ตอนที่ 164 อาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 164 อาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว
ต๭นที่ 164 อาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว ซูเซี่ยพาหญิงสาวกลับวังระหว่างเดินทางอยู่นั้นจึงเอ่ยถามนางว่า “เจ้ามีชื่อว่าอย่างไร เพราะเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่หรือ” หญิงสาวเดินตามซูเซี่ยอยู่ทางด้านหลัง ความสูงของนางประมาณเดียวกับซูเซี่ย แต่ว่ารูปร่างนั้นถือว่าผอมกว่าซูเซี่ย แม้ว่าจะดูงดงามแต่ขณะที่เดินอยู่ด้านหลังของซูเซี่ยคล้ายกับเป็ดน้อยที่ขวยอาย นางเอ่ยตอบว่า “พี่สาว ข้ามีชื่อว่าขู่เอ่อร์ บ้านเกิดอยู่ที่ฮุ่ยโจว ที่บ้านประสบภัยน้ำท่วมผู้คนในหมู่บ้านล้วนต่างหนีออกมา เดิมทีข้ากับบิดาจึงคิดเข้ามาที่เมืองหลวงพึ่งพาญาติพี่น้อง แต่ตามหาญาติไม่พบเงินที่ใช้เดินทางก็หมดลงเสียก่อน อีกทั้งบิดาก็ป่วยหนักจนเสียชีวิตลงที่ต่างเมือง...” พูดแล้วสายตาก็แดงก่ำ หยดน้าตาก็พรั่งพรูออกมา เรื่องราวที่น่าเศร้านี้ช่างเหมือนกับละครในทีวีอย่างไงอย่างนั้น แต่ว่าซูเซี่ยไม่ได้รู้สึกว่านางกำลังเล่นละคร ตรงกันข้ามโลกกว้างใหญ่นี้มีเพียงความรู้สึกของตนเองคนเดียวเท่านั้น นางรู้ได้จากประสบการณ์ที่เคยประสบมา ซูเซี่ยเวทนาสงสารนางจึงเอ่ยปลอบใจว่า “เรื่องราวร้ายๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากนี้ไม่มีผู้ใดสามารถรังแกเจ้าได้อีก ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนซือคง ผู้คนในนั้นล้วนเป็นคนดี เจ้าอยู่ที่นั่นก่อนแล้วกัน” ขู่เอ่อร์ตกใจจนรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “พี่สาว ท่านไปที่ใดข้าก็จะไปกับท่านด้วย ท่านเรียบเสมือนญาติพี่น้องของข้า ใยท่านถึงต้องการทิ้งข้าไว้” ซูเซี่ยหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวข้าเองนั้นต้องการไปที่ใด แล้วจะให้พาเจ้าไปด้วยได้อย่างไร อีกอย่างแม้ข้าต้องกลับไปที่สถานที่นั้น เจ้าไปกับข้าก็มีแต่จะได้รับความลำบาก” กลับวังหลวงอันตรายในทุกย่างก้าว เมื่อใดจะถูกคนลอบทำร้ายไม่อาจรู้ได้ พาขู่เอ่อร์เข้าวังหลวงไม่ใช่เป็นการทำร้ายนางหรอกหรือ ขู่เอ่อร์ร้อนใจเอ่ยว่า “ขู่เอ่อร์ไม่กลัวเจ้าคะ แม้จะลำบากกับท่านข฿เอ่อร์ก็ไม่กลัว กลัวแต่ว่าพี่สาวจะทิ้งขว้างข้า” ซูเซี่ยรู้ว่าหญิงสาวตันคนเดียว หลังจากที่พบเจอกับเหตุการณ์ณ์ที่น่าวิตกกังวล จะต้องเกิดความรู้สึกผูกติดกับคนที่ช่วยให้พ้นอันตรายขึ้นแน่นอน แต่เพียงต้องใช้เวลาให้จิตใจสงบลงหลายวัน ดังนั้นตอนนี้นางจึงพูดอะไรได้ไม่มากนัก เพียงเอ่ยว่า “เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนซือคงก่อน แล้วพูดฝากฝังเจ้ากับใต้เท้าซือคง หลังจากนั้นให้ใต้เท้าส่งคนไปจัดการฝังศพบิดาของเจ้า แล้วกลับมาที่จวนซือคงอีกครั้ง” “ดีเจ้าคะ ล้วนทำตามที่ท่านเอ่ยมาทั้งหมดเจ้าคะ” ขู่เอ่อร์เอ่ยขึ้น เรื่องการป่วยของเชียนซานอาการเริ่มคงที่อย่างมากแล้ว สติก็ได้กลับมาแล้วเช่นกัน แต่หลังจากวันนั้นที่ได้ส่องกระจกครั้งเดียวก็อารมณ์ฉุนเฉียวอย่างมาก เอ่ยว่าต้องการทำลายกระจกที่มีทั้งหมดให้แตกละเอียด ฮูหยินซือคงก็เป็นทุกข์อย่างมากจึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ด้านข้าง ยังดีที่ซูเซี่ยเอ่ยปลอบใจนางว่าสามารถทำให้รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายไปได้ เชียนซานจึงหยุดร้องไห้แล้วยิ้มออกมา ซูเซี่ยส่ายหน้า “ดูแล้วหญิงสาวที่เพิ่งแข็งแกร่งขึ้น ล้วนมองว่าตนเองมีความดื้นรั้นอยู่อย่างมาก ” เชียนซานเอ่ยว่า “นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว” “ใช่แล้ว โดยเฉพาะสิบเดือนมานี้ใจกลางของต้นกะหล่ำ มองดูแล้วค่อนข้างตึงทีเดียว” ซูเซี่ยเอ่ยอย่างหมดท่าทาง “สิ่งใดเรียกว่ากะหล่ำหรือ ผักก็มีหน้าตาตึงเช่นนั้นหรือ” เชียนซานประหลาดใจถลึงตาเบิกกว้างเอ่ยถามขึ้น ฮูหยินซือคงหัวเราะเสียงดังออกมา เอ่ยกับเชียนซานว่า “ลูกสาวคนดีของข้า ไม่โทษเจ้าที่ไม่รู้ เจ้าเติบโตอยู่ในพรรคมังกรเหิน จะรู้สุภาษิตของชาวบ้านได้อย่างไรกัน” “นั่นหมายความว่าอย่างไรกันแน่หรือเจ้าคะ” เชียนซานกะพริบตาเอ่ยถามขึ้น ซูเซี่ยหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “อืม เจ้าลองนึกดูเมื่อถึงฤดูร้อน เจ้าแมวชอบส่งเสียงร้องเรียกตอนเที่ยงคือใช่หรือไม่ เจ้าพูดสิว่าเจ้าแมวกำลังส่งเสียงร้องเรียกอะไร ” เชียนซานงงงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าแมวนี้และพืชผักมีความสัมพันธ์อันใดกัน...” เงียบงันไปชั่วครู่ เชียนซานก็ตกใจร้องออกมา “ไอ๊ นายท่าน ท่านช่างร้ายกาจเสียจริง ท่านพูดว่าข้ากำลังร้องหาคู่เพื่อผสมพันธุ์” ซูเซี่ยที่นั่งหัวเราะอยู่อีกด้าน มองเห็นเชียนซานดูสดชื่นเช่นนั้นแล้ว ในที่สุดนางก็วางใจได้แล้ว ในยุคปัจจุบันตอนนี้มีคนบางส่วนมักพูดว่าต้องยกเลิกการแพทย์แผนจีน พูดว่าแพทย์แผนจีนทำให้ประเทศล่มจม ตอนนี้มองไปแล้วในยุคที่ไม่มียาปฏิชีวนะ ยาแผนจีนยังคงเป็นยาที่สามารถช่วยเยียวยารักษาชีวิตของผู้คนเอาไว้อย่างมากมาย วันที่ดีวันหนึ่งผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้วที่ซูเซี่ยได้ออกจากวังมา ในราชสำนักมีคนส่งหนังสือกราบทูลว่าจางหมิงจูบุตรีของใต้เท้าซือคงเจ็บป่วยด้วยโรคทรพิษ ตามกฏข้อบังคับคนที่ป่วยด้วยโรคทรพิษจะต้องถูกส่งไปยังเกาะร้างออกไป ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ใช่ช่วงการป่วยวันที่สามของเชียนซาน ได้มีคนส่งหนังสือขึ้นกราบทูล แต่ว่าหลี่เฉินเย่นตั้งใจทำให้รายงานเล่มนั้นทับไว้ใต้โต๊ะ และรีบปลดข้าราชการผู้ที่ส่งรายงานกราบทูลออกไปประจำที่ท้องที่ ในที่สุดก็หยุดเรื่องนี้ไว้ได้ชั่วคราว ครั้งนี้ ข้าราชการผู้นั้นนอกจากจะส่งหนังสือรายงานขึ้นกราบทูลแล้ว ยังเอ่ยพูดขึ้นในราชสำนักออกมาอีกด้วย คนนั้นก็คือเฉินหยวนชิ่ง ขณะที่จงเจิ้งกำลังประกาศหยุดพักการประชุมราชการ เขาก็รีบเดินออกมาเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีเรื่องที่จะกราบทูลพะย่ะคะ ” ฮ่องเต้เห็นสีหน้าที่เฉยเมยของเขา จึงเกิดความรู้สึกหนักใจขึ้น จึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉินมีธุระอันใดไปคุยกันที่ห้องทรงพระอักษร” เฉินหยวนชิ่งยืนตระหง่านอย่างองอาจ เอ่ยขึ้นอย่างถือทิฐิว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ จักต้องปรึกษาหารือกันในท้องพระโรงพะย่ะคะ” สายตาของหลี่เฉินเย่นเย็นชาขึ้น มองจากที่นั่งบนท้องพระโรงมายังเฉินหยวนชิ่ง เฉินหยวนชิ่งก็ไม่ยอมถอย สายตาทั้งคู่เหมือนมีประกายไฟพาดผ่าน ใบหน้าแสดงถึงการยอมสูญเสียทุกอย่างอย่างถึงที่สุด พวกขุนนางจึงเงียบขรึมขิ้น ในใจล้วนงงงัน มีเพียงใต้เท้าซือคงที่ทำให้สะเทือนใจ แม้รู้มาว่าเฉินหยวนชิ่งจะทำให้ยังไงกับเรื่องทั้งหมด แต่ว่าเขาไม่สามารถพูดออกมาได้ ในใจยังจำคำพูดของซูเซี่ยที่พูดกับตนเมื่อค่ำวานว่า ไม่ว่าใครจะพูดว่าเชียนซานนั้นป่วยเป็นไข้ทรพิษ เขาล้วนจะต้องไม่ยอมรับ ให้พูดเพียงว่าเชียนซานเกิดเป็นไข้หัดขึ้นมา จึงไม่สามารถถูกลมได้ หากมีคนเอ่ยถามขึ้นก็ไม่จำต้องพูดอะไรออกมา แต่เขารู้พอเฉินหยวนชิ่งเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหก พวกขุนนางจักต้องสามารถบีบให้ฮ่องเต้ส่งตัวหมอหลวงไปตรวจรักษาที่จวนซือคง และเพื่อการตรวจสอบที่จริงจัง ก็สามารถให้ท่านหมอในเมืองหลวงที่มีคุณธรรมและเกียรติศักดิ์อันสูงส่งหลายท่านเข้าร่วมตรวจรักษาด้วย ถึงแม้ฮ่องเต้จะทรงมีใจปกป้อง แต่ก็หลีกหนีไม่ได้อีกแล้ว “ทูลฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดที่หม่อมฉันได้กราบทูลล้วนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และขอให้ฝ่าบาทอนุญาตให้หม่อมฉันหารือเรื่องนี้ในท้องพระโรงด้วยพะย่ะคะ” เฉินหยวนชิ่งไม่ยอมถอยสักนิดเดียวเลย กระทั่งยังขยับเข้าไปอีกก้าว เพิ่มระดับของการยกตนข่มท่านขึ้น มุมปากของหลี่เฉินเย่นโค้งขึ้นอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้จริงๆว่าใต้เท้าเฉินตอนนี้เป็นคนที่ช่างดื้อรั้นและอวดดีเช่นนี้” เฉินหยวนชิ่งตกใจเล็กน้อย อารมณ์ที่แสดงออกมาบนใบหน้าจึงดูเยือกเย็นและน่ากลัวขึ้นทันที แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเรื่องนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก กระหม่อมจึงต้องตักเตือนพระองค์อย่างไม่เกรงกลัวต่อโทษตายเช่นนี้พะย่ะคะ” กล่าวอีกนัยหนึ่งถึงแม้ฮ่องเต้ต้องการที่จะประทานความตายให้เขา เขาก็ต้องเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาอย่างเดียวเท่านั้น แม้จะเป็นวิธีที่เหมือนพลาญล้างหยกศิลาเช่นนี้ ที่ทำให้เห็นว่าเขาเคียดแค้นซูเซี่ยมากเพียงไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาเมื่ออยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดเช่นนี้ เสนาบดีหลี่และเสนาบดีเซียวสบสายตากับแวบหนึ่ง หลังจากนั้นหลี่ซี่ก็ก้าวออกมาจากตำแหน่งแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิน หากเรื่องที่ท่านพูดไม่มีสิ่งใดมายืนยัน ถ้าอย่างนั้นยังจะต้องกลับมาหารือกันอีกหรือ” แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไร แต่ว่าเห็นฮ่องเต้ยืนกรานที่จะไม่ให้เฉินหยวนชิ่งพูดออกมา จึงเชื่อได้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในที่สุดเฉินหยวนชิ่งก็ไม่หันหลังกลับแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเกิดเรื่องที่ใหญ่หลวงขึ้น ท่านเสนาบดีหลี่จะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่” หลี่ซี่ชะงักงัน ในราชสำนักเขาก็เหมือนเป็นคนที่มีคุณธรรมและเกียรติศักดิ์ผู้หนึ่ง พวกขุนนางได้พูดกับเขาว่าส่วนใดที่เรียกว่าไม่ให้ความเคารพ ตอนนี้เขาก็เริ่มโมโหแล้วเช่นกัน จึงฮึมฮัมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเคยบอกว่ารับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบอย่างแน่นอน หรือว่าหลายปีมานี้สิ่งที่ข้าเคยรับผิดชอบนั้นยังน้อยไปเช่นนั้นหรือ ใต้เท้าเฉินจึงได้ยกตนข่มท่านในท้องพระโรงเช่นนี้ แม้กระทั่งไม่มีฮ่องเต้อยู่ในสายตา มิใช่ว่ามีตำแหน่งที่ใหญ่โตแล้งยิ่งหวาดระแวงอย่างนั้นหรือ” เดิมทีหลี่ซี่ยังเคยคิดว่าเฉินหยวนชิ่งผู้นี้ไม่เลวเลยเก่งทั้งด้านบุ๋นและบู๊ อีกทั้งจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ตอนที่ฮ่องเต้กำลังขึ้นครองราชย์บเขาพยายามได้ไม่เลวเลย แต่ดูตอนนี้นิสัยของเขานับวันก็ยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้น คิดว่าในราชสำนักนี้ขาดตนไปไม่ได้ วันนี้ท่านเจิ้งกั๋วอ๋องไม่ได้เข้าร่วมว่าราชการในตอนเช้า คืนวานเขาสั่งในคนเข้าวังเพื่อขอลาพัก เพราะอานเหยียนติดเชื้อจากอากาศที่หนาวเหน็บ สถานการณืจึงไม่ค่อยดีอยู่ตลอดเวลา เสนาบดีหลี่เห็นว่าเพียงผู้ที่สามารถระงับเฉินหยวนชิ่งได้ไม่อยู่ เฉินหยวนชิ่งก็ยิ่งเอ่ยกราบทูลเรื่องที่สำคัญขึ้น คิดไปแล้วน่าจะมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นในใจจึงยิ่งคิดเอนเอียงไปว่าตนตกอยู่ใจกลางภูเขาที่ตั้งตระหง่านตรงกันข้ามระหว่างฮ่องเต้และเฉินหยวนชิ่ง ตอนนี้สีหน้าของเฉินหยวนชิ่งเปลี่ยนไปทันที เอ่ยอย่างไม่แยแสขึ้นว่า “คำพูดนี้ของเสนาบดีหลี่หมายความว่าอย่างไร เช่นนั้นการกระทำผิดที่มีโทษหนักนี้ก็วางลงบนหัวของข้า หรือต้องการทำให้ข้าตายกันแน่ แม้ข้าจะไม่มีคุณงามความดีกับประเทศเจียงชาน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นนายทหารระดับสามในราชสำนัก เสนาบดีหลี่คิดว่านายทหารล้วนมียศตำแหน่งที่ใหญ่โตเช่นนั้นหรือ เสนาบดีหลี่มีใจคิดที่จะยกข้าราชการพลเรือนกับทหารขึ้นมาถกเถียงกันใช่หรือไม่ ” สีหน้าของเสนาบดีหลี่ซีดขาวลง แล้วจึงเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ในใจเจ้าบิดเบือนความหมายของข้า ข้าหวังอย่างยิ่งว่าทั่วราชสำนักนั้นสามัคคีกัน คนที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือเจ้า ทำให้แตกแยกกันก็คือเจ้า ตอนนี้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ อยู่ในท้องพระโรงยังกล้าท้าทายอำนาจของฮ่องเต้เช่นนี้ หลังจากนี้ไม่รู้ว่ายังจะมีความคิดความอ่านที่ไม่ดีอะไรอีก ” เฉินหยวนชิ่งเอ่ยยิ้มอย่างเย็นชาว่า “เสนาบดีหลี่ช่างมีหลักการเป็นข้อๆเสียจริง เสนาบดีหลี่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ต่อบ้านเมือง ผู้คนต่างรู้กันดี แต่ว่าที่เสนาบดีหลี่ขัดขวางข้าอยู่ตอนนี้ ก็เป็นการไม่มีบรรพชนอยู่ในสายตาเช่นกัน” สีหน้าของเสนาบดีหลี่เปลี่ยนแปลงไปทันทีแสดงถึงความโกรธเคืองที่มีอย่างรุนแรง ชี้มือไปที่เฉินหยวนชิ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้า....มีอย่างนี้ที่ไหนกัน” หลี่เฉินเย่นเห็นสีหน้าของเฉินหยวนชิ่งไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆขึ้นมาเลย ก็รู้แล้วว่าวันนี้เฉินหยวนชิ่งต้องการที่จะต่อกลอนกับตนไปจนนาทีสุดท้ายอย่างแน่นอน เขาจึงเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ใต้เท้าเฉิน ท้ายที่สุดแล้วท่านมีเรื่องอะไร ที่ทำให้ท่านแข็งข้อไม่เห็นแก่คำสั่งของข้า กระทั่งไม่เห็นแก่เสนาบดีหลี่กล้าโต้เถียงเขาเช่นนี้หรือ” เฉินหยวนชิ่งเงยหน้ามองหลี่เฉินเย่นอยู่ตลอดเวลา บนใบหน้าของหลี่เฉินเย่นแสดงอารมณืออกมาอย่างไม่ยินดียินร้ายนั้นทำให้ในใจของเขาอดที่จะเลื่อมใสไม่ได้ กระทั่งในใจของเขายังหลีกเลี่ยงความทุกข์ใจนี้ไม่ได้ บีบคั้นน้องเขยของตนเองเช่นนี้ ทำให้เขาลงไม่ได้เมื่อยู่ต่อหน้าของพวกขุนนาง แต่ว่าใจที่อ่อนลงแค่ชั่วครู้นั้นเป็นเพียงเพราะเขาคิดถึงตายอย่างอนาถของน้องสาวตน ในใจก็ยิ่งเย็นชาดั่งก้อนหิน เสียงจากก้นบึ้งของหัวใจอันมืดมนของเขาดังขึ้นว่า หากเขามีใจให้กับน้องสาวของตนได้เท่าครึ่งหนึ่งของหญิงสาวผู้นั้น นางอาจจะไม่ตายเป็นแน่ ที่น้องสาวของเขาเจ็บป่วยจากคำพูดของฉ่ายเวินนั้นก็เพราะว่าในใจของเขายังคงห่วงใยซูเซี่ย ดังนั้นน้องสาวเขาจึงไม่มีความสุข คิดไปแล้ว คนผู้นั้นและซูเซี่ยล้วนคือเป็นคนที่ลงมือทำร้ายและฆ่าน้องสาวของเขา ใบหน้าของเขาและความคิดของเขานานเข้ายิ่งดูลึกลับขึ้น เขาเอ่ยอย่างเฉียบขาดว่า “กระหม่อมรู้มาว่าจางหมิงจูบุตรีของใต้เท้าจางซือคงป่วยเป็นไข้ทรพิษ ตอนนี้ท่านหมอเวินกำลังช่วยรักษาจางหมิงจูอยู่ในจวนซือคง ตามกฎระเบียบข้อบังคับแล้วทุกที่ที่เกิดโรคทรพิษขึ้น หรือคนที่เคยสัมผัสผู้ป่วยโรคทรพิษล้วนต้องส่งตัวออกไปอยู่บน เกาะร้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงอย่างยิ่ง หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นความสำคัญด้วยพะย่ะคะ” คำพูดที่เพิ่งเอ่ยออกมา ทำให้ใต้เท้าซือคงเอ่ยอย่างเดือดดาลขึ้นว่า “ท่านเฉินไปฟังคำพูดที่เหลวไหลของผู้ใดมาหรือ บุตรสาวข้าป่วยเป็นไข้ทรพิษตั้งแต่เมื่อใดกัน ท่านสาปแช่งบุตรสาวของข้าเช่นนี้แปลว่าในใจของท่านคิดที่ใส่ความนางหรือ เมื่อก่อนข้าเคยมีข้อขัดแย้งเรื่องการเมืองกับท่าน สามารถหาเหตุผลมาถกเถียงกันได้ แต่ตอนนี้ท่านใส่ความตระกูลของข้า ซึ่งเจตนาที่แท้จริงนั้นยากแก่การหยั่งรู้ ” เฉินหยวนชิ่งยิ้มเยาะออกมา “ข้าแต่ไหนแต่ไรมาดำเนินการตามความจริง ท่านใต้เท้าซือคงทั้งชีวิตซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ไม่เคยทำเรื่องที่เป็นบาปกรรม ข้าต้องการจะใส่ความท่านเพื่อสิ่งใด หากบุตรีของท่านใต้เท้าซือคงไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ สู้ให้หมอหลวงและท่านหมอทุกท่านร่วมกันตรวจสอบโรค ผู้ใดพูดจริงพูดเท็จ ก็พิสูจน์ให้รู้กันไปเลยดีกว่า” ใต้เท้าซือคงมีท่าทีที่แสดงออกมาอ่อนลงเล็กน้อยทันที แต่ว่ายังคงยืนหยัดความแข็งแกร่งของตนเอาไว้ เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าพูดว่าได้ตรวจสอบเป็นอย่างดีแล้วหรือ หากข้าพูดว่าในบ้านของเจ้ามีคนที่ป่วยเป็นโรคทรพิษ นั่นก็ต้องตรวจสอบที่จวนเจ้าด้วยใช่หรือไม่” ตอนนี้หลี่ซี่ออกมาเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงไม่สามารถตัดสินใจโดยพละการได้ ขอให้ท่านระมัดระวังในการพูดด้วย” เฉินหยวนชิ่งมองหลี่ซี่ด้วยสายตาที่ไม่พอใจแล้วเอ่ยว่า “หากข้าไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ จะกล้าเอ่ยขึ้นกลางท้องพระโรงเช่นนี้หรือ ฦาบาทอาจไม่เชื่อ เสนาบดีทุกท่านก็อาจไม่เชื่อเช่นกัน แต่ว่าความจริงก็คือความจริง จางหมิงจูเป็นโรคทรพิษแน่แท้ และได้รับเชื้อไข้ทรพิษจากตำหนักฉ่ายเหว่ย เรื่องนี้อันตรายต่อร่างกายหวงไทเฮา และฮ่องเต้ในวังหลัง จะไม่ระแวดระวังได้อย่างไรกัน ตามที่ข้ารู้นั้นตอนนี้ท่านหมอเวินได้ออกจากวังเพื่อไปรักษาอาการของจางหมิงจู ทุกท่านคงรู้ดีว่าไข้ทรพิษไม่สามารถรักษาให้หายได้ และสามารถแพร่กระจายออกไปได้อย่างรวดเร็ว ทุกท่านยับยั้งข้าไม่ให้ไปตรวจสอบยืนยันเรื่องนี้ หากผลสุดท้ายมีความร้ายแรงเกิดขึ้น พวกท่านทุกคนจะรับผิดชอบใช่หรือไม่ ” หลี่ซี่เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ที่แสดงออกมาบนใบหน้าที่ดูเศร้าหมองบางส่วนว่า “วันนี้ท่านนายพลยกตนข่มท่าน ดูแล้วมีหลักฐานที่ใช้พิสูจน์ความจริงแน่แล้ว แต่หากพอค้นหาหลักฐานว่าแม่นางเชียนซานไม่ได้เป็นไข้ทรพิษ แล้วจะเป็นเช่นไรหรือ” พวกขุนนางล้วนมองเฉินหยวนชิ่งอย่างละเอียด วันนี้เขากำเริบเสิบสานและยโสโอหังทำให้พวกขุนนางเดือดดาลอย่างมาก แต่แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจ ก็กลับไม่ได้เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นได้ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังมียำเกรงเขาอยู่บางส่วน
已经是最新一章了
加载中