ตอนที่ 29 การแข่งเรือในทะเลสาบเย่ฉือ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 29 การแข่งเรือในทะเลสาบเย่ฉือ
ต๭นที่ 29 การแข่งเรือในทะเลสาบเย่ฉือ “เพียงแต่ข้าฟังสองสามประโยคหลังที่เจ้าร้องไม่รู้เรื่อง ดูเหมือนจะไม่ใช่ภาษาของที่นี่” พระพักตร์ของฮ่องเต้หมิงเจาเต็มไปด้วยความสงสัย ตัวเขาเองก็มีความรู้ที่กว้างขวางและล้ำลึก ทั้งยังรู้ภาษาสันสกฤต ภาษามองโกเลีย และภาษาทิเบต แต่กลับฟังไม่รู้เรื่องว่าที่เหลียงซินขับร้องออกไปนั้นคือภาษาอะไร ราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน เหลียงซินรู้ว่าฮ่องเต้หมิงเจาจะต้องตรัสถามเรื่องนี้ ดังนั้นจึงได้เตรียมเหตุผลไว้ก่อนแล้ว “กราบทูลเสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้ตอนที่หม่อมฉันฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชาทางการแพทย์นั้น ท่านอาจารย์มาจากอังกฤษประเทศที่อยู่ห่างไกลออกไป ที่หม่อมฉันขับร้องไปนั้นก็คือภาษาอังกฤษเพคะ” คนที่อยู่ด้านล่างล้วนตกตะลึงไปตามๆกัน หันซ้ายหันขวาพูดคุยหารือกันว่าภาษาอังกฤษแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ ในดวงตาที่ลึกเข้าไปทั้งยังมีลักษณะที่ยาวและแคบของเฉินห้าวมีประกายแห่งการสำรวจและวิจัยออกมา เหลียงซินผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ ทั้งรู้วิชาทางการแพทย์ และยังเข้าใจภาษาอังกฤษ สถานะของนางจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทว่า ในเมื่อนางเป็นพระชายาของเขา ที่มาของนาง เขาสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ยังมีท่านอาจารย์ที่นางพูดออกมาทั้งหมดนั้นแท้จริงเป็นใครกันแน่ เขาก็จะไม่ละเว้น การได้เชิดหน้าชูตาในครั้งนี้ ทำให้ชีวิตของเหลียงซินถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สามารถสงบสุขได้อีก เริ่มตั้งแต่ค่ำคืนนี้ ในขณะที่นางและเหลียงยินต่างฝ่ายต่างพยายามหลอกล่อซึ่งกันและกันอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพื่อที่เข้ามายังพระราชสำนัก จนกลายเป็นหนามยอกอกของฝ่ายตรงข้าม ก็ยิ่งทำให้ความสนใจที่มีต่อนางของเฉินห้าวเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่นางกลับดูเหมือนไม่รู้ว่าชีวิตที่แต่เดิมก็ไม่ได้สงบสุข กำลังแอบซ่อนอันตรายอย่างมหาศาลเอาไว้ วินาทีต่อมาอาจจะถูกคลื่นยักษ์ซัดถล่มเข้ามาก็เป็นได้ “ภาษาอังกฤษ?” ฮ่องเต้หมิงเจารำพึงออกมา มีท่าทีราวกับสนใจเป็นพิเศษ “ดีมาก คราวหน้าหากมีเวลา สามารถให้ข้าเรียนภาษานี้สักหน่อยได้หรือไม่?” เหลียงซินยิ้มบางๆออกมา “แน่นอนเพคะ หม่อมฉันดีใจเป็นอย่างยิ่ง” ในคืนนี้ เหลียงซินก็เป็นที่รู้จักของทุกคนในที่สุด และยังรู้จักดีอีกด้วย ก่อนหน้านี้ความทรงจำที่ทุกคนมีต่อนาง ส่วนมากก็หยุดอยู่ที่หน้าไม่อาย จิตใจโหดร้าย แต่ในตอนนี้สำหรับนางแล้ว ส่วนมากจะเป็นดูไม่ออกและเดาไม่ถูกเสียมากกว่า เมื่อกลับไปยังที่นั่ง เหลียงซินสูดหายใจเข้าเต็มปอด ในใจยังคงตื่นเต้นอย่างที่สุด พอกำลังจะดื่มชาเพื่อลดอาการตื่นเต้นลง กลับพบว่าสายตานับไม่ถ้วนจากรอบด้านกำลังจ้องมองมาที่นาง มือของนางที่กำลังถือถ้วยน้ำชาก็หยุดชะงักลง พลางเอ่ยถามเฉินห้าวว่า “นี่ทุกคนเป็นอะไรไปเพคะ เหตุใดจึงจ้องมองหม่อมฉันเช่นนี้ หรือว่าหน้าของหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่” เฉินห้าวก็จ้องมองนางไม่ต่างกัน ริมฝีปากบางเอ่ยขึ้น “หน้าของเจ้าไม่ได้มีอะไร ทว่าในใจของเจ้าเก็บอะไรเอาไว้?” คำพูดนี้หมายความว่าอะไรกัน? เหลียงซินหันกลับไปมองเขาครู่หนึ่ง ในวินาทีที่ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน ก็เหมือนมีกระแสไฟเล็กๆผ่านมาทางสายตา ไม่ช้า นางก็รีบหลบสายตาของตนเองอย่างรวดเร็ว “ไม่ว่าในใจของหม่อมฉันจะเก็บอะไรเอยู่ แต่อย่างไรก็ไม่มีพระองค์อย่างแน่นอน” ใบหน้าของเฉินห้าวขรึมลงไปในทันที เพราะเหตุใดทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้ชอบเหลียงซิน แต่พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในใจกลับรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก? ทว่า ภายนอกก็ยังต้องแสดงท่าทีไร้ความรู้สึกออกมา “เช่นนั้นดีที่สุด” ณ ตอนนี้ งานเลี้ยงก็ได้เดินทางมาถึงจุดสำคัญของงาน งานเลี้ยงฉลองวันพระประสูติในวันนี้พระสนมเอกโดดเด่นมากเป็นพิเศษ ยากที่จะมีใครมากีดขวางเอาไว้ได้ หันกลับมามองฮองเฮาที่อยู่ข้างกายของนาง ก็ยากที่จะซ่อนความหดหู่ในใจเอาไว้ได้เช่นกัน “ฮ่องเต้มีรับสั่ง ในค่ำคืนนี้เปิดทะเลสาบเย่ฉือตะวันออก ทุกท่านสามารถขึ้นไปเที่ยวชมแสงไฟยามค่ำคืนได้ และเลื่อนเวลาปิดประตูวังออกไป” เสียงที่ลากยาวของขันทีเอ่ยประกาศพระราชโองการออกมา ทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดีพลางเคลื่อนย้ายตัวออกไป รวมกันมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบเย่ฉือตะวันออก ทุกคนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างทันที ขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง เฉินห้าวเดินนำออกไปด้านหน้า ฝีเท้าสม่ำเสมอแต่กลับไม่เร็วมากนัก และบางทีก็หันกลับมามองเหลียงซินที่อยู่ด้านหลังว่าเดินตามมาทันหรือไม่ หากนางช้าก็ยังว่านางด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ จนสุดท้าย เหลียงซินทำได้เพียงยกชายกระโปรงของตนเองขึ้นมาและเดินตามขึ้นไปยังข้างกายของเขา “พี่สะใภ้ห้า!”ทันใดนั้นด้านหลังก็ดังสะท้อนเสียงเรียกที่อ่อนเยาว์ออกมา “ท่านเป็นพี่สะใภ้ห้าของข้าจริงๆด้วย เดิมทีข้ายังคิดว่าที่ท่านพูดคือคำโกหกเสียอีก!” เหลียงซินหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับร่างเล็กๆขององค์ชายสิบเอ็ดกำลังเบียดออกมาจากผู้คนรอบข้างเพื่อเข้ามาหา รอบตัวของเขาต่างก็ไม่มีนางกำนัลติดตาม ดูแล้วผู้เลี้ยงดูข้างกายก็ถูกเขาสลัดทิ้งออกไปแล้ว “องค์ชายสิบเอ็ด พระองค์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันกับพี่ห้าของพระองค์กำลังจะไปทะเลสาบเย่ฉือตะวันออก ไม่เช่นนั้นก็ไปด้วยกันไหมเพคะ” เหลียงซินเอ่ยปากชวนด้วยรอยยิ้ม “เอาสิ เอาสิ! หลังจากงานเลี้ยงจบลงข้าก็ตามท่านมา ในที่สุดก็ตามมาทัน!เพียงแต่...” เฉินเช่อแอบมองไปยังเฉินห้าวครู่หนึ่ง ดูเหมือนมีความหวาดกลัวในตัวพี่ห้าของเขาเล็กน้อย เพียงแค่แววตาเดียวเหลียงซินก็รู้ทุกอย่าง จึงตบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆเพื่อทำให้เขาวางใจ “วางใจเถอะเพคะ พี่ห้าของ พระองค์จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน พระองค์ตามหม่อมฉัน ไม่ได้ตามเขาเสียหน่อย” มองดูพวกเขาสองคนที่สนิทสนมเข้ากันได้ดี เฉินห้าวก็เดินแยกไปข้างหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ “ใครว่าข้าเห็นด้วย?” เหลียงซินไม่ได้นำเขาเข้ามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย “พวกเราก็ไม่ได้ต้องการความยินยอมจากพระองค์เสียหน่อย” “พี่ห้า พระองค์ก็ทรงยอมๆหน่อยเถิดพะยะค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันมาทะเลสาบเย่ฉือตะวันออก ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อไม่ยอมให้หม่อมฉันมา แม่นมที่อยู่ข้างกายที่ก็ไม่พาหม่อมฉันมา ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสเช่นนี้นะพะยะค่ะ!” ดูแล้วเด็กคนนี้ ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากผู้ใดมาตั้งแต่เล็ก ความปรารถนาเล็กๆในวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรเหลียงซินก็จะช่วยให้เป็นจริงให้ได้ “เฉินห้าว อย่างน้อยเขาก็เป็นน้องชายองค์เล็กที่สุดของพระองค์ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ หากพระองค์ไม่พาเขาไปด้วยแล้วล่ะก็ หม่อมฉันก็จะ... จะ...” เหลียงซินดูเหมือนคิดไม่ออกว่าอะไรที่จะสามารถใช้ขมขู่เฉินห้าวได้ คิดเป็นเวลานานก็ยังพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่า วันนี้เขาจะพูดง่ายเช่นนี้ ไม่ต้องรอให้นางข่มขู่ก็ตกลงเสียแล้ว “ช่างเถอะ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน” เฉินห้าวมองไปยังเฉินเช่ออย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตอบตกลง แน่นอน เหลียงซินไม่มีทางคิดว่าที่เขารับปากนั้นเป็นเพราะนาง ถือว่าในใจของเขาเกิดความเมตตาที่นานทีจะมีสักครั้ง หรืออาจเป็นเพราะคำพูดนั้นของน้องชายได้กระทบกระเทือนจิตใจของเขาเข้าแล้ว ไม่ช้า ทั้งสามคนก็เดินมาถึงริมทะเลสาบเย่ฉือตะวันออก ในทะเลสาบเต็มไปด้วยโคมไฟลอยน้ำมากมายหลากหลายสีสัน ในค่ำคืนที่มืดสนิทดังเช่นทุกวันถูกแต่งแต้มให้เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามแตกต่างออกไป “สวยจังเลย!” เหลียงซินถึงกับอุทานออกมาด้วยความจริงใจ นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นทะเลสาบที่สวยงามเช่นนี้ ได้เห็นโคมไฟดอกบัวที่งดงามจำนวนมากขนาดนี้ ราวกับแสงดาวบนผืนน้ำกำลังเปล่งประกายระยิบระยับ เฉินห้าวมองดูนางด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เพียงครู่เดียวแววตานั้นก็หายไป “พี่ห้า น้องสิบเอ็ด พวกท่านต่างมาถึงแล้ว” ด้านข้างดังสะท้อนเสียงขององค์ชายเจ็ดเฉินอวี้ออกมา องค์หญิงและองค์ชายพระองค์อื่นตามหลังมาอย่างติดๆ “ไม่ง่ายเลยที่วันนี้เสด็จพ่อจะเปิดทะเลสาบเย่ฉือตะวันออกให้พวกเราได้เข้ามาเที่ยวเล่น พวกเราสู้มาแข่งเรือกันเป็นอย่างไร? ผู้ที่ถึงที่หมายก่อน สามารถที่จะเอ่ยขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับใครก็ได้ในที่นี้” สายตาของเฉินอวี้มองไปรอบๆและไปตกอยู่ที่องค์ชายทั้งหลายที่อยู่เบื้องหน้า ข้อเสนอนี้ไม่นานก็ได้รับการเห็นด้วยจากองค์ชายส่วนใหญ่ “พี่เจ็ด ใครๆต่างก็รู้ว่าฝีมือการแข่งเรือของพระองค์นั้นดีมาก พวกเราทั้งหลายต่างก็สู้ไม่ได้ วันนี้ยังจะให้พวกเราแข่งเรือ ไม่ใช่ว่าเป็นการกำหนดผู้ชนะไว้แล้วหรือพะยะค่ะ” คนที่พูดก็คือองค์ชายแปดเฉินเจ้อ องค์ชายที่แสนจะธรรมดามากที่สุด “น้องแปด ที่เจ้าพูดนั้นผิดแล้ว วันนี้ยังมีพี่ห้าอยู่ที่นี่ เจ้ายังกล้าที่จะกำหนดที่หนึ่งอย่างชัดเจนได้อย่างไรกัน” เฉินอวี้มองไปทางเฉินห้าวอย่างยั่วยุ “น่าเบื่อ” เฉินห้าวมองผ่านอย่างรวดเร็วด้วยสายตาที่เย็นชา องค์ชายทั้งหลายต่างก็รู้ว่าในระหว่างพวกเขานั้น มีเพียงเฉินห้าวและเฉินอวี้เท่านั้นที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ในขณะที่พวกเขาทั้งสองตาต่อตา ฟันต่อฟันกันอยู่นั้น องค์ชายพระองค์อื่นก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปมากนัก “แข่งเรือเท่านั้นเอง หากพี่ห้าไม่กล้าก็ช่างเถิดพะยะค่ะ อย่างไรก็ตามแต่ไหนแต่ไรมาพี่ห้าก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะรวมกลุ่มอยู่กับพวกเราอยู่แล้ว ชอบไปไหนมาไหนแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่บังคับ เพียงแต่ว่าเสด็จพ่อหวังให้พวกเราพี่น้องรักใคร่ปรองดองกัน หากเรื่องในวันนี้เข้าไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อแล้วล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลดีต่อพี่ห้านะพะยะค่ะ” รอยยิ้มของเฉินอวี้แฝงไปด้วยคมดาบ หลังจากพูดจบก็จงใจแสร้งเป็นตักเตือนว่า “พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้พูดเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด” องค์ชายทั้งหลายพยักหน้าเป็นการตอบรับ หันตัวกลับไปเลือกเรือที่จะใช้แข่ง เหลียงซินเงยหน้ามองไปยังเฉินห้าวในทันที กระทั่งตอนนี้นางถึงได้รู้ว่า ที่แท้ชีวิตท่านอ๋องของเฉินห้าวนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะดีขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือว่าภายนอก ดูเหมือนเขาจะไม่มีทั้งคนที่ใกล้ชิดสนิมสนมและเชื่อใจได้เลย พี่ชายแท้ๆเพียงคนเดียวของตนเอง ยังถูกเขาปฏิเสธเอาไว้ด้านนอก คงต้องอ้างว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “หยุดก่อน” เฉินห้าวพลันร้องเรียกขึ้น พลางเอ่ยขึ้นว่า “การแข่งเรือในวันนี้เจ้าแพ้อย่างแน่นอน” ความหมายที่แฝงในคำพูดของเขานั้น เฉินห้าวเข้าใจเป็นอย่างดี ทว่ากลับไม่โกรธแต่อย่างใด ตามมาด้วยคนที่อยู่ด้านหลังก็พากันมาเลือกเรือที่ริมฝั่ง นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เหลียงซินได้เห็นเกมการแข่งเรือระหว่างองค์ชายทั้งหลาย จะต้องตระการตามากแน่ๆ นางพาเฉินเช่อเข้าไปในเรือ ขึ้นไปบนชั้นสอง เลือกตำแหน่งที่นั่งดีๆเพื่อชมการแข่งเรือของพวกเขา ฉากที่ตระการตาที่สุดในค่ำคืนนี้ นางไม่อยากจะพลาดโดยเด็ดขาด “องค์ชายสิบเอ็ด พระองค์คิดว่าการแข่งขันในคืนนี้ ใครจะชนะเพคะ” เหลียงซินถามออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก นึกไม่ถึงว่าเฉินเช่อจะตอบกลับด้วยท่าทีที่จริงจังเป็นอย่างมาก “ข้าว่าพี่ห้าจะต้องชนะ” หลังจากที่เฉินเช่อพูดจบก็ยังเตือนขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้ห้า คราวหลังอย่าเรียกข้าว่าองค์ชายสิบเอ็ด เรียกเฉินเช่อก็พอแล้ว” “เพคะ เฉินเช่อ” เหลียงซินยิ้มพลางลูบศีรษะของเขาเล็กน้อย “โอ๊ะ พี่สะใภ้ห้า น้องสิบเอ็ด พวกเจ้าทั้งสองอยู่ที่นี่จับจองที่นั่งตำแหน่งดีเพื่อชมการแข่งเรือก็ไม่เรียกพวกเรามาด้วย ช่างแล้งน้ำใจจริงๆ” คนที่กำลังพูดอยู่ก็คือองค์หญิงรุ่ยเหอ นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงซินได้พบกับองค์หญิงรุ่ยเหอในระยะที่ใกล้เช่นนี้ นางในตอนนี้กับคนที่แสดงอยู่บนเวทีเมื่อสักครู่นี้แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน คนหนึ่งโดดเด่น คนหนึ่งหยิ่งทะนง ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก นึกไม่ถึงว่าเฉินเช่อกลับอุทานออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เรียกพระองค์ พระองค์ก็มาแล้วไม่ใช่หรือพะยะค่ะ พี่หญิงเก้า การแสดงของพระองค์เสร็จสิ้นแล้ว จะคืนเสี่ยวป๋ายให้หม่อมฉันได้หรือยัง” องค์หญิงรุ่ยเหอกลับตบเบาๆไปที่มือของเขา“รีบอะไรกัน สุนัขตัวนั้นน่าสนใจจะตาย ให้ข้ายืมเล่นสักสองสามวันจะเป็นอะไรไป ยังไงซะที่ของเจ้า เสี่ยวป๋ายก็ไม่ได้ชอบอยู่” สุนัขที่ใช้ในการแสดงเมื่อครู่นั้น ที่แท้เป็นสุนัขที่เฉินเช่อเลี้ยงเอาไว้นี่เอง เฉินเช่อโกรธจนแก้มป่อง ทว่ากลับไม่สามารถเอาชนะองค์หญิงรุ่ยเหอได้ ถึงแม้ว่าเขาจะอายุเพียงสิบขวบ แต่เขาก็เข้าใจว่า ตำแหน่งและน้ำหนักของเขามีไม่มากพอ จึงไม่กล้าพูดอะไรออกไปมาก เหลียงซินเก็บทุกการกระทำของพวกเขาเอาไว้ในสายตา พลางคิดไตร่ตรองบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ เสียงปรบมือระลอกหนึ่งดังสะท้อนมาจากที่ห่างไกล ณ ตอนนี้การแข่งเรือได้ดำเนินเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว มองไกลๆแล้วเรือลำนั้นของเฉินอวี้กำลังนำขึ้นมา อีกไม่นานก็จะชนะเป็นอันดับแรก “ประเดี๋ยวพี่ชายของข้าก็จะชนะแล้ว” องค์หญิงรุ่ยเหอมองไปข้างหน้าอย่างภูมิใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “ยังไม่ถึงจุดสุดท้าย ใครแพ้ใครชนะก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเร็วเกินไปนักเลยเพคะ” เหลียงซินมองไปยังเรือของเฉินห้าวที่ตามมาติดๆ เขาจะต้องมีแผนการของตนเองอย่างแน่นอน โอกาสที่จะนำ เพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น นางเข้าใจความอดทนที่ซ่อนเร้นของเขาดี และเข้าใจในกลยุทธ์ของเขา แต่ทว่า ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสิ่งที่แม้แต่นางเองก็ไม่ สามารถที่จะเข้าใจได้...ความเชื่อใจ “ข้าไปโห่ร้องแสดงความยินดีให้เสด็จพี่ก่อนนะ” องค์หญิงรุ่ยเหอยิ้มเล็กน้อย พลางหันหลังเดินจากไป ในตอนนี้ ทะเลสาบที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา ชนะหรือแพ้ คำตอบก็ถูกกำหนดไว้ในช่วงเวลานี้ เพราะว่าทันใดนั้นเรือของเฉินห้าวก็พลันเพิ่มความเร็วในระยะเวลาอันสั้นราวกับกำลังบินขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็นำหน้าเรือของเฉินอวี้เป็นที่เรียบร้อย แพ้หรือชนะก็อยู่ในช่วงเวลานั้น เฉินห้าว ชนะแล้ว ทว่า ข้างหูของเหลียงซินกลับได้ยินเสียง “ตู้ม” ตามมาด้วยเสียงคนร้องตะโกนว่า “แย่แล้ว!องค์ชายสิบเอ็ดตกน้ำลงไปแล้ว!”
已经是最新一章了
加载中