีคำพูดที่จะเอ่ยกับนางมากมาย เพียงคาดหวังให้นางสุขสบายดีเท่านั้น” ฉ่ายเวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูท้อแท้ใจ หลี่เฉินเหลี่ยนเพ่งมองนาง รีบยื่นมือออกไปขยี้ที่ผมของนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เอาเถอะ สาวน้อยของพวกเราล้วนเริ่มคิดมากเกินไปแล้ว ศิษย์พี่ของเจ้าออกจะรักเจ้าปานนั้น นางรู้ว่าเจ้าคิดถึงนางก็ต้องกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน” เวลานั้น ด้านนอกก็มีลมพายุพุ่งตรงเข้ามาจากประตูใหญ่ พัดผ้าม่านในอาหารปลิวไสว ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกประตูถูกลมพายุพัดให้ไหวเอนไปมา แยกเขี้ยงยิงฟันดูดุร้ายคล้ายกับวิญญาณที่น่ากลัวสยดสยอง ฉ่ายเวินดูตะลึงจนลืมตัวมองออกไปยังด้านนอกอยู่เช่นนั้น ทั่วร่างกายนั้นดูหวาดกลัวและตกใจ หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความใส่ใจว่า “หนาวใช่หรือไม่ อากาศช่วงนี้กำลังเปลี่ยนแปลง เพิ่งผ่านกลางฤดูใบไม่ร่วงแต่ดูเหมือนว่าความหนาวเย็นก็มาเยือนเสียแล้ว” ฉ่ายเวินพึมพำเอ่ยขึ้นมาว่า “มาแล้วก็ดีเพคะ ความจริงแล้วข้าเองก็เกลียดอากาศที่ร้อนจัดเช่นนี้เพคะ” วันที่สอง สีของขอบฟ้าก็มืดครึ้มลงดังที่คาดคิดไว้ ขอบฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำแลดูมืดมิด มีแสดงของสายฟ้าผ่าฟาดลงมาในตอนเช้าตรู่ที่เงียบสงบ หลังจากนั้นเสียงดังครืนก็ดังลั่น คล้ายกับว่าท้องฟ้าได้เปิดปากออกมาคำรามออกมาแล้วฝนก็เทลงมาปานฟ้ารั่วอย่างนั้น คล้ายกับต้องการให้ชะล้างความสกปรกของผืนดินทั้งมดให้หมดไป วันนี้ไม่มีว่าราชการในตอนเช้า หลี่เฉินเย่นจึงตื่นนอกเกือบยามเฉิน เมื่อคืนนี้แทบไม่ได้นอนทั้งคืน ล้วนขบคิดไตร่ตรองถึงคำพูดของหลวี่หนิง “ในจวนซือคงไม่มีข่าวคราวส่งมาเลยหรือ” จงเจิ้งกำลังช่วยเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เอ่ยตอบอย่างไม่สนใจไยดีว่า “กราบทูลฝ่าบาท ยังไม่มีข่าวสารใดส่งมาพะย่ะคะ” จงเจิ้งเอ่ยตอบขึ้นเบาๆ “แต่วันนี้ท่านใต้เท้าหลวี่ได้เข้าวังมาแต่เช้ามืดเพื่อขอให้หวงไทเฮา พระราชทานหลินจือ เพื่อช่วยชีวิตคนพะย่ะคะ” “ปกติแล้วเขาก็ทำอะไรที่เอิกเกริกเช่นนี้หรือ มีผู้ใดรู้บ้าง” หลี่เฉินเย่นไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ฝ่าบาทโปรดวางใจพะย่ะคะ ใต้เท้าหลวี่เพียงเอ่ยว่าท่านปู่ในบ้านได้ป่วยหนัก จึงอยากให้หวงไทเฮา มอบเห็ดหลินจือให้เท่านั้นพะย่ะค่ะ” จงเจิ้งเอ่ยตอบ “หวงไทเฮา ให้ไปหรือไม่” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ให้ไปแล้วสองดอก ยังมีโสมพันปีพะย่ะคะ เกรงว่าตอนนี้จะออกจากวังไปแล้วพะย่ะคะ ” จงเจิ้งเอ่ยตอบขึ้น หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “เข้าวังมาเพื่อขอยารักษาแต่เช้ามืดเช่นนี้ คิดดูแล้วสถานการณ์น่าจะไม่ค่อยดีแล้วละ” จงเจิ้งก็เอ่ยขึ้นอย่างกังวลว่า “ใครพูดว่าไม่กันละ ทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงจริงๆเลย” จงเจิ้งก็รักเชียนซานเช่นกัน เขากับซือคงสบหากันดังเช่นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ จึงไม่ง่ายที่จะเห็นเพื่อนของตนจำลูกสาวได้ แม้กำลังจะต้องแยกจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไปด้วยความตาย จะไม่ทำให้ผู้คนทุกข์ใจได้อย่างไร ความจริงแล้วสถานการณ์ของเชียนซานไม่ควรที่จะเปิดเผยออกไป แต่หลวี่หนิงกังวลกันสถานการณ์ของเชียนซาน พร้อมทั้งจวนซือคงไม่มีตัวยาที่ล้ำค่า และยังได้ยินมาว่างซูเซี่ยได้เคยใช้เห็ดหลินจือแล้ว เลยรีบร้อนเข้าวังมาเพื่อขอตัวยา เขาจำได้แล้ววันนี้เขามาเป็นสายสืบที่ตำหนักหยงหมิง เกิดเรื่องขึ้นกับเชียนซานจึงทำให้เขาว้าวุ่นอยู่พอสมควร 
已经是最新一章了
加载中