​ตอนที่ 183 มีทั้งลูกชายลูกสาว   1/    
已经是第一章了
​ตอนที่ 183 มีทั้งลูกชายลูกสาว
ต๭นที่ 183 มีทั้งลูกชายลูกสาว ในช่วงเวลาที่ประตูตำหนักฉ่ายเหว่ยปิดตัวลงอย่างช้า ๆ เชียนซานกับหว่านเหนียงหันกลับไปมอง ทั้งคู่ต่างก็มีสีหน้าเศร้าสลด ประตูบานนี้ปิดตัวลง ในใจของพวกนางต่างก็รู้สึกเท่ากับว่ายุคสมัยหนึ่งได้จบสิ้นไปแล้ว เจ้านายของพวกนาง เกรงว่าจะไม่กลับมาอีกแล้วตลอดกาล หลังจากนั้นไม่กี่วัน นักบวชก็ส่งข่าวชูเซี่ยให้หลี่อวิ่นกังให้เขาไปบอกหลี่เฉินเย่นว่าชูเซี่ยฟื้นแล้ว แต่รักษาเด็กไว้ไม่ได้ รวมถึงความทรงจำของชูเซี่ยก็หายไปจนสิ้น นางจะจำเรื่องหลี่เฉินเย่นกับทุกสิ่งอย่างที่เคยเกิดขึ้นในเมืองหลวงไม่ได้อีกต่อไป ความหมายของนักบวช คือ ให้หลี่เฉินเย่นลืมชูเซี่ยไปเสีย ถือว่าไม่เคยพบเจอนาง คนที่เขาเคยรักไม่มีอยู่แล้ว หลี่อวิ่นกังกับพระชายาปรึกษากัน แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้มันโหดร้ายเกินไป แต่บางครั้งความโหดร้ายก็ทำให้คนตัดใจลืมได้ ดังนั้น หลี่อวิ่นกังจึงบอกเล่าคำพูดของนักบวชให้หลี่เฉินเย่นฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว หลังจากที่หลี่เฉินเย่นฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มนิด ๆ แล้วพูดขึ้น "แบบนี้ก็ดีแล้ว นางลืมข้าแล้ว ก็เท่ากับว่าลืมความเจ็บปวดไปด้วย ต่อไปนางก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ทำเรื่องที่นางอยากจะทำได้ ไม่ต้องถูกข้าทำร้ายอีก" พอพูดจบ ก็ดูเหมือนกลัวว่าหลี่อวิ่นกังรู้สึกเหมือนไม่จะเชื่อ จึงกล่าววาจาเพิ่มเติม "ตอนนี้ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้ามีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะ และข้าเองก็ไม่อาจเสียเวลากับเรื่องความรู้สึกส่วนตัวกับผู้หญิงได้อีก" หลี่อวิ่นกังไม่ได้เปิดโปงเขา เพียงแค่กล่าวเสียงเบา "ใช่ ตอนนี้ฝ่าบาททรงแบกรับภาระอันสำคัญของบ้านเมืองอยู่ ต้องทุ่มเทแรงกายแรงในทั้งหมดที่มี ส่วนท่านหมอชูเองก็มีทางที่นางต้องเดินเช่นกัน" "อื้ม เสด็จพี่ไปเถอะ ข้าอยากจะอยู่เงียบ ๆ คนเดียวอีกสักพัก" หลี่เฉินเย่นผงกศีรษะแบบลวก ๆ หลี่อวิ่นกังถอยกลับไปแล้ว ทั้งยังทิ้งช่วงเวลาให้เขาได้โศกเศร้า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง แต่ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น ทำได้แค่ค่อย ๆ เยีวยาตนเองไปเรื่อย ๆ เท่านั้น พอเยียวยาแล้วก็จะดีขึ้นเอง หลังจากหลี่อวิ่นกังกลับไป หลี่เฉินเย่นก็นั่งอยู่ในห้องทรงอักษรเงียบ ๆ เขาไล่ทุกคนออกไป ปิดประตูหน้าต่างทุกบาน แม้แต่ก็ยังแสงอาทิตย์เล็ดรอดเข้ามาไม่ได้ ความเงียบและความหนาวเหน็บภายในห้องโอบล้อมเขา เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง ในมือหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม แต่ก็ได้แค่เหม่อลอยอยู่เงียบ ๆ ภายในหัวฉายภาพทุกสิ่งอย่างที่ล้วนแต่เป็นช่วงเวลาที่อยู่กับนางเมื่อก่อนนี้ ลืมหรือ? ไม่มีทางหรอก การรำลึกถึงจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นไปชั่วชีวิตหรือ ไม่รู้สิ เพราะเขาเข้าใจในที่สุด ว่าพละกำลังของคนนั้นน้อยนิดมาก ไม่ว่าจะอย่างไรก็เอาชนะสวรรค์ไม่ได้ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองเคยจองหองขนาดไหน นักบวชกล่าวว่านางตายเพราะตัวเขา เขาไม่เชื่อ เพราะเขาคิดว่าตนเองรักนางมาก ต้องทำให้นางเปรมปรีดิ์มีความสุขได้แน่ จะมาตายเพราะเขาได้อย่างไรกัน สุดท้ายความจองหองของเขาก็ทำร้ายนาง หากไม่ใช่เพราะนักบวชมา นางในตอนนี้ก็คงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปแล้ว "ข้าทำได้แค่ปล่อยนางไป!" เขาพูดพึมพำ ดวงตามีท่านน้ำตาคลอ หลังจากนั้นห้าปี ปีรัชศกเจียผิงที่หก ด้านล่างภูเขาหนานซาน เมืองชายแดนติดกับแคว้นหนานจ้าวที่มีชื่อว่าเมืองหนานซาน "ท่านแม่ เมื่อกี้นี้ท่านอาสวีมาเอายา บอกว่าอาการป่วยของสามีนางทรุดลงอีกแล้ว ให้ท่านแม่ไปตรวจดูในยามที่ว่าง" คำพูดนี้เป็นของเด็กชายวัยสี่ขวบ เขามีผมสั้น แตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ เป็นพิเศษ หน้าตาดูดี ตาโตเป็นพิเศษราวกับน้ำพุสองบ่อ มีปฏิภาณไหวพริบเป็นพิเศษ "ได้!" ชูเซี่ยที่ตากยาสมุนไพรอยู่ในลานสวนส่งเสียงตอบรับ "ตอนนี้เจ้าช่วยแม่เลี้ยงนายท่านเหมากับเจ้าถ่านหน่อย น่าจะหิวกันแล้วล่ะ" "น้องสาวเลี้ยงแล้ว" เด็กน้อยตอบ "พี่สาวต่างหากเล่า!" เสียงใสแจ๋วพลันดังขึ้น เด็กหญิงที่มีส่วนสูงไม่ต่างกับเด็กชายเดินมาจากทางลานสวน รูปร่างหน้าตาของนางเหมือนกับเด็กชายไม่มีผิด ต่างกันเพียงผมที่สั้นกับยาวและชุดที่สวมใส่ไม่เหมือนกันเท่านั้น ในมือนางยังหอบกองหญ้าสีเขียวเอาไว้ พลางพูดอย่างมีวาทกรรม "ท่านแม่มักจะบอกพวกเราบ่อย ๆ ว่าต้องเคารพผู้ใหญ่และรักผู้น้อย ข้าเป็นพี่สาวเจ้า เจ้าต้องเคารพข้า" "เจ้าเป็นน้องสาวต่างหาก!" เด็กชายทำแก้มพองโต้ตอบ "ความจริงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เจ้าเสียงดังขึ้นก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี" เด็นหญิงวางหญ้าไว้ตรงมุมห้องแล้วพูดกับชูเซี่ย "ท่านแม่ วันนี้นายท่านเหมาไม่อยากอาหารเจ้าค่ะ" "เมื่อวานนี้ให้เยอะไปล่ะสิ" ชูเซี่ยพลิกยาสมุนไพรอีกสักพัก ไม่เข้าไปยุ่งการเถียงกันระหว่างพี่สาวกับน้องชายหรือบางทีอาจจะเป็นพี่ชายกับน้องสาวของพวกเขา การโต้เถียงนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งแทบทุกวัน และพวกเขาก็ชอบทำมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ห้าปีก่อน ขณะที่นางหมดสติแล้วฟื้นขึ้นมา อาจารย์กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงนาง จากนั้นก็พูดกับนาง เขาพูดว่า "ชูเซี่ย อาจารย์ขอร้องเจ้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ สุดท้ายก็ช่วยเจ้า ให้ท้ายเจ้าอยู่ดี เจ้ายังจำความมุ่งมั่นปรารถนาแต่เดิมทีในการเป็นหมอของเจ้าในคราแรกได้หรือไม่ อาจารย์ไม่อยากถามเรื่องระหว่างเจ้ากับหลี่เฉินเย่น แต่เจ้ากลับทิ้งทักษะการใช้เข็มทองไปจนสิ้น เจ้าทำให้อาจารย์ผิดหวังอย่างยิ่ง หรือว่าความรักทุกสิ่งอย่างของคน ๆ เดียวหรือ เป็นทุกสิ่งอย่างของเจ้าอย่างนั้นหรือ นอกจากหลี่เฉินเย่นแล้ว ในชีวิตของเจ้าก็ไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องทำหรืออยากทำบ้างเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะศึกษาการแพทย์ไปทำไม นับตั้งแต่เจ้าเริ่มศึกษาทักษะทางด้านการแพทย์ ก็ต้องเข้าใจแล้วว่าทักษะทางการแพทย์ของเจ้าคือการแบกรับชีวิตและสุขภาพของคนป่วย หวังว่าเจ้าจะเข้าใจภาระและหน้าที่ที่ต้องแบกรับในฐานะหมอ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่อาจารย์จะยื่นมือช่วยเหลือเจ้า เจ้าจะเลือกกลับไปอยู่เคียงข้างหลี่เฉินเย่นก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องว่าแน่ใจว่าการตัดสินใจอย่างอิสระเสรีของตัวเจ้าเองจะไม่มีใครมาจำกัดการพัฒนาทักษะฝีมือทางการแพทย์ของเจ้าได้ ส่วนทักษะการใช้เข็มทอง เจ้าก็ต้องถ่ายทอดสืบต่อมันต่อไป" ช่วงเวลานั้นชูเซี่ยพลันสำนึกขึ้นมาได้ นางนึกถึงตอนที่เริ่มอ่านตำราแพทย์ ยืนอยู่ภายใต้ปณิธานอันยิ่งใหญ่ เมื่อคน ๆ นึงสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไปจนชั่วชีวิต ถ้าอย่างนั้นนางก็ต้องปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น นางจึงไม่กลับไปหาหลี่เฉินเย่น เพราะใครอยู่ตำแหน่งไหนก็ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสิ่งนั้น เขามีหน้าที่และชะตากรรมของเขา หากเป็นฮองเฮาของเขาแล้ว นางก็ไม่สามารถรักษาชาวบ้านเหมือนอย่างหมอคนอื่นได้อีก คำพูดและการกระทำของนางก็ต้องล้วนแต่ถูกตีกรอบ ข้างหลังของเขาและนางล้วนแต่มีขุนนางที่ยึดตามกรอบธรรมเนียมคอยจ้องเขมือบอยู่ ห้าปีผ่านไป ชีวิตของนางค่อย ๆ มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่อยู่ที่เมืองชายแดนนี้ นางก็ค้นพบคุณค่าการมีอยู่ของตนเอง ไม่ต้องมีขุนนางเก่าแก่ชี้มาที่นางบอกว่านางเป็นตัวกาลิกีนีกวนพระทัยฮ่องเต้อีกต่อไป เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้อาจารย์เดินทางมา เขาดูอิ่มเอมใจมาก อีกทั้งยังพูดอะไรที่เหมือนมีความหมายว่าให้นางกลับไปหาหลี่เฉินเย่น เพราะตอนนี้บัลลงก์ของเขามั่นคงแล้ว ไม่ต้องถูกบังคับไปทุกสิ่งอย่างเหมือนตอนที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ อย่างเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เวลาผ่านไปห้าปี เรื่องหลาย ๆ อย่างล้วนแต่ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้วังหลังของเขามีหญิงสาวมากมาย ไม่ใช่ตัวเขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกทั้งนางยังหาลูกศิษย์มาสืบทอดสิชาไม่ได้ ทักษะการใช้เข็มทองก็ยังคงอยู่ในมือนางต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นางชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับการคิดถึงเขาเงียบ ๆ แบบนี้แล้ว การที่ได้อยู่กับเขาเป็นเรื่องที่งดงามที่สุดในชีวิตนี้ของนาง สิ้นเดือนห้า จูฟางหยวนกลับมาจากเมืองหลวง เขากลับมาจากการไปเคารพอดีตแม่ทัพที่เมืองหลวงก่อนวันเชงเม้ง หลายปีมานี้จูฟางหยวนก็อยู่เป็นเพื่อนนาง ณ ที่แห่งนี้มาตลอด บางครั้งก็กลับเมืองหลวงในฐานะโหวเยี่ยผู้รักอิสระ ไม่ทุกข์เรื่องกินเรื่องเครื่องอาภรณ์ เงินกับอาหารที่ได้รับพระราชทานมาส่วนใหญ่ก็มองให้ชูเซี่ยเอาไว้ใช้ซื้อยาสมุนไพรหรือไม่ก็จัดการรักษาแบบการกุศลสำหรับชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
已经是最新一章了
加载中