​ตอนที่ 182 ชาตินี้ไม่พบกันอีก   1/    
已经是第一章了
​ตอนที่ 182 ชาตินี้ไม่พบกันอีก
ต๭นที่ 182 ชาตินี้ไม่พบกันอีก หมอหลวงทุกคนต่างก็มาแล้ว นี่คือการต่อสู้ระหว่างความเป็นกับความตาย เป็นช่วงเวลาที่หมอหลวงช่วงชิงกับเทพแห่งความตาย หลี่เฉินเย่นกุมมือนางอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา ในหัวนึกถึงแต่คำพูดของนักบวช ในใจเขาหมดหวังแล้ว แต่ก็ยังอัดฉีดความหวังให้ตนเองอยู่ไม่ขาด เขาบอกกับตัวเองว่านางทิ้งเขาไม่ลง ดังนั้นนางอดทนอดกลั้นเอาไว้ แต่หมอหลวงคุกเข่าต่อหน้าแล้วพูดกับเขา ตอนที่บอกว่าไม่อาจรักษาทั้งผู้ใหญ่และทารกในครรภ์ได้ ร่างของเขาก็อ่อนทรุดลง ศีรษะโขกกับมุมเตียง ทันใดนั้นเลือดก็ไหลออกมาเป็นสาย เขาไม่เคยรู้เลยว่านางตั้งครรภ์แล้ว เขาเฝ้าคอยมานานแสนนาน คิดอยากจะมีลูกมาตลอด ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ดี เขาล้วนแต่ไม่สนใจ ขอแค่นางให้กำเนิด เขาก็เห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น แต่เขากลับไม่มีโอกาสได้เห็นลูกเกิด พอเห็นหน้าของชูเซี่ยที่ไร้ซึ่งซุ่มเสียง ใจเขาว่างเปล่าราวกับถูกควักออกมา เขาพยายามรวบรวมความคิดของตนเอง คิดว่าจะเดินก้าวต่อไปอย่างไรดี แต่ภายในหัวฟุ้งซ่าน ไม่ว่าสิ่งใดเขาก็กุมเอาไว้ไม่อยู่ ด้านข้างกายมีคนประคองเขาลุกขึ้น จิตใต้สำนึกของเขาสั่งให้จับมือคน ๆ นั้นไว้ เขาเห็นว่าเป็นเจิ้งกั๋วอ๋อง หลี่อวิ่นกัง เขาก็พูดอย่างเลื่อนลอย "เสด็จพี่ ข้าเสียนางไปแล้ว!" หลี่อวิ่นกังพยักหน้าอย่างตื้นตัน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ ต้องมีปราฏิหาริย์เกิดขึ้นแน่!" หลี่เฉินเย่นหมดอาลัยตายอยาก เขายังคงพึมพำต่อ "ชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ข้ารักหรือรักข้า สุดท้ายก็ล้วนตายเพราะข้าทั้งนั้น" หลี่อวิ่นกังก็หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายเช่นเดียวกัน เขารู้ดี การตายของชูเซี่ยคือการซัดหลี่เฉินเย่นให้จมน้ำตาย เขารับไม่ได้กับการที่ชูเซี่ยจากไปอีกครั้ง จูเก๋อหมิงถูกเรียกตัวมาด่วน ตอนที่เขาเห็นชูเซี่ยดูซีดเซียวไร้สีเลือด ใจก็พลันบีบแน่น เขาไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ตรงไปช่วยนางทันที แต่ชูเซี่ยไม่มีปฏิกิริยาใดแม้แต่นิด ชีพจรก็สัมผัสไม่ได้แล้ว จูเก๋อหมิงพลันลุกขึ้นแล้วตบหน้าหลี่เฉินเย่น เขาพุ่งเข้าไปตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด "อาจารย์ของนางเคยพูดไว้ หากนางยังอยู่ข้างกายท่านต่อ แม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ทำไมท่านถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้ ทำไมท่านถึงไม่ปล่อยนางไป ท่านทำร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สนใจความรู้สึกนาง ไม่สนใจความเจ็บปวดของนาง ท่านอยู่ท่ามกลางผู้หญิงตั้งมากมาย ตอนที่ชอบก็เหมือนเรียกนางเหมือนลูกหมา หยอกล้อกับนางชั่วครู่ ตอนที่ไม่ชอบก็สงสัยระแวงนาง หลี่เฉินเย่น หากท่านไม่รักนาง ท่านก็ควรปล่อยนางไป" "จูเก๋อหมิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ" หลี่อวิ่นกังดึงเขาออกแล้วตวาดใส่อย่างเกรี้ยวกราด หลี่เฉินเย่นมองจูเก๋อหมิงนิ่ง ใจราวกับโดนมีดทื่อ ๆ เชือด ใช่แล้ว ในคราแรกเขารู้อยู่แล้ว หากนางยังอยู่ข้างกายเขาต่อ นางต้องตาย ทำไมเขาถึงได้เอาแต่ลำพองตนเห็นแก่ตัวขนาดนี้ เขาคิดว่าตนเองสามารถเปลี่ยนอะไรได้อย่างนั้นหรือ เป็นความเห็นแก่ตัวของเขาที่ทำให้นางตาย เป็นเขาที่เอาแต่รักในชื่อเสียงของนางจนทำร้ายนางเข้า เขาคุกเข่าลง ใจเจ็บปวดอย่างยิ่ง หากสามารถทำให้นางดีขึ้นได้ ชั่วชีวิตนี้เขายอมที่จะไม่พบเจอนาง ขอแค่นางมีชีวิตอยู่รอดก็พอ ทันใดนั้น หมอหลวงหลันก็ตะโกนขึ้น "รีบไปดูเร็วเข้า เหมือนว่านางจะหายใจแล้ว" ทุกคนต่างรีบไปดู ผลสุดท้ายก็เห็นว่าหน้าอกของชูเซี่ยยกตัวขึ้นเล็กน้อย แม้จะบางเบามาก แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจน จูเก๋อหมิงสาวท้าวเข้าไปทันที ยื่นมือไปจับชีพจร ชีพจรนั้นแทบจะไม่ได้ยิน แต่ก็ยังมีชีพจรอยู่ "เร็ว ช่วยนางต่อไป!" จูเก๋อหมิงตะโกนจเสียงแหบแห้ง เขาเปิดล่วมยาแล้วหยิบยารักษาหัวใจออกมา จากนั้นป้อนให้ชูเซี่ยกินมันลงไป ความดีใจอย่างล้นพ้นพุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งในใจของหลี่เฉินเย่น เฝ้าดูนางอย่างระมัดระวัง มองหมอหลวงหลันกับจูเก๋อหมิงช่วยนาง พอเขาเห็นบาดแผลขนาดใหญ่บนอกนางก็เกิดความกลัว แม้เลือดจะห้ามเลือดได้แล้ว แต่ก็ยังมีไหลหยดออกมาข้างนอกอยู่บ้าง เขากลั้นลมหายใจเอาไว้ กลัวว่าหากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป จูเก๋อหมิงให้ทุกคนออกไป แต่เขาไม่ยอมไป ทั้งยังยืนอยู่ข้างเตียงเหมือนกับท่อนไม้ มองผู้หญิงที่เขารักที่สุดในชีวิตนี้เงียบ ๆ จูเก๋อหมิงทำอะไรเขาไม่ได้จึงได้แต่ปล่อยให้เขาอยู่ต่อ จูเก๋อหมิงป้อนยารักษาหัวใจอีกสองสามเม็ดก็ยังไม่มีผลใด แต่ความยินดีเพียงหนึ่งเดียวคือยังสามารถตรวจจับชีพจรของนางได้ จมูกก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจ นางยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็คือข่าวที่ดีที่สุด หลี่เฉินเย่นอยู่เฝ้านางตลอดเวลา เรื่องที่เกิดทั้งหมดในวันนี้ก็เหมือนกับฝันร้าย เวลาผ่านไปสามวันสามคืนชูเซี่ยก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ชีพจรก็ไม่ได้หายไป หลี่เฉินเย่นเฝ้านางอยู่สามวันสามคืนโดยที่ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน จูเก๋อหมิงยังไม่ได้กลับ ทุก ๆ วันล้วนแต่ป้อนยารักษาหัวใจให้ชูเซี่ย จากนั้นก็บังคับป้อนน้ำแกงลงไป เพื่อรักษาชีวิตนางไว้ จวบจนกระทั่งวันที่สี่ จูฟางหยวนเดินนำคนเข้ามาหนึ่งคน นักบวชมองหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของชูเซี่ยก็สั่นศีรษะเบา ๆ "เด็กคนนี้นี่ทำไมถึงพูดแล้วไม่ฟังนะ ยังจำเป้าหมายที่ให้เจ้ามาในคราแรกได้หรือไม่ ฝีมือการใช้เข็มทองของเจ้าคือใช้เพื่อความผาสุขของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับถูกความรักขังเอาไว้ ทำให้อาจารย์ผิดหวังกับความเพียรพยายามตั้งใจของเจ้า" หลี่เฉินเย่นได้ยินคำพูดของเขา หยาดน้ำตาก็เปรอะขนตาไปหมด จากนั้นก็คุกเข่าขอร้องเขาโดยไม่สนใจท่าทางเคร่งขึมน่าเกรงขามของการเป็นจักรพรรดิ "ท่านนักบวช ได้โปรดช่วยนางด้วย" นักบวชปัดแส้ขนหางไปหนึ่งทีแล้วถอนหายใจพลางกล่าว "หากข้าสามารถช่วยนางได้ ท่านจะยอมปล่อยนางไปหรือไม่" หลี่เฉินเย่นพยักหน้า ในดวงตามีความเสียใจเอ่อล้นอยู่ "ขอแค่นางรอด ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่พบนางอีกก็ย่อมได้" นักบวชพยักหน้า "ท่านเป็นประมุขของแคว้น มีชะตากรรมของท่านเอง นางย้อนเวลามีเป็นพันปีและมีชะตากรรมของนางเช่นกัน หากข้าพานางไป นางจะมีชีวิตอยู่รอด แต่วาสนาของพวกท่าน คงได้แต่ต้องไปต่อกันในชาติหน้า" นักบวชถอนหายใจแล้วอุ้มชูเซี่ยขึ้น สร้างลมใต้เท้าแล้วขี่สายลมออกไป เชียนซานประคองหลี่เฉินเย่นลุกขึ้น พูดด้วยเสียงแหบแห้ง "ฝ่าบาท เจ้านายไปแล้วเพคะ" หลี่เฉินเย่นมองไปตรงทิศทางที่นักบวชกับชูเซี่ยหายไปอย่างเลื่อนลอย ต่อมาก็ลากฝีเท้าอันหนักหน่วงเดินออกไป ชาตินี้ไร้วาสนา ชาติหน้าค่อยต่อใหม่ ก็นับว่าเป็นความหวังอันงดงาม เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้ใจไม่ต้องเจ็บมากขนาดนี้ได้ เขายืนอยู่ตรงระเบียง มองดอกไม้เบ่งบาน หูราวกับได้ยินเสียงนางชัดเจน "ข้าชื่อชูเซี่ย!" ไม่ใช่ชูเซี่ยที่แปลว่าโรคทรพิษ รอยยิ้มบนหน้าคือดอกไม้นางเบ่งบานในใจเขา สดใสอยู่เสมอ ไม่มีวันร่วงโรย จวบจนชีวิตของเขาสิ้นสุดลง วิญญาณล่องลอยหายไป บางทีชาตินี้เขาอาจจะไม่รักผู้หญิงคนไหนแบบนี้อีกแล้ว หรือบางที ความรักอาจะเป็นเพียงแค่โรคทรพิษ หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ตรงระเบียงตำหนักฉ่ายเหว่ย เขานั่งอยู่นานมาก นับตั้งแต่หลังจากชูเซี่ยถูกนักบวชพาไป เขาก็นั่งอยู่ตรงนี้มาตลอด ความเศร้าโศกแต่แรกเริ่มในใจค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความยินดี อย่างน้อย นางก็ยังไม่ตาย อย่างน้อย เขาก็เคยมีนาง พวกเขามีความทรงจำในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่อาจลบเลือนได้ในชาตินี้ ดอกไม้ยังคงร่วงโรยตรงหน้าระเบียง เพียงแต่คนไม่อยู่แล้ว ก็ดี...ก็ดี หลี่เฉินเย่นคิดในใจว่า เจ้าไปก็ดีแล้ว เจ้าไม่ควรถูกกักขังอยู่ในวัง เจ้าควรจะมีความฝันเป็นของตนเอง ควรมีสิ่งที่ตัวเจ้าเองไล่ตาม ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะข้าอีก หากอยู่กับข้า เจ้าต้องได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า ชูเซี่ย ขอแค่ชาตินี้เจ้ามีความสุขและอยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกก็พอแล้ว "ฝ่าบาท กลับไปเสวยพระกระยาหารเถอะพะย่ะค่ะ!" คำพูดนี้คือคำพูดของหัวหน้าขันทีที่เพิ่งเลื่อนขึ้นขึ้นมารับตำแหน่ง ลู่กงกง เขากำลังค้อมกายรอให้ฮ่องเต้ลุกขึ้นเสด็จ "เสี่ยวลู่จื่อ เมื่อก่อนนี้เจ้าเป็นข้ารับใช้ของที่ไหนหรือ" หลี่เฉินเย่นไม่ได้ลุกขึ้น แต่กลับถามหัวหน้าขันทีลู่แทน ลู่กงกงตอบกลับอย่างนอบน้อม "ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้กระหม่อมทำหน้าที่อยู่ที่กรมวังพะย่ะค่ะ" "งั้นข้าวของเครื่องใช้ในตำหนักฉ่ายเหว่ยล้วนแต่เป็นของที่เจ้าให้คนส่งมาหรือ" “ทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพะย่ะค่ะ!!” หลี่เฉินเย่นลุกขึ้น หันกลับไปมองประตูห้องโถงตำหนักฉ่ายเหว่ยอยู่แวบหนึ่ง ประตูบานนี้ มีไว้ให้คนเพียงคนเดียวเปิดเท่านั้น "ปิดตำหนักฉ่ายเหว่ย นอกจากข้าแล้ว ห้ามใครอื่นเข้าไปทั้งสิ้น" หัวหน้าขันทีลู่อึ้งไปเล็กน้อย ต่อมาก็ก้มหน้าเก็บอาการ "พะย่ะค่ะ!" หลี่เฉินเย่นสาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป นับแต่นี้เป็นต้นไปตำหนักฉ่ายเหว่ยจะไม่มีชูเซี่ย ชีวิตของเขาก็ไม่มีชูเซี่ยแล้วเช่นกัน
已经是最新一章了
加载中