ตอนที่ 165 ตรวจสอบสิว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 165 ตรวจสอบสิว
ต๭นที่ 165 ตรวจสอบสิว เฉินหยวนชิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน่าเห็นอกเห็นใจว่า “หากตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าจางหมิงจูไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ ข้ายอมที่จะไปคุกเข่ากราบไหว้เริ่มจากตงจือเหมินไปยังหน้าจวนซือคง เพื่อขอขมาต่อใต้เท้าซือคง” เมื่อเฉินหยวนชิ่งเอ่ยพูดจบ เสนาบดีหลี่ก็ได้เอ่ยขึ้นมาเพียงว่า “หวังงว่าท่านนายพลคงจะไม่กลืนน้ำลายตนเอง” เฉินหยวนชิ่งที่คุกเข่าอยู่พลันสีหน้าก็เคร่งขรึมดูน่าเกรงขามขึ้น แล้วประสานมือยกขึ้นกราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท ขอให้มีคำสั่งส่งหมอหลวงออกจากวังเพื่อไปตรวจรักษาจางหมิงจูทันทีด้วยพะย่ะคะ หากสุดท้ายแล้วเมื่อพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจางหมิงจูไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษจริง หลังจากนั้นกระหม่อมยินยอมที่จะคุกเข่าขอขมาที่จวนซือคง ทั่วท้องพระโรงก็ตกอยู่ในภาวะเงียบงัน ฮ่องเต้ใช้สายตาที่ดูเหมือนไฟกำลังลุกโชนแผดเผาไปยังเฉินหยวนชิ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะขยับแม้เพียงครึ่งก้าว ราชครูเฉินไท่ฟูก้าวออกมา คุกเข่าแล้วประสานมือยกขึ้นเอ่ยขอร้องว่า “ทูลฝ่าบาท หากคำพูดทั้งหมดของนายพลเฉินเป็นความจริง ขอให้ฝ่าบาททรงทำตามกฏหมายของราชสำนักด้วยพะย่ะคะ ขอทรงส่งผู้ตรวจการและหมอหลวง พร้อมด้วยท่านหมอหลายคนที่มีชื่อเสียงร่วมกันตรวจหาโรค หากไม่ได้ป่วยจริง กก็เป็นการดีที่จะทำให้บุตรีของท่านซือคงนั้นพ้นข้อกล่าวหา” เมื่อเหล่าขุนนางบางส่วนเห็นไท่ฟูพูดออกมาเช่นนี้ ก็ล้วนต่างพากันออกมาขอร้องว่า “ขอให้ฝ่าบาทส่งตัวหมอหลวงออกไปยังจวนซือคงเพื่อตรวจสอบด้วยพะย่ะค่ะ” เกินกว่าครึ่งหนึ่งของในราชสำนักถึงโน้มเอียงไปทางเฉินหยวนชิ่งทันที เฉินหยวนชิงจึงมองไปยังฮ่องเต้แล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้ทั่วราชสำนักล้วนพากัยเอ่ยขึ้นเช่นนี้แล้ว หากพระองค์ยังคงยืนยันเช่นเดิมอีก อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่พยายามปกปิดความผิดนะพะย่ะคะ” จงเจิ้งที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “ใต้เท้าเฉิน โปรดระมัดระวังคำพูดของท่านด้วย ความตั้งใจของฝ่าบาท สามารถให้ท่านคาดคะเนตามอำเภอใจที่ไหนกันหรือ” เฉินหยวนชิ่งเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “นั่นก็ขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยพะย่ะคะ” หลี่เฉินหยวนจึงยกมุมปากยิ้มออกมาอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า “ดี ในเมื่อใต้เท้าเฉินยืนกรานเช่นนี้ นั่นข้าก็ทำตามที่เจ้าต้องการก็แล้วกัน” เฉินหยวนชิ่งจึงคุกเข่าลงแสดงถึงความนอบน้อมแล้วเอ่ยว่า “เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พะย่ะคะฝ่าบาทที่พระองค?ทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้” ฮ่องเต้ลุกขึ้น แล้วก็เดินออกไปทันที ด้านนอกของห้องทรงพระอักษร กรมการแพทย์พร้อด้วยหมอหลวงทุกคนเตรียมรับคำสั่ง ในห้องทรงพระอักษรเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดรอกออกมา หลวี่หนิงและหลี่ซี่ล้วนอยู่ภายในห้องทรงพระอักษร ไม่นานก็มีคนสองคนพร้อมกับเฉินหยวนชิ่งและหมอหลวงออกจากวังไปพร้อมกัน เพื่อไปตรวจรักษาเชียนซานที่จวนซือคง ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนเก้าอี้มังกร สายตาดุดันจนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ วันนี้เฉินหยวนชิ่งท้าทายอำนาจของเขาอย่างโจ่งแจ้ง เห็นได้ชัดว่าในสายตาไม่คิดว่าเขาคือฮ่องเต้แม้แต่นิดเดียว แต่ก่อนเพราะมีเฉินอวี่จู๋ อย่างน้อยยังเคารพเขาอยู่สามส่วน วันนี้เขายิ่งดีใจจนลืมตัวยิ่งขึ้น เรื่องการป่วยของเชียนซานนี้ บางทีเขาก็ยากที่จะพ้นคำครหา “ฝ่าบาทพะย่ะคะ พระองค์ทรงต้องการส่งคนออกไปตรวจสอบจริงๆหรือพะย่ะคะ” หลวี่หนิงร้อนใจจนอยู่ไม่ติดกับที่ สองมือกวัดแกว่งถลึงขึงตาอากัปกิริยานั้นช่างดูเสียมารยาท หลี่ซี่ไม่ได้รู้ความจริงของเรื่องนี้ แต่ตอนนี้แม้จะเพิ่งเข้าใจในภายหลังว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็รีบร้อนเอ่ยถามว่า “เป็นเรื่องจริงหรือพะย่ะคะ นั่นจะทำเยี่ยงไรพะย่ะคะ ผู้คนในตำหนักฉ่ายเหว่ยและจวนซือคงนี้ต้องส่งออกไปยัง เกาะร้างหรือพะย่ะคะ” หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยใบหน้าที่ขุ่นมัวว่า “ดีซะอีก ที่ทำให้ข้ารู้ว่าในใจของเขาคิดเช่นไร อยู่ต่อหน้าข้าแสร้งทำเป็นนอบน้อมเคารพเชื่อฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้” หลี่ซี่ก็เอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “ดูเหมือนว่าพักนี้เขากับฉ่ายเวินไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นพะย่ะคะ ฉ่ายเวินคงไม่เชื่อคนที่น่ากลัวและชอบประจบประแจงเช่นนี้หรอกนะพะย่ะคะ” หลวี่หนิงมองหลี่ซี่อย่างตกใจ ขึ้นขึ้นมาได้ทันทีว่าเขานั้นมีความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อฉ่ายเวิน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ความจริงหลี่ซี่อยู่ข้างกายของฉ่ายเวินมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าฉ่ายเวินเป็นคนเช่นไร แต่เขาอาจจะไม่ยอมรับความจริงก็เป็นได้ หลี่เฉินเย่นมองหลี่ซี่ ด้วยสายตาที่ดูซับซ้อน หลวี่หนิงเข้าใจดีว่าในใจของหลี่เฉินเย่นนั้นข่มขื่นเพียงใด นั่นเป็นเพราะว่าหากเขามองว่านางคือน้องสาวของตน ก็ล้วนคิดอยู่ตลอดว่าจะต้องหาที่พึ่งพิงที่ดีเพื่อนาง แต่ศิษย์น้องผู้นี้กลับเพราะรักในตัวเขาจึงทำเรื่องที่เลวร้ายอย่างขาดสติมากมายขึ้น แม้เขาจะเกลียดชังฉ่ายเวินมากเพียงใด แต่กลับรู้สึกเกลียดชังตนเองมากกว่าเช่นกัน แม้จะมีหลักฐานมายืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายนี้ล้วนเกิดจากฝีมือของฉ่ายเวิน แต่เขาก็ยังใจไม่แข็งพอที่จัดการกับนางได้ลง ตลลอดมาล้วนเป็นเพราะคำนึงถึงสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ดีนั้น ยังมีคำฝากฝังก่อนตายของอาจารย์ของเขาอีก หลวี่หนิงและหลี่เฉินเย่นคบหากันมานานหลายปีแล้ว เรียกว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันเลยก็ว่าได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าอาจารย์ของเขานั้นมีอิทธิพลต่อใจของเขา หากไม่ใช่ช่วงความเป็นความตาย เชื่อว่าหลี่เฉินเย่นคงไม่จัดการฉ่ายเวินเป็นแน่ ในใจของหลวี่หนิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแทนหลี่เฉินเย่นอีกครั้ง ผู้ใดเอ่ยว่าชีวิตของมนุษย์นั่นมีเพียงความรักที่ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกันละ ความสัมพันธ์ที่มีทั้งหมด เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกในช่วงระหว่างความเป็นความตาย ก็ล้วนทุกข์ทรมาณเช่นกัน ตอนนี้หลี่เฉินเย่นต้องฝากความหวังที่มีทั้งหมดไว้ที่ซูเซี่ยเพียงผู้เดียว เขาเอ่ยถามหลวี่หนิงว่า “เจ้าทราบถึงสถานการณ์ของเชียนซานหรือไม่” ทั่วใบหน้าของหลวี่หนิงแลดูเศร้าหมอง เขาเอ่ยว่า “จะทรายได้อย่างไรพะย่ะคะ ทุกครั้งที่กระหม่อมไปล้วนไม่เคยได้พบเจอกับนางเลย แถมท่านหมอเวินยังไม่ให้ผู้ใดเข้าไป แม้แต่สำรับก็ล้วนให้นำไปวางไว้ที่หน้าประตูพะย่ะคะ” หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ฝีมือการรักษาของซูเซี่ยนั้นยอดเยี่ยม อย่างน้อยถึงตอนนี้ก็คงยังไม่ได้มีข่าวร้ายออกมา เชื่อว่าอาการทั้งหมดน่าจะดีขึ้นแล้ว แต่โรคทรพิษนี้ คิดไปแล้วหมอหลวงที่เคยมีประสบการณ์ก็คงทราบเป็นแน่ แม้หมอหลวงไม่เอ่ยออกมา แต่เหล่าใต้เท้าหลายคนในท้องที่คงเอ่ยพูดกันเป็นแน่ นี่เป็นกฎระเบียบที่บรรพชนกำหนดขึ้นมา ข้าก็ไม่มีอำนาจที่จะทัดทานได้ ทำได้เพียงคอยมองอย่างค่อยเป็นค่อยไปแล้ว หากเรื่องร้ายแรงขึ้นในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ พวกเราต้องทุ่มสุดตัวกันแล้วละ” หลวี่หนิงและเสนาบดีหลี่ล้วนรู้ดีว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ก็คือตอนที่ถูกส่งออกไปยังเกาะร้างออกไป การทุ่มสุดตัวมีเพียงทางเดียวนั่นคือหลบหนีไปกับพวกเขา นี่อาจจะเรียกได้ว่าไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงจากหลังเสือได้ยาก แต่ก็ไม่มีวธีการอื่นที่สามารถคิดออกมาได้แล้วจริงๆ หลี่เฉินเย่นลุกยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้าจะไปพร้อมกับพวกเจ้า มีเรื่องใดเกิดขึ้น พวกเจ้าก็ดูท่าทีและสัญญานจากข้าก็แล้วกัน” หลวี่หนิงและเสนาบดีหลี่มีสีหน้าที่ดีขึ้น เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “รับด้วยเกล้าพะย่ะคะ” ขณะนี้เฉินหยวนชิ่งได้อยู่ที่ตำหนักหยงหมิงแล้ว เพียงรอให้ขบวนใหญ่มาถึงก็จะออกเดินทางทันที วันนี้เขาสามารถลงมือโดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว เรื่องนี้เขาแล้วควบคุมไว้หมดแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาจึงยังต้องถามฉ่ายเวินอีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่านางได้รับเชื้อโรคทรพิษ” ฉ่ายเวินยืนอยู่ในสายลม ชายเสื้อปลิวไสว ใบหน้าที่งดงามดูมีความสุขสนุกสนานอย่างมาก นางเอ่ยว่า “มั่นใจ คนสนิทของข้านำป้ายเชื่อของไข้ทรพิษลงไปบนที่แขนของนาง การแพร่กระจายของไข้ทรพิษนั้นร้ายกาจยิ่งนัก นางย่อมได้รับเชื้ออย่างแน่นอน” เฉินหยวนชิ่งเอ่ยถามขึ้นว่า “แต่ซูเซี่ยออกจากวังหลวงไปเพื่อรักษาอาการของนางมาหลายวันแล้ว บางทีอาจจะรักษาให้หายดีแล้วก็เป็นได้ ” ฉ่ายเวินยิ้มอย่างเย่อหยิ่งแล้วเอ่ยว่า “นางออกจากวังไปเจ็ดวัน ตามการคาดการณ์ซูเซี่ยน่าจะได้รับเชื้อไข้ทรพิษแล้ว และตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าเคยได้ยินว่าคนที่ป่วยเป็นไข้ทรพิษสามารถรักษาให้หายดีหรือไม่ ” “แน่นอนว่าฝีมือการรักษาของนางนั้นสูงส่งจุดนี้ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย แม้คนที่กำลังจะตายก็ล้วนสามารถช่วยชีวิตกลับมาได้ สามารถรักษาไข้ทรพิษ ก็ไม่เห็นแปลกอะไร ” เฉินหยวนชิ่งเอ่ย “หากนางสามารถรักษาโรคทรพิษ ยิ่งสามารถยืนยันได้ว่านางเป็นคนที่เห็นผู้อื่นจะตายแล้วไม่ลงมือช่วยจริงๆ คนที่ได้รับเชื้อโรคทรพิษล้วนสามารถรักษาให้หายได้ ทำไมถึงไม่มีวิธีการที่จะช่วยเหลือน้องสาวของท่าน ดี่วันนั้นท่ายยังได้ไปขอร้องต่อฮ่องเต้องค์ก่อน ให้นางรักษาเฉินอวี่จู๋ อาจจะเป็นเพราะเจ้าไม่ได้ส่งนางเข้าวัง นางจึงยังคงไม่สามารถลงจากสนามนี้ได้ ” ฉ่ายเวินเอ่ยอย่างเฉยชา ใบหน้าของเฉินหยวนชิ่งจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังขึ้นทันที เขากำหมัดแน่นแล้วเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ไม่ผิด นางเป็นคนที่เห็นผู้อื่นจะตายแล้วต้องยื่นมือช่วยเหลือ อีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะเชื่อนางแล้ว ” “ท่านไปเถอะ ตอนนี้ไม่เหมาะที่ท่านจะมาอยู่ที่ตำหนักของข้าเป็นเวลานาน” ฉ่ายเวินส่งเขาออกไป เฉินหยวนชิ่งเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ากลัวอันใดหรือ ตอนนี้ยังมีผู้ใดว่างที่ยุ่งเรื่องของพวกเราอีกหรือ คนที่ควรกังวลล้วนกังวลไปหมดแล้ว คนที่ไม่ควรกังวลก็ล้วนไม่กล้าที่จะมากความ ถึงแม้รู้ว่าวันนี้หลี่เฉินเย่นจัดการการสนับสนุนของข้าไม่ได้ ตอนนี้เขายังมีอำนาจไม่มากพอ แถมยังไม่กล้าที่จะต่อกรกับข้า ” ฉ่ายเวินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “พูดจาควรคำนึงถึงความเหมาะสม ท่านสามารถทำได้อีกครั้งก็คงเป็นเพียงผู้บัญชาการกองทหาร เขาไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยท่าน ” เฉินหยวนชิ่งยิ้มอย่างเย็นชา “แล้วอย่างไรหรือ รู้สึกเศร้าใจเช่นนั้นหรือ เจ้าตกหลุมรักศิษย์พี่ของตนเองจริงๆด้วยสินะ ” ใบหน้าของฉ่ายเวินจึงเยือกเย็นลง “ท่านจัดการเรื่องของตนเองให้ดีก็พอแล้ว ส่วนตัวข้าชอบพอผู้ใดไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า” “ที่เจ้าพยายามทุกวิถีทางต้องการขับไล่ซูเซี่ย ไม่ใช่เพราะจะทำให้ตนเองได้ครอบครองหลี่เฉินเย่นหรอกหรือ เดิมทีเจ้าไม่เห็นต้องพูดจาให้ดูดีเลยว่าเพื่อช่วยล้างแค้นให้กับน้องสาวของข้า”เฉินหยวนชิ่งทิ้งคำพูดไว้อย่างไม่แยแส แล้วก็ออกไปทันที กรมการแพทย์และหมอหลวงหกคนเดินทางออกไปยังจวนซือคงพร้อมขบวนใหญ่ จวนซือคงไม่ได้มีการเตรียมตัวใดๆเลย เพราะก่อนที่จะไปตรวจสอบเรื่องนี้ใต้เท้าซือคงได้ถูกกักตัวเอาไว้ในวัง เมื่อถึงเวลาจึงสามารถออกเดินทางไปพร้อมกับขบวนใหญ่นี้ไปได้ เฉินหยวนชิ่ง หลวี่หนิงและหลี่ซี่ทั้งสามคนเป็นผู้นำขบวน ก่อนหน้านี้เฉินหยวนชิ่งได้คัดเลือกขุนนางท้องถิ่นเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว จำนวนห้าคน ซึ่งใต้เท้าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเกียรติยศมาโดยตลอดในเมืองหลวง จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าเป็นการจัดฉากขึ้น ในขบวนของหมอหลวง ประกอบด้วยหมอหลวงหลัน หมอหลวงชางกวน หมอหลวงหลง และยังมีหมอหลวงที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับโรคระบาดอีกสามท่าน นอกจากนี้ยังมีใต้เท้ากรมการแพทย์ รวมทั้งหมดจึงเป็นเจ็ดคน อีกทั้งยังมีหมอจากนอกวัง รวมทั้งหมดจึงเป็นสิบสองคน หลวี่หนิงมองเห็นสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ทั้งสิบสองคนนี้จะต้องทำการพิจารณาอาการของเชียนซานและรับมือเชียนซาน รถม้าของฮ่องเต้นั้นอยู่ตรงกลางขบวน เฉินหยวนชิ่งเพียงหัวเราะอย่างเยาะเย้ยถึงการยืนกรานที่จะออกจากวังหลวงของเขา แต่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา แม้ในท้องพระโรงขุนนางทุกคนจะพูดโน้มน้าวห้ามไม่ให้หลี่เฉินเย่นออกมาด้วย เพราะกลัวว่าถ้าเชียนซานเกิดติดเชื้อไข้ทรพิษจริงขึ้นมาละก็ ร่างกายของฮ่องเต้ก็ไม่อาจต้านทานได้ จวนซือคงกลับไม่ได้โกลาหล ที่เป็นนี้ต้องยกความดีให้กับใต้เท้าซือคงที่ได้อบรมสั่งสอนคุณชายทั้งสามคนไว้ก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นการเผชิญหน้าที่ยากรับมือ แต่คุณชายทั้งสามคนมีสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้าน รีบก้าวเดินออกมาจากประตูใหย๋ของจวนเพื่อรับเสด็จ “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปีพะย่ะค่ะ ” ทั้งสามคนคุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วแสดงความเคารพต่อหลี่เฉินเย่น หลี่เฉินเย่นเลิกม่านขึ้น แล้วมองยังทั้งสามคน จวนซือคงมีบุตรชายถึงสามคน ไม่มีผู้ใดเข้ารับราชการเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่สนใจในลาภยศสรรเสริญเป็นอุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด ทำให้ผู้คนนับถืออย่างมาก ดังนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยของหลี่เฉินเย่นจึงมีความเลื่อมใสอยู่มาก “คุณชายทั้งสามลุกขิ้นเถิด” คุณชายใหญ่กล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาถึงที่จวน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือพะย่ะคะ” จงเจิ้งประคองคุณชายใหญ่ขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมาที่นี่ครั้งนี้ เป็นเพราะมีคนส่งหนังสือขึ้นกราบทูลว่าจางหมิงจูบุตรีของจวนซือคงได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ จึงมีคำสั่งเฉพาะให้หมอหลวงและท่านหมอทั้งหลายมาที่นี่เพื่อทำการตรวจสอบและรักษา คุณชายทุกท่านได้โปรดนำทางเถิด” คุณชายใหญ่เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ไข้ทรพิษเช่นนั้นหรือ เอาจากที่ใดมาพูดกันเช่นนั้นหรือ น้องสาวของข้าเพียงออกหัด เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านไม่กี่วัน ใยจึงกลายเป็นไข้ทรพิษไปได้” เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินคำพูดนี้ ในใจก็ยิ่งตกลงไป คิดว่าคำพูดนี้คงเป็นซูเซี่ยที่บอกให้เขาพูดเช่นนี้ ประเดี๋ยวเดียวเขาก็รู้สึดปลอดโปร่งขึ้น แล้วจึงเอ่ยว่า “จริงหรือไม่จริง เมื่อตรวจสอบแล้วเสร็จก็จะรู้เอง” คุณชายใหญ่จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเชิญทางนี้พะย่ะคะ” พูดแล้วก็เดินนำหน้าเพื่อเปิดทางให้กับฮ่องเต้ ประตูใหญ่ทุกบานกูกเปิดออก ต้อนรับรถม้าของฮ่องเต้เข้าไปด้านใน กลุ่มหมอหลวงและท่านหมอที่แบ่งออกเป็นสองแถว ก็ยืนรอคำสั่งจากฮ่องเต้อย่างเงียบสงบ ประตูใหญ่ของเรือนพักอาศัยของเชียนซานนั้นปิดสนิท ด้านหน้ามีเพียงสาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เมื่อเห็นขบวนใหญ่ใกล้มาถึง เห็นได้ชัดว่านางตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ประจวบกับที่คนยกเกี้ยวของหลี่เฉินเย่นลงมาพอดี ทั่วร่างกายของหลี่เฉินเย่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ชิงเอ๋อหรือ” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าชิงเอ๋อผู้นั้น ก็คือขู่เอ่อร์หญิงสาวที่ซูเซี่ยพากลับมาจากที่ถนนใหญ่ในวันนั้น นางไม่เคยพบเห็นสภาพอะไรเช่นนี้มากก่อน ขบวนใหญ่หนึ่งขบวนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้มีอำนานจและสูงศักดิ์พากันเข้ามา จึงทำให้นางตกใจเสียจนสีหน้าซีดขาว ตอนนี้ได้ยินบุรุษที่งามพริ้งพรายผู้นั้นเอ่ยปากเรียกนาง แต่กลับเรียกหาชื่อที่มิใช่ชื่อของนาง จึงอดที่จะงงงันเล็กน้อยไม่ได้ และยังไม่แสดงท่าทีที่เคารพ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดแจ๋วว่า “ข้าไม่ใช่ชิงเอ๋อ ข้าชื่อว่าขู่เอ่อร์” หลี่เฉินเย่นมองนางอย่างมีความขัดข้องใจ จึงลองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามีชื่อว่าขู่เอ่อร์หรือ เจ้าเป็นคนที่ใดหรือ เจ้าไม่รู้จักข้าเช่นนั้นหรือ” ขู่เอ่อร์ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จักท่าน ข้ามีชื่อว่าขู่เค่อร์ เป็นคนฮุ่ยโจว ข้ามิใช่ชิงเอ๋อและก็ไม่รู้จักนางอีกด้วย” ซูเซี่ยที่อยู่ด้านในได้ยินการสนทนาทางด้านนอก ในใจก็เกิดข้อสงสัยมากมายขึ้นทันที หลี่เฉินเย่นพูดว่าชิงเอ๋อ หรือว่าจะเป็นชิงเอ๋อคนที่หนีตามอานุ่ยเกอไปผู้นั้น หรือว่าชิงเอ๋อและขู่เอ่อร์จะคล้ายกันอย่างมากเช่นนั้นหรือ 
已经是最新一章了
加载中