ตอนที่ 167 ให้อภัย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 167 ให้อภัย
ต๭นที่ 167 ให้อภัย ระยะระหว่างตำแหน่งของเขาและซูเซี่ยนั้นใกล้กันมาก แต่หลี่เฉินเย่น จงเจิ้ง หลวี่หนิง หลี่ซี่และผู้อื่นอยู่ค่อนข้างไกล ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะลงมืออย่างรวดเร็ว มือของเขากุมที่คอของซูเซี่ย ดวงตาทั้งคู่เพราะเคียดแค้นจึงแดงก่ำ เขาลงนำหนักบนมืออย่างมาก ตอนนี้คิดอยากที่จะหักคอซูเซี่ย แต่ความปรารถนาของเขากลับล้มเหลว เพราะในตอนที่เขาจะลงมือกับซูเซี่ย หลี่เฉินเย่นก็อุทานและลุกกายขึ้น พุ่งทะยานกายตรงมาที่เขาเหมือนพญาเหยี่ยว ในใจของเขา แม้จะเกลียดชังหลี่เฉินเย่น แต่ยังไงเขาก็เป็นถึงพระมหากษัตริย์ ส่วนตนก็เป็นขุนนาง เขาสามารถไม่ให้เกียรติตนได้ กลับไม่ลงมือกับเขา ดังนั้นตอนที่หลี่เฉินเย่นเข้าประชิดตัวเขา เขาจึงยกตัวพาซูเซี่ยทะยานขึ้นทันที กระโดดเบาๆ ก็โดดขึ้นไปบนสันของกำแพง และก็พุ่งทะยานออกไป เหล่าทหารอารักขาเห็นหลี่เฉินเย่นลงมือ ล้วนพากันลงมือไล่ตามทันที แต่กำลังภายในของเฉินหยวนชิ่งนั้นแข็งแกร่ง การแย่งชิงในช่วงเวลาที่สำคัญนี้โดยใช้วิชาตัวเบาหลบหนีไป ทหารอารักขาอย่างพวกเขาจะไล่ตามทันได้อย่างไรกัน อีกทั้งหลี่เฉินเย่นในตอนที่เฉินหยวนชิ่งกระโดดขึ้นไปนั้นเขาก็คิดอยากที่ไล่ติดตามไปทันที แต่เชียนซานทะยานออกมาขวางหน้าของหลี่เฉินเย่น แล้วเอ่ยว่า “นายท่านสั่งไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องตามไปเพคะ” เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินเย่นทีท่าทีที่ไม่เชื่อ เชียนซานจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ทั้งหมดนี้อยู่ในการควบคุมของนายท่าน ฝ่าบาททรงวางใจเถิดเพคะเฉินหยวนชิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่าน” หลี่เฉินเย่นทั้งทั้งเชื่อและมีข้อสงสัยมองยังเชียนซาน ในหัวคิดถึงทักษะของซูเซี่ย นางดูเหมือนอ่อนแอ แต่ในช่วงวิกฤติที่เป็นช่วงแห่งความเป็นความตาย ล้วนสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้ นางไม่ให้ผู้คนตามไล่ตามไป คิดว่าคงมีใจคิดจะทำอะไรบางอย่างเป็นแน่ จึงครุ่นคิดเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยคำสั่งออกมาว่า “ไม่ต้องตามแล้ว” หลวี่หนิงมองเชียนซาน แล้วเอ่ยด้วนน้ำเสียงที่แฝงด้วยทั้งความเสียใจและดีใจว่า “เจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่” เชียนซาน ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว แล้วก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว” หลวี่หนิงเห็นระหว่างหน้าผากของนางมีบางอย่างที่ดูหดหู่ จึงรู้ว่านางเป็นห่วงโฉมหน้าของตน จึงเอ่ยปลอบโยนขึ้นว่า “เจ้ายังสวยงดงามดังเช่นเมื่อก่อน” เชียนซานมองเขาตาขวางแวบหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เดินเข้าไปในห้องอย่างหดหู่ใจ ฮูหยินซือคงจึงเข้ามาเอ่ยถามหลี่เฉินเย่นว่า “ฝ่าบาทเพคะ เช่นนั้นยังต้องให้หมอหลวงว่าตรวจรักษาบุตรสาวของหม่อมฉันอีกหรือไม่เพคะ” หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยถามกับหมอหลวงชางกวนว่า “ท่านหมอชางกวนคิดเห็นว่าอย่างไรหรือ” หมอหลวงชางกวนจึงเข้ามาเอ่ยกราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าแม้ว่าบนใบหน้าของเฉียนชนากูเหนียงจะมีรอยอยู่บางส่วน แต่สีกลับซีดจาง ซ้ำยังเชื่อได้ว่าอีกไม่นาน รอยแดงทั้งหมดพวกนี้ก็จะสามารถจางหายไป อีกทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคทรพิษ ก็ไม่อาจจะไม่ได้มีจิตใจดังเช่นเชียนซานกูเหนียงในตอนนี้ ตามการคาดเอาอาการป่วยตอนนี้ผู้ป่วยควรที่จะป่วยหนักจนเข้าใกล้ความตายไปจริงๆ แล้ว ดังนั้นหม่อมฉันกล้าคาดคะเนเลยว่าเชียนซานกูเหนียงไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ น่าจะเหมือนคำพูดของใต้เท้าซือคงที่เอ่ยว่าเพียงออกหัดเท่านั้นพะย่ะคะ ” หมอหลวงมากมายและเหล่าใต้เท้าก็ต่างพากันคล้อยตาม แต่หมอหลวงที่ทำการตรวจรักษาเชียนซานก่อนหน้านี้ มีบางส่วนที่ตกตะลึงอย่างขาดสติ เขาเห็นฮ่องเต้มองมาที่ตนเอง สองขาก็พลันอ่อนแรงลง จึงคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง “ขอฝ่าบาททรงใจเย็นพะย่ะคะ กระหม่อมความรู้อ่อนด้อย ฝีมือก็อ่อนหัดยิ่งนัก จึงทำให้วินิจฉัยโรคไม่ถูกต้อง เกือบก่อให้เกิดความผิดที่ใหญ่หลวง ขอฝ่าบาททรงละเว้นโทษด้วยพะย่ะคะ ” ในใจของหลี่เฉินเย่นรู้ดีว่าหมอหลวงผู้นี้ก็เป็นคนที่มีทักษะความสามารถผู้หนึ่ง เขาจึงไม่อาจทำลายอนาคตเขาได้ตามอำเภอใจ จึงเอ่ยอย่างพอใจว่า “การเรียนรู้นั้นไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะอยู่ในวิชาความรู้หรือในฝีมือการรักษาโรค ล้วนไม่ควรถือดีเกินไป วินิจฉัยโรคก็ดี รักษาคนก็ดี จำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ผู้ที่เป็นหมอมีความรับผิดที่ชอบวางอยู่บ่าที่สำคัญอย่างมาก เกิดคว่มผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ครั้งนี้ข้าจึงลงโทษหักเงินเดือนของเจ้าเป็นเวลาสามเดือน หวังอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้เจ้าจดจำบทเรียนในครั้งนี้เอาไว้ อย่าได้ลงมือทำเช่นนี้อีก และยังต้องอย่าทำให้ข้าผิดหวังในการในตัวเจ้าอีก ” เดิมทีหมอหลวงผู้นั้นนเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วจับขังคุก การกระทำในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูง และการระทำบนรถม้าของฮ่องเต้ก็ทำให้ผู้คนพากันตกอกตกใจ อีกทั้งยังเหนื่อยกับการที่ท่านหมอเวินถูกจับตัวไป ตนเองจึงคิดว่าฮ่องเต้อาจพาลรู้สึกไม่ดีกับตนเข้า แต่ผลลัพธ์กับเป็นว่าเพียงหักเงินเดือนเขาแค่สามเดือน กระทั้งไม่มีแม้สีหน้าที่เคร่งขรึมตำหนิติเตียน ทำให้เขาซางซึ้งจนน้ำตาไหลออกมาพร้อมโขกศีรษะแสดงความขอบคุณไม่หยุด ใต้เท้าท้องที่ที่อยู่ในลานได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ ก็ล้วนพากันพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกันว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ช่างมีเมตตากรุณา ช่างเป็นความโชคดีของราษฎรเสียจริง ว่าแต่เฉินหยวนชิ่งจับตัวซูเซี่ยไป ตลอดทางห้อตะบึงออกไป ฉวยข้ามหลังคาเรือนของประชาชนในเมืองหลวงนับครั้งไม่ถ้วน ตรงออกไปยังทางชานเมือง เมื่อมุ่งไปจนถึงริมแม่น้ำที่ชานเมือง แล้วมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดไล่ตามมา เขาจึงผ่อนฝีเท้าแล้วหยุดลง แล้วผลักซูเซี่ยออกไป มีกลิ่นอายที่ดูสับสน ลมหายใจติดขัด สีหน้าแดงก่ำ เขามองซูเซี่ยอย่างไม่กัดไม่ปล่อย กระหอบเอ่ยว่า “คราวนี้ข้าจะรอดูว่าจะมีผู้ใดมาช่วยเจ้า” แต่มองเห็นซูเซี่ยมีกลิ่นอายที่ดูสงบนิ่ง บนใบหน้าก็ไม่แสดงความหวดกลัวออกมาให้เห็น ตรงกันข้ามกลับยังคงนิ่งสงบอย่างยิ่งมองมาที่เขาอย่างไม่แยแส ในใจจึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เมื่อครู่ตลอดทางเขาใช้กำลังภายในอย่างหนัก แม้นางไม่ได้ออกแรงกายแม้สักนิดเดียว แต่ถูกเข้าหิ้วตัวอยู่เป็นเวลานาน กลับไม่มี วิงเวียนอ่อนเพลียสักนิดเลย ล้วนไม่มีอาการลลนลานหรืออาเจียนออกมา จึงทำให้ใจของเขาตกตะลึงอย่างมาก ซูเซี่ยเยคล้ายหัวเราะออกมาว่า “ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดที่จะมาช่วยเหลือข้าหรอก แต่ก็ไม่แน่ว่าท่านจะสามารถฆ่าข้าได้” เฉินหยวนชิ่งหัวเราะอย่างจองหองออกมา “ฮาฮา ช่างน่าขันเสียจริง ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ เจ้าไม่ประเมินตนเองสูงเกินไปหน่อยหรือ” ซูเซี่ยจึงเอ่ยว่า “งั้นสามารถทดสอบได้เลย” เฉินหยวนชิ่งโมโหอย่างรุนแรงขึ้น พลิกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น เร่งรวบกำลังภายใน ทะยานขึ้นเข้าจู่โจมซูเซี่ยไปมา แต่ทว่าฝ่ามือของเขากลับไม่สามารถแตะต้องถึงเสื้อผ้าของซูเซี่ยด้วยซ้ำ เพียงเห็นฝ่ามือที่โจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็วของเขา ซูเซี่ยเยื้องกรายออกไป ตั้งหลักอยู่บนอากาศ โดยที่ไม่เคลื่อนไหวสักนิดเดียว เขาตกตะลึง บนโลกนี้มีกำลังที่สูงส่งขนาดนี้หรือ แต่นางรู้วิทยายุทธ์เช่นนั้นหรือ เขาพยายามอย่างสุดกำลังส่งฝ่ามือออกไปจนนับไม่ถ้วน ชั่วขณะเห็นเพียงลมปราณบนมือที่ผลักออกไปนั้นรุนแรงอย่างมาก ใบไม่ปลิวไสวอย่างบ้าคลั่ง ผิวน้ำสั่นสะเทือนสร้างความตกใจให้กับเหล่านกนางนวล หลังจากนั้นทั้งหมดก็เสียชีวิตอยู่ริมแม่น้ำ ช่างอานาถใจยิ่งนัก แต่ซูเซี่ยคอยทยานเหาะเหินหลบฝ่ามือของเขาที่เคลื่อนใบมีดแล้วยังเหลือพื้นที่ว่างไปมาตลอดเวลา ประเดี๋ยวอยู่ใกล้ประเดี๋ยวอยู่ไกล ประเดี๋ยวขึ้นบนประเดี๋ยวลงต่ำ ช่างเหมือนกับผีเสื้อที่ดอมดมดอกไม้ที่มีท่าทางที่งดงาม คล้ายอยู่ในอารมณ์ที่ไม่สนใจผู้ใด ในที่สุดเขาก็ออกแรงจนเหนื่อย หอบหายใจแฮ่กๆ มือประคองหน้าอกของตนเพ่งมองนาง เขาคิดเพียงว่าเลือดลมในหน้าอกสูบฉีดขึ้นลงอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่ากำลังภายในสูญหายไปอย่างรวดเร็วในใจของเขาจึงเกิดความกลัวขึ้น อย่างไรก็ตามเขาเคยเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างยาวนาน กลับยังอดทนซ่อนเร้นควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ ซูเซี่ยนั่งอยู่บนก้อนหินที่มีขนาดใหญ่ ยืนมืออกมาจัดการเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้ดูเรียบร้อย มองยังเฉินหยวนชิ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านยืนกรานต้องการสังหารข้า เพียงแต่เพราะท่านคิดว่าข้าทำร้ายน้องสาวของท่านจนตายหรือว่าเป็นการเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือ แต่ ข้าจะพูดอีกครั้งว่าข้าไม่ได้เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือ ยิ่งไม่ได้ทำร้ายนางเลย อีกทั้งความจริงแล้วมีคนที่ทำร้ายนางด้วยซ้ำไป แต่คนผู้นั้นไม่ใช่ข้า แต่คือฉ่ายเวิน” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชาว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถเชื่อเจ้างั้นหรือ คนผู้หนึ่งที่ป่วยเป็นโรคทรพิษเจ้าสามารถช่วยชึวิตเอาไว้ได้ แม้แต่คนที่กำลังตายก็สามารถช่วยชีวิตกลับมาได้ กระทั่งคนตายก็สามารถช่วยให้ฟื้นขึ้นมา กลับช่วยชีวิตน้องสาวของข้าเพียงคนเดียวเอาไว้ไม่ได้ ใครจะเชื่อหรือ” ซูเซี่ยยิ้มหยัน “ข้าจะโกหกไปทำไมกันหรือ อีกไม่นานท่านก็ต้องตายแล้ว ข้าโกหกท่านแล้วมีประโยชน์อะไรกันหรือ หากแต่เมื่อครู่ท่านก็เห็นว่าเดิมทีแล้วข้าไม่ได้เกรงกลัวท่าน ท่านเองก็ไม่สามารถสังหารข้าได้ ตอนนี้หากข้าต้องการสังหารท่านก็เป็นเรื่องที่ง่ายที่จะลงมือจัดการ เป็นการโกหกท่านงั้นหรือ ” “เจ้าต้องการสังหารข้าก็รีบลงมือซะ อย่ามัวแต่เอ่ยคำพูดจาที่น่ารังเกียจอยู่ที่นี่อีกเลย ถึงเจ้าจะปล่อยข้าไปข้าก็ไม่ไม่ทางที่จะซาบซึ้งใจหรอก กลับกันวันนี้ข้าไม่ได้สังหารเจ้า วันข้างหน้าข้าจะต้องสามารถสังหารเจ้าได้แน่นอน” นานเข้าสีหน้าของเฉินหยวนชิ่งก็แดงก่ำขึ้น หอบหายใจรุนแรงขึ้น ซูเซี่ยเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “วันข้างหน้างั้นหรือ ท่านอยู่ถึงวันข้างหน้าค่อยพูดเถอะ ในร่างกายของท่านได้รับพิษร้าย ภายในสามชั่วยามนี้พิษจะต้องกระจายไปทั่วร่างกายแน่นอน” สีหน้าของเฉินหยวนชิ่งจึงเปลี่ยนไป ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยด้วยความเกลียดชังว่า “เจ้าวางยาพิษข้างั้นหรือ ช่างต่ำทรามเสียจริง” ซูเซี่ยหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “หากพูดว่าเจ้าโง่ก็ยังคงโง่จริงๆสินะ ข้าต้องการสังหารเจ้าจะให้ความสำคัญกับการวางยาพิษเจ้าทำไมกันหรือ” นางเอ่ยคำพูดจบ ร่างกายก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ดั่งสายฟ้าที่พาดผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วคว้ากระบี่บนร่างของเขาไป เมื่อเขารู้สึกตัวตอบโต้มา กระบี่ในมือของเขาก็ตกอยู่ในมือของนางเสียแล้ว หากยังชี้มาที่คอของเขาอีกด้วย เฉินหยวนชิ่งประหลาดใจจนพูดไม่ออก แม้จะเป็นหลี่เฉินเย่นหรือเจิ้งกั๋วอ๋อง ก็ไม่สามารถลงมือครั้งเดียวแล้วชิงดาบบนร่างกายของเขาไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตอนที่เขาตื่นตัวระมัดระวังไปทุกส่วนเช่นนี้ ซูเซี่ยหุบยิ้มลง เอ่ยขึ้นอย่างดุดันว่า “ท่านคิดว่าตนเองนั้นฉลาดอย่างยิ่ง คิดว่าตนเองนั้นมีฝีมือที่เก่งกาจ ใช่หรือไม่ แต่ไม่ใช่ท่านเป็นเพียงคนโง่ ท่านถูกสตรีผู้หนึ่งปั่นหัวเล่น แม้กระทั่งถูกนางวางยาพิษล้วนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ท่านคิดว่าท่านกำลังแก้แค้นให้กับน้องสาวของตน แต่ความจริงแล้วท่านกำลังช่วยเหลือคนที่วางยาพิษทำร้ายน้องสาวของตน ข้าขะพูดอีกครั้งก็แล้วกันว่า เฉินอวี่จู๋ถูกคนวางยาพิษ แต่ว่าคนที่วางยาพิษนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นฉ่ายเวิน ” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดชังว่า “เป็นไปไม่ได้” ซูเซี่ยหัวเราะเยาะเย้อว่า “ใยถึงจะเป็นไปไม่ได้กันละ ท่านสามารถมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนวางยาพิษ ใยไม่เชื่อว่าฉ่ายเวินก็สามารถวางยาพิษได้งั้นหรือ ท่านสนิทสนมกับนางมานานเช่นนั้น หรือว่าไม่รู้ว่านางก็ชื่นชอบหลี่เฉินเย่นเช่นนั้นหรือ นางไม่ได้วางยาพิษเฉินอวี่จู๋แค่นั้น ยังเคยวางยาพิษข้าเช่นกัน ท่านเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ช่างมันเถอะ ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ ทุกวันนี้ที่ข้ายังอยู่ในวังหลวง ไม่ใช่ข้ายังหวนคิดที่จะอยู่ร่วมกับหลี่เฉินเย่น แต่เป็นเพราะข้ายังตรวจสอบไม่ได้ว่ายาพิษที่น้องสาวของท่านได้รับไปนั้นคือพิษประเภทใด ถ้าตรวจสอบได้แล้วข้าก็จะออกจากวังหลวงไป ออกจากเมืองหลวงแห่งนี้ ” นางทิ้งดาบลงบนพื้น ปัดชายเสื้อเบาๆ แล้วหมุนกายจากไป เฉินหยวนชิ่งเก็บดาบขึ้นมาทันที แล้วทะยานเหาะเหินไล่ตามหลังซูเซี่ยไป แต่ซูเซี่ยไม่ได้หันกลับมามอง ร่างกายก็แวบหายไปทันที ไกลออกไปสิบจั้งแล้ว เฉินหยวนชิ่งเพียงคิดว่าเลือดลมในอกของตนติดขัดครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งสองของเขาก็มืดสนิท ถือดาบคุกเข่าบนพื้น ร่างกายกระโจนไปด้านหน้า คนก็เลือนลางผ่านไป ซูเซี่ยยืนอยู่ห่างออกไป มองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ ไม่นานนางก็ผ่อนลมหายใจออกมา “ชีวิตที่ผ่านมาของข้า แท้จริงแล้วติดหนี้พวกเจ้าสองพี่น้อง” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เฉินหยวนชิ่งก็กลับฟื้นสติกลับมาอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์ที่อยู่บนศีรษะเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ขอบฟ้าเป็นสีส้มเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมฆสีเต็มท้องฟ้า ช่างสวยงามหลอกลวงสายตา เขาคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน พละกำลังเพียงนิดเดียวบนร่างกายก็ล้วนไม่มี ตำแหน่งตันเถียนก็ว่างเปล่าอย่างมาก ไม่สามารถยกชี่แท้ขึ้นมาได้ แต่ว่าไม่ได้มีการติดขัดของเลือดลมที่แสนอึดอัดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อีกแล้ว นางมองไปยังซูเซี่ยที่นั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ในมือของนางถือผ้าผืนหนึ่งกำลังเช็ดเข็มทอง เข็มทองเปล่งแสงสว่างไสวขึ้นเมื่อมองอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังตก ดูผ่านเช่นนี้เห็นเพียงว่าภาพเงาร่างของนางช่างงดงาม แพรขนตาที่ยาวงอนบนตาของนางเรียงตัวกันเป็นแถวจนทำให้เงาขึ้น ผิวหนังของนางมีสว่างใสมันเงา พระอาทิตย์ตกอยู่เหนือศีรษะ ราวกับว่ากำลังก่อตัวทรงกลดเป็นแสงสีทอง “เจ้าทำไมถึงต้องช่วยชีวิตข้าไว้หรือ” เขาตะคอกถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนแรง นางไม่เงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างนิ่งๆว่า “ข้าเป็นหมอ ข้าไม่สามารถเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหลือ ถึงข้าจะช่วยชีวิตเจ้าก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะยังต้องการสังหารข้าหรอก” “ข้ายังสามารถสังหารเจ้าได้แน่นอน” เมื่อเฉินหยวนชิ่งเอ่ยพูดประโยคนี้อยู่ ตัวเขาเองล้วนคิดว่ามีความงงงวยอยู่บางส่วนกับประโยคที่ซูเซี่ยเอ่ยว่า “ข้าเป็นหมอ ข้าไม่สามารถเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหลือ ” ประโยคนี้ทำให้ตอนนั้นเขาสะเทือนใจอย่างมาก และยิ่งคิดว่ามันคือความจริง ในหัวของเขากำลังย้อนคิดถึงคำพูดของฉ่ายเวินที่เคยเอ่ยพูดกลับตนอยู่เงียบๆ ตอนนี้จึงกำหนดจิตใจให้สงบเพื่อจำแนกแยกแยะ เขารู้ว่าตนเองอาจจะเชื่อคนผิดจริงๆ เสียแล้ว แต่เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูงอย่างนั้น จะสามารถยอมรับถึงความผิดของตนเองได้หรือไม่ ความผิดของตนเอง ช่วงเวลานั้นเขามิใช่เหมือนคนโง่ที่ถูกคนอื่นล้อเลียนใช่หรือไม่ นายพลผู้เกรียงไกร จริงแล้วถูกคนที่ไม่รู้วิทยายุทธ์ที่ดูเหมือนว่าเป็นสตรีที่อ่อนแอหลอกลวง เพื่อนางที่หลอกใช้เขา เขาไม่สนว่าจะเป็นการล่วงเกินฮ่องเต้ ล่วงเกินเหล่าอำมาตย์ และที่น่าขันกว่านั้นคือคนผู้นั้นยังเป็นคนที่ลงมือสังหารทำร้ายน้องตายของตนจนเสียชีวิต เขาหลับตาลง เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว ข้าไม่อาจที่จะเชื่อเจ้าได้หรอก” ซูเซี่ยยกเงยสายตาขึ้นเอ่ยว่า “ท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าล้วนไม่ใส่ใจ ท่านไม่ถึงกับหรอก พักผ่อนสักประมาณสองชั่วยามลมปราณดั้งเดิมในร่างกานก็จะฟื้นฟูกลับมา ข้าไปแล้วนะ” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืนบนยอดของก้อนหินขนาดใหญ่ แล้วจากไปอย่างเงียบๆ เฉินหยวนชิ่งมองตามหลังของนางไป ด้านหลังของนางถูกพระอาทิตย์ตกดินดึงให้ห่างไกลออกไป เขานอนอยู่บนพื้นมองดูผ่านไปแล้วคิดว่าภาพด้านหลังของนางช่างโดเดี่ยวและเดียวดาย ในใจของเขาจึงบีบรัดขึ้นทันที ความจริงแล้วนางคงไม่สบายใจจริงสินะ
已经是最新一章了
加载中