ตอนที่ 170 ประสบความพินาศด้วยกัน
1/
ตอนที่ 170 ประสบความพินาศด้วยกัน
ชายาเกิดใหม่ของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 170 ประสบความพินาศด้วยกัน
ตนที่ 170 ประสบความพินาศด้วยกัน ฉ่ายเวินนั่งอยู่บนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่จากไปของหลี่เฉินเย่น ท้ายที่สุดการอำพรางและยืนกรานทั้งหมดในเวลานั้นล้วนพังทลายลง เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง อย่างเงยหน้าขึ้นทันที คิดว่าเป็นหลี่เฉินเย่นไปแล้วย้อนกลับมา แต่สิ่งที่ปรากฎขึ้นในสายตากลับเป็นขู่เอ่อร์ ขู่เอ่อร์จึงยืนอยู่ด้านข้างของนาง ล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากในอก ส่งให้กับนางแล้วเอ่ยเบาๆว่า “ฉ่ายเวินนายหญิง ท่านทำไมร้องไห้เช่นนี้เจ้าคะ” ฉ่ายเวินเช็ดน้ำตาให้แห้งอยากเงียบๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ ใครอนุญาตให้เข้ามาในนี้หรือ” ขู่เอ่อร์ยิ้มออกมาอย่างไม่สนใจ ลากม้านั่งออกมาแล้วนั่งลงใกล้กับนาง “ข้าพูดกับฝ่าบาทว่า หลังจากนี้ข้าจะอยู่ปรนนิบัติที่ตำหนักหย่งหมิง ฝ่าบาททรงเห็นชอบแล้ว” ฉ่ายเวินโมโหขึ้นทันที ยืนขึ้นแล้วเพ่งมองนาง “เขาเห็นชอบแล้วข้ายังไม่ได้ตกลงกับเจ้า เจ้าออกไปให้พ้นหน้าข้า ออกไป” พูดจบก็ยื่นมือดึงตัวขู่เอ่อร์ ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักขู่เอ่อร์ลงไปบนพื้น ขู่เอ่อร์ค่อยค่อยลุกขึ้นอย่างช้าๆ เปลี่ยนจากเมื่อครู่ที่มีหน้าตาที่ดูยังย่อท้อเป็นเมินเฉยอย่างมาก นางยื่นมือรวบเส้นผม แล้วเอ่ยขึ้นช้าช้าว่า “หลายปีที่ไม่เจอกัน เจ้ายังคงวางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนเมื่อก่อนเช่นเดิมเลยนะ” ฉ่ายเวินเงยยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว สายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ การหายใจของนางคล้ายกับถูกช่วงเวลานั้นหยุดเอาไว้ สีหน้าซีดขาวลง นางส่ายหน้า เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าพูดอะไรว่าอะไรหรือ” ขู่เอ่อร์ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน “เจ้ากลัวหรือ เจ้าวางยาพิษข้า ตอนที่ผลักข้าลงหน้าผาเจ้าล้วนไม่กลัวสัดนิด แล้วทำไมตอนนี้กลับกลัวขึ้นมาละ” สีหน้าของฉ่ายเวินซีดขาวราวไร้เลือดขึ้นทันที ดางตาเบิกกว้าง จ้องมองขู่เอ่อร์อย่างตาไม่กระพริบ นางเดินถอยหลังไปแล้วชนเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าของโต๊ะแป้ง เก้าอี้จึงล้มกระแทกลงบนพื้นเกิดเป็นเสียงดังขึ้น นางเหมือนถูกเสียงดังนี้ทำให้ตกอกตกใจ สะดุ้งไปทั่วร่างกาย ชี้ไปที่ขู่เอ่อร์แล้วเอ่ยว่า “ไม่ เจ้าไม่นาง เจ้าไม่ใช่นาง นางหนีตามคนรักไปแล้ว นางกับอานุ่ยเกอหนีตามกันไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาได้อีก” ขู่เอ่อร์ยิ้มอย่างเย็นชา “ใช่หรือ ข้าหนีตามชายคนรักหรือว่าตายไปแล้วกันแน่ ในใจของเจ้ารู้ดี หลายปีมานี้ เจ้าโกหกตัวเองมาโดยตลอด เจ้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับเรื่องจริงที่ว่าเจ้าลงมือสังหารข้ากับข้าหนิว ดังนั้น เจ้าจึงบอกกับตัวเองและล้วนบอกกับทุกคนว่าพวกเราหนีตามกันไป แต่ศิษย์น้อง เจ้าสามารถโดกหกคนรอบข้างได้ และก็สามารถโกหกตนเองได้ แต่เจ้าสามารถโกหกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของตนได้เช่นนั้นหรือ” ประโยคนี้ของศิษย์พี่ ทำให้สิ่งที่ฉ่ายเวินซ่อนไว้ในใจทั้งหมดพังทลายลง นางยกมือปิดหู แล้วกรีดร้องขึ้นว่า “ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง เจ้าไม่ใช่นาง นางหนีตามชายคนรักไปแล้ว นางเคยพูดกับข้า นางมีความสุขมาก นางไม่กลับมาแล้ว นางพูดจะมอบศิษย์พี่ให่กับข้า เจ้าไสหัวไป เจ้าไสหัวไปจากข้าซะ” พูดจบก็เหมือนกับคนเสียสติพุ่งเข้าใส่ขู่เอ่อร์แล้วผลักนางลงอย่างโหดร้าย ขู่เอ่อร์ยืนขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแหนมว่า “ก็ได้ เจ้าโกหกตนเองโกหกผู้อื่นต่อไปเถิด ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็จะต้องปรากฏออกมา ” พูดจบก็สะบัดชายอาวรณ์แล้วจากไป ฉ่ายเวินนั่งอยู่บนพื้น ปิดหูเอาไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นดูเหม่อลอยได้แต่ส่ายหน้าไปมา บ่นพึมพำอยู่ในลำคอแล้วเอ่ยว่า “ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง นางหนีตามชายคนรักไปแล้ว เจ้าไม่ใช่นาง...” เมื่อขู่เอ่อร์ออกมาจากตำหนักหย่งหมิง ก็เห็นหลี่เฉินเย่นยังอยู่ที่ด้านนอกของตำหนัก จึงเข้าไปเอ่ยคารวะว่า “ฝ่าบาทเพคะ บ่าวได้พูดตามท่ท่านสั่งให้พูดไปแล้วเจ้าคะ” หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ข้าได้ยินหมดแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมองขู่เอ่อร์ แล้วเอ่ยขึ้นช้าช้าว่า “แต่ไม่ได้ให้เจ้าพูดเรื่องผลักตกหน้าผา และก็ยังไม่ได้พูกดเรื่องการวางยาพิษ ข้าจำได้ว่าคำพูดที่ว่าเจ้าทำร้ายข้าจนตายตอนนั้นเจ้าทำไมถึงไม่กลัวที่พูดกับเจ้าก่อนหน้านี้ ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนคำโดยพละการหรือ” ขู่เอ่อร์ตกใจเล็กน้อย สีหน้าบางส่วนดูสับสน แต่ไม่นานนางก็เอ่อยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงประทานอภัยโทษด้วยเพคะ บ่าวเพียงคิดว่าคำพูดทั้งหมดของฝ่าบาทพูดถึงในหุบเขา อีกทั้งพูดว่านางชำนาญการใช้พิษ จึงพูดเช่นนี้ออกไปเพคะ” หลี่เฉินเย่นมองนาง อยู่นานโดยที่ไม่ละสายตา ขู่เอ่อร์ถูกเขามองก็ดูผิดปกติไปเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัดใจขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงกำลังโกรธบ่าวใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลี่เฉินเหยีอนส่ายหน้า เอ่ยขึ้นคล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ “ไม่หรอก เจ้าไปเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยพูดกับซูเซี่ยแล้วกัน” “เพคะ” ขู่เอ่อร์คล้ายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แล้วรีบทำความเคารพหลังจากนั้นก็เดินจากไป หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามจงเจิ้งที่อยู่ข้างกาย “เจ้าคิดว่าอย่างไร” จงเจิ้งเอ่ยตามจริงว่า “ฝ่าบาทพะย่พคะ กระหม่อมคิดว่าแม่นางขู่เอ่อร์เหมือนมีเรื่องที่ปกปิดเอาไว้พะย่ะคะ” หลี่เฉินเย่นถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่า นางก็คือศิษย์น้องของข้า” จงเจิ้งตกตะลึงเล็กน้อย “นี้ ถ้าหากว่าเป็นนางตริงๆแล้ว ทำไมนางถึงไม่ยอมรับละพะย่ะคะ” หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างเสียใจแล้วส่ายหน้า ทั้งก้าวเดินทั้งเอ่ยตอบว่า “ศิษย์น้องสองคนของข้า ข้าล้วนไม่เข้าใจพวกนางเช่นกัน” ขู่เอ่อร์กลับมาถึงยังตำหนักฉ่ายเหว่ย ไม่ได้เอ่ยพูดกับซูเซี่ยถึงเรื่องที่หลี่เฉินเย่นให้นางออกไปทำนั้นคือรื่องใด เพียงหลังจากที่นางกลับมา ก็ดูราวกับเงียบขรึมลงอย่างมาก จึงทำให้ซูเซี่ยกังวลใจเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในวังหลวงใช่หรือไม่” ขู่เอ่อร์ส่ายหน้า เอ่ยยิ้มอย่างหดหู่ว่า “มคุ้นเคยที่ไหนกันละเจ้าคะ ที่นี่เปรียบกับที่ข้าอยู่ก่อนหน้านี้ ดีกว่ามากมายนักเจ้าคะ” ซูเซี่ยเอ่ยอย่างเห็นออกเห็นใจนางว่า “ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกแล้ว มองไปยังอนาคตที่สวยงามเถิด” สายตาของขู่เอ่อร์สุกใสแวววาวมองยังซู่เซี่ยอย่างลังเล ซูเชี่ยเอ่ยว่า “เจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ไม่อยากที่จะพูดออกมากันทั้งนั้น เจ้ามี ข้าก็มีเช่นกัน ตอนนี้ล้วนดีอย่างมาก ล้วนดีกว่าสิ่งใดแล้ว” ขู่เอ่อร์ประหลาดใจเล็กน้อย มองนางอย่างไม่เข้าใจ อยู่ในอารมณ์ที่ขบคิดความหมายของนาง ซูเซี่ยหัวเราะออกมา แล้วตบไหล่ของนางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก็แล้วกัน” พูดจบ ก็หมุนกายเข้าไปแล้ว ขู่เอ่อร์ยืนอยู่ทางเดินด้านนอกอย่างหดหู่ใจ สีหน้าอยู่เศร้าหมอง ลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง พัดใบของต้นอินทผลัมสีเหลืองสูงใหญ่ที่ตั้งตะหง่านในสวนร่วงลงราวกับดาวตก ดอกกุ้ยฮัวหอมอบอวลไปทั่วลาน ขู่เอ่อร์เพียงคิดว่าในใจล้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ออกแรงอีกครั้งก็ยังยิ้มอย่างงดงามออกมาไปได้ การหยั่งเชิงของหลี่เฉินเย่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการไล่ตอนสุนัขที่กำลังจนตรอก วันที่สอง เขาจึงออกพระราชโองการแต่งตั้งฉ่ายเวินเป็นองค์หญิงหยุนหลิง บอกเจตนาของการจัดงานแต่งตั้งแก่กรมพิธีการ อีกทั้งต้องการนำชื่อของฉ่ายเวินเขียนเข้าไปในบันทึกของราชวงศ์ ผู้คนในวังหลังทยอยพากันส่งของขวัญแสดงความยินดี หลังจากที่หวงไทเฮา รู้เรื่องก็เอ่ยหัวเราะว่า “เรื่องนี้ควรที่จะจัดการแต่แรกแล้ว ให้ฉ่ายเวินไร้ชื่อไร้สถานะอยู่ในวังหลังมาเป็นเวลานานเช่นนี้ คนข้างกายจะต้องปิดปากสนิมอย่างแน่นอน ตอนนี้แต่งตั้งเป็นองค์หญิงแล้ว อีกทั้งยังจัดหาคู่ครองที่ดีให้แต่งออกไป ถ้าอย่างนั้นก็คงสมบูรณ์แล้ว” คำพูดนี้ถ่ายทอกไปถึงตำหนักหยงหมิง ฉ่ายเวินล้วนไม่พูดอะไรออกมา ครึ่งวันเพียงนอนอยู่บนเตียงยาวสำหรับพักผ่อนอย่างนิ่งเงียบ ไม่ดื่มไม่กินอะไรทั้งนั้น เมื่อถึงตอนบ่าย นางก็รีบร้อนลุกขึ้น พาชิงฮัวไปที่ตำหนักฉ่ายเหว่ย ซูเซี่ยอ่านหนังสืออยู่ในตำหนัก เชียนซานยังคงไม่ได้กลับมาจากจวนซือคง เรื่องการป่วยของนางแม้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่ได้หายสนิท ดังนั้นยังต้องเยียวยารักษาอีกสักพัก ขู่เอ่อร์และหว่านเหนียงพูดคุยกันอยู่ด้านนอกห้องบรรทม แต่เพียงพูดคุยกันได้สองสามประโยค ก็เงยหน้าเห็นฉ่ายเวินที่โมโหโทโสพาคนเข้ามา ข้าเอ่อร์จึงรับเข้าไปแสดงความเคารพแล้วเอ่ยว่า “คารวะองหญิงหยุนหลิงเพคะ” ฉ่ายเวินยืนนิ่ง มองยังหว่านเหนียง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พิธีแต่งตั้งยังไม่ได้จัดขึ้น คำว่าองค์หญิงไม่ใช่ว่าเจ้าเอ่ยเรียกเร็วเกินไปหน่อยหรือ” หว่านเหนียงยิ้มออกมา “ฝ่าบาทได้ทรงมีพระราชโองการออกมาแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว บ่าวจึงต้องการเอ่ยแสดงความยินดีกับองค์หญิงเพคะ” ขู่เอ่อร์ก็ย่อตัวลงทำความเคารพ “บ่าวก็คารวะองค์หญิงเพคะ” ฉ่ายเวินมองขู่เอ่อร์ สายตาคู่นั้นคล้ายกับต้องการแผดเผาทำลายนาง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งๆว่า “ตัวปลอมอย่างเจ้า ทำไมยังไม่ออกจากวังไปอีหรือ” ขู่เอ่อร์ยิ้มออกมา “องค์หญิงพูดอะไรเพคะ บ่าวก็คือบ่าว ไม่ใช่ตัวปลอนอะไรทั้งนั้นเพคะ” หว่านเหนียงเอ่ยถามขึ้นว่า “วันนี้องค์หญิงมาที่นี่มีเรื่องสำคัญอันใดหรือเพคะ” ฉ่ายเวินเอ่ยถามอย่างเย่อหยิ่งขึ้นว่า “ซูเซี่ยละนางอยู่ที่ใด” “เจ้ามาพบข้าหรือ” ซูเซี่ยออกมายืนอยู่ที่ด้านข้างประตู เมื่อตอนที่ฉ่ายเวินเข้ามานางก็รับรู้แล้ว จึงวางหนังสือแล้วเดินออกมา สุดท้ายนางก็ล้วนถอดหน้ากากออกแล้ว ไม่เอ่ยเรียกนางว่าพี่สาวอีกแล้ว ฉ่ายเวินเงยหน้ามองนาง แล้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้าเล็กน้อย” ซูเซี่ยเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “เข้ามาสิ” ฉ่ายเวินหันไปเอ่ยกับชิงฮัวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่รอข้า” พูดจบ ก็ก้าวเท้าเหยีบบันไดเข้าไป หว่านเหนียงและขู่เอ่อร์คิดอยากที่จะเข้าไปคอบปรนิบัติอยู่ด้านในห้องบรรทม แต่ฉ่ายเวินหมุนกายกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บีบบังคับผู้คนอย่างมากว่า “พวกเขาล้วนไม่อนุญาตให้เข้ามาด้านใน” หว่านเหนียงตะลึงชั่วครู่ เงยหน้ามองยังซูเชี่ย ซูเซี่ยพยักหน้าเล็กน้อย “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอกเถอะ” ฉ่ายเวินเดินหลังตรงเข้าไปด้านในห้องบรรทมอย่างองอาจ หลังจากนั้นใช้มือปิดประตูลงกลอนเอาไว้ แม้ว่าจะปิดประตูแล้ว แต่ห้องด้านในยังคงสว่างอยู่มาก หน้าต่างรอบด้านล้วนเปิดอ้า แสงสว่างลอดส่องจากหน้าต่างเข้ามาด้านใน ฝุ่นละอองในอากาศก็ฟุ้งลอยกระจาย “มาหาข้ามีเรื่องอันใดกันหรือ” ซูเซี่ยนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเอ่ยว่า “นั่งลงแล้วค่อยพูดกับเถอะ” ฉ่ายเวินยิ้มอย่างเย็นชา “ล้วนยังไม่ได้เป็นฮองเฮา กลับทำเหมือนอยู่บนที่นั่งของฮองเฮา ตอนนี้ทำไมถึงไม่แสร้งเป็นพี่สาวที่อ่อนหวานกันละ ได้สิ่งที่เจ้าใฝ่ฝันไปแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแสร้งอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่” ซูเซี่ยเอ่ยอย่างเรียบๆว่า “ใช่แล้ว ข้าได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแสร้งกับเจ้าอีกแล้ว มีอะไรเจ้าก็พูดมาเถอะ ส่วนคำพูดประเภทที่ดูกลับตาลปัตร ก็เก็บมันเอาไว้เถอะ” ฉ่ายเวินมองตรงไปยังนาง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “คำพูดที่ดูกลับตาลปัตรงั้นหรือ แน่นอนว่าผู้ชนะจะต้องเลือกฟังเฉพาะถ้อยคำที่ดูดี แต่ว่าถ้อยคำบางอย่างที่แม้จะไม่ค่อยน่าฟัง กลับคือความจริง” ซูเซี่ยมองนาง “สุดท้ายแล้วจะอยากจะพูดอะไรงั้นหรือ” ฉ่ายเวินจ้องมองนาง สายตาแฝงไปด้วยความโกรธแค้นและไม่ยินยอม สายตาของนางช่างเหมือนกับสายตาที่เลือดเย็นของงูพิษ นางพ่นคำพูดที่ดูโหดเหี้ยมออกมาว่า “เจ้าเป็นสตรีที่มีกลอุบายอยู่ในใจมากที่สุดที่ข้าเคยพบมาในชีวิตนี้ของข้า พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจศิษย์พี่และโหร่วยเฟย แต่ในใจของเจ้าไม่รู้ว่าอิจฉาริษยามากเพียงใด กระทั่งควบคุมการวางยาพิษกับโหร่วยเฟยหลายครั้ง เจ้ารู้ว่าเฉินอวี่จู๋ตั้งครรภ์ เจ้ากลัวว่านางจะแย่งตำแหน่งของเจ้าไป สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโหดเหี้ยมวางยาพิษทำร้ายนางจนตาย สุดท้ายยังต้องพูดประจบเอาใจ หลอกใช้ความเชื่อใจของเฉินหยวนชิ่งที่มีทั้งหมดเพื่อตนเอง เจ้ารู้ว่าศิษย์พี่เคยมีความรู้สึกที่ดีกับข้า ดังนั้นจึงพยายามทำทุกวิถีทางบีบบังคับข้า กระทั่งไม่สนใจที่จะพูดใส่ร้ายข้าต่อหน้าของศิษย์พี่ ทำให้ศิษย์พี่ผิดหวังในตัวข้า จนต้องการให้ข้าแต่งออกไป แต่ตัวเจ้า อยู่ปกครองวังหลังแห่งนี้ เป็นผู้คอยอยู่เบื้องหลังของแคว้นนี้ แต่ข้าจะบอกกับเจ้าว่า ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดเช่นนั้นหรอก ” ซูเซี่ยส่ายหน้า เกือบไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับสถานการณืในตอนนี้ดี “เจ้าคงหวาดระแวงขึ้นสินะ คนที่วางยาพิษโหร่วยเฟยและเฉินอวี่จู๋คือเจ้า เจ้าอาศัยตัวข้า มีความหมายอันใดหรือ อีกทั้งในนี้ไม่มีคนข้างกาย เจ้าจะยอมรับว่าไม่สะใจสักหน่อยได้อย่างไร กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ เช่นนี้ก็เหมือนเป็นนิสัยของเจ้าแล้วละ” ฉ่ายเวินเกือบเหมือนจะโกรธเคืองจนตัวสั่น “กล้าทำไม่กล้ารับช่างเป็นประโยคที่พูดได้ดี เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่ได้อิจฉาริษยาหรือไม่ เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าสามารถเอ่ยอวยพรให้เฉินอวี่จู๋และศิษย์พี่มีความสุขหรือไม่ เจ้ากล้าพูดว่าในใจของเจ้าแม้นิดเดียวก็ล้วนไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ เจ้ากล้าพูดว่าในใจของเจ้าไม่เคยคาดหวังให้โหร่วยเฟยและเฉินอวี่จู๋ตายไปหรือไม่ หากเจ้ากล้าพูด เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนที่ปลิ้นปล่อนเป็นแน่แถมปากกับใจไม่ตรงกัน ” ซูเซี่ยคิดว่าฉ่ายเวินนั้นช่างพิลึกพิลั่น นางมองฉ่ายเวินแล้วเอ่ยว่า “ฉ่ายเวิน ถ้าหากเจ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดเช่นนี้ออกมา เช่นนั้นในใจของเจ้าจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน นำเอาเรื่องที่ตนเองลงมือทำมาโยนความผิดให้เป็นของข้า และข้าก็เชื่อว่าหลี่เฉินเย่นมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้า แต่เป็นเพียงความรู้สึกระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ได้รู้สึกอย่างอื่นเลย เขาหวังว่าเจ้าจะมีความสุขที่สุด แต่ไม่ได้เคยมีความคิดว่าต้องการที่จะอยู่ร่วมกันกับเจ้าอยู่ในหัวเลย” สีหน้าของฉ่ายเวินที่ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวดุร้ายนั้นทำให้ซูเซี่ยตกใจเล็กน้อย ภายใต้จิตสำนึกจึงเตรียมหาทางหนีทีไล่ขึ้นมา ฉ่ายเวินหยิบกริชที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา กริชส่องสว่างท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ในตอนนั้นซูเซี่ยคิดว่านางต้องการที่จะเจ้าโจมตีตน กลับเห็นว่านางนำกริชแทงเข้าไปที่ส่วนหน้าท้องของตนเองอย่างรุนแรง ซูเซี่ยมองนางอย่างตกตะลึง กลับเห็นว่ามุมปากของนางนั้นปรากฏรอยยิ้มที่เฉยชาดูโหดเหี้ยมขึ้นมา “เจ้าอยากจะเป็นฮองเฮาใช่หรือไม่ เจ้ากำลังฝันอยู่สินะ” เลือดสีแดงมากมายไหลซึมออกมา หลังจากนั้นก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดังอย่างดุดันว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าเพียงต้องการให้ข้าตาย เช่นนั้นข้าก็จะตายให้เจ้าดู” จิตใต้สำนึกสั่งให้ซูเซี่ยพุ่งเข้าไปประคองนาง ขณะเดียวกันนั้นประตูก็ถูกผลักให้เปิดออกมา ซูเซี่ยเงยหน้ามอง เงาร่างที่สะท้อนในดวงตาของนางแท้จริงแล้วคือหลี่เฉินเย่น
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 170 ประสบความพินาศด้วยกัน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A