ตอนที่ 37 ลงมาขอโทษ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 37 ลงมาขอโทษ
ต๭นที่ 37 ลงมาขอโทษ ทั้งๆที่เป็นวันที่อยู่ในเดือนเมษายน เหลียงซินกลับรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ในตำหนักที่ใหญ่เช่นนี้ มีเพียงพวกเขาแค่สองคน เฉินห้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาดุดันในทันทีที่เธอหยุดลง “ให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้งได้อธิบาย” เหลียงซินสูดหายใจเข้าเต็มปอด ไม่เข้าใจว่าเฉินห้าวต้องการจะทำอะไรกันแน่ ในเมื่อเขาแอบฟังอยู่ด้านนอกประตูนานขนาดนี้ น่าจะรู้หมดแล้วว่าครู่นี้เธอกับบุคคลลึกลับต่างก็พูดคุยอะไรกันบ้าง กลับยังต้องการให้เธออธิบายอีก? “หม่อมฉันไม่มีอะไรที่น่าจะอธิบายเพคะ พระองค์อยากฟังคำอธิบาย หาผิดคนแล้วกระมัง?” คิ้วและดวงตาของเธอเลิกขึ้นเบาๆ เหล่มองไปที่เฉินห้าว เฉินห้าวหมุนตัวกลับในทันที จากนั้นยื่นมือออกมาใช้แรงบีบคางของเธอเอาไว้แน่น “อย่าสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์” เขาให้โอกาสนางตั้งหลายครั้ง แต่นางกลับดันทุรังที่จะโต้แย้งกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะให้โอกาสนางได้อธิบาย แต่นางก็ยังคงไม่รู้จักกาลเทศะ! “เฉินห้าว พระองค์ก็ใช่ว่ารู้จักหม่อมฉันเป็นวันแรก หม่อมฉันก็เป็นคนเช่นนี้ พระองค์จะทำอย่างไรได้?” ความดื้อรั้นของเหลียงซินเพิ่มขึ้นมา ก็คือไม่ยอมไว้หน้าให้กับเขา หลังจากพูดจบ เหลียงซินรู้สึกเพียงแต่ว่าคางของเธอเจ็บมากยิ่งขึ้นราวกับกำลังจะถูกบีบให้แตกยังไงอย่างงั้น เขาคงจะไม่รู้จักการเอาใจใส่ให้ความรักต่อผู้หญิงแม้แต่น้อยเลยจริงๆ ถึงขั้นยังมีแนวโน้มค่อนข้างชอบใช้กำลังอยู่ด้วย ทว่า แม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังคงอดทนไว้ ไม่ปริปากอะไรออกมาสักคำ เฉินห้าวกลับไม่รู้ว่าเขาได้ใช้กำลังมากมายขนาดไหน ภายใต้การระเบิดอารมณ์ สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าที่ทั้งแข็งกร้าวทั้งกล้ำกลืนด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียวของเหลียงซิน เพียงครู่เดียวอารมณ์ร้ายนั้นก็หายไป เหมือนได้จับพลัดจับผลูกระทำลงไปโดยไม่รู้ตัวราวกับถูกผีอำ เขาค่อยๆคลายมือที่บีบคางของเธอออก “เหลียงซิน ทางที่ดีเจ้าอย่าได้มีความสัมพันธ์อันใดกับคนผู้นี้ มิเช่นนั้นถึงเวลาเจ้าตายอย่างไรก็ยังไม่รู้” เฉินห้าวนำมือไขว้หลังพลางยืดตัวตรง ดูเหมือนกำลังซ่อนเร้นอารมณ์โกรธที่มากมหาศาล ดูแล้ว เขาน่าจะรู้สถานะของบุคคลลึกลับผู้นี้แล้ว? เหลียงซินมองไปที่เขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย ทว่าความคิดในจิตใจทั้งหมดของเขาไม่ใช่สิ่งที่เธอจะสามารถคาดเดาออกมาได้ พระองค์ก็เช่นกันเพคะ วังสิงหวังที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ถูกคนสอดแนมทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นนี้ แพร่งพรายออกไปจะน่าอับอายแค่ไหนกันนะ” เธอเพียงแค่ยิ้มด้วยความเย็นชา แต่พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเขา ดวงตาคู่นั้นที่เย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบราวกับน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก เหลียงซินมองไปที่เขาอย่างไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าใครจะโหดร้ายกว่าใครก็ตาม “เรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามาจัดการ เป็นถึงพระชายาสิง ทางที่ดีที่สุดจงระมัดระวัง ตรวจสอบ ควบคุมพฤติกรรมของตัวเจ้าเองสักหน่อย อย่าได้สร้างปัญหาไปทั่วให้กับข้า” เฉินห้าวพูดขึ้นทีละคำทีละประโยค สร้างปัญหา? คราวนี้เหลียงซินไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ชัดเจน เธอถูกติดอยู่ในวังสิงหวังแห่งนี้มาตลอด จะสามารถสร้างปัญหาไปทั่วได้อย่างไร? พอดีกับที่เธอกำลังคิดที่จะตอบ นึกไม่ถึงว่าด้านนอกประตูก็ดังสะท้อนเสียงหัวหน้าข้ารับใช้เข้ามา “กราบทูลท่านอ๋อง ครู่นี้คนข้างกายของฮ่องเต้หลี่เต๋อกงกงให้คนมาส่งข่าว ความว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้ท่านอ๋องและพระชายาเข้าวังหลวงพร้อมกันเพื่อไปเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” เฉินห้าวได้ยินดังนั้น ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย พูดทวนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “เจ้าแน่ใจนะว่าเสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้ากับพระชายาเข้าวังหลวงพร้อมกันเพื่อไปเข้าเฝ้า?” “พะยะค่ะ หม่อมฉันยังตั้งใจถามย้ำเป็นพิเศษแล้วพะยะค่ะ” หัวหน้าข้ารับใช้ตอบกลับมาในทันที เหลียงซินแอบคิดในใจว่า คงไม่ใช่ว่ายาที่ฮ่องเต้หมิงเจาเสวยเข้าไปในครั้งก่อนเกิดปัญหาอะไรขึ้นนะ? หรือจะบอกว่า ป้องกันไม่ได้ผล พระอาการรุนแรงขึ้นกว่าเดิม? “เช่นนั้นยังมัวชักช้าอะไร?รีบเข้าวังหลวงสิ!” เหลียงซินไม่พูดอะไรอีก เดินนำไปทางด้านประตูออกจากที่นี่ไปก่อน ทว่า เธอยังไม่ทันที่จะก้าวขาครั้งที่สอง ชิวเยว่ที่อยู่ข้างกายก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “พระชายาเพคะ พระองค์ทรงคิดว่าจะสวมชุดนี้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือเพคะ?” เสื้อคลุมบนตัวเธอเปียกชุ่มไปหมดแล้ว แม้ว่าจะตอนนี้จะดูหมาดๆ แต่ว่าส่วนชายกระโปรงก็ยังคงเปียกๆอยู่ หากไปเข้าเฝ้าเช่นนี้ จะต้องเสียมารยาทมากเป็นแน่ ดังนั้นเธอจึงรีบกลับมายังตำหนักเจียวหยางเปลี่ยนเสื้อคลุมใหม่ในทันที ทั้งยังแต่งหน้าทำผมอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ออกมายังหน้าประตูวังสิงหวัง เฉินห้าวก็เปลี่ยนชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อย รออยู่หน้าประตูด้วยท่าทีที่ทรงพลังอำนาจ ดูดีมีราศี เขาขี่อยู่บนหลังม้าที่มีขนแผงคอเป็นสีแดงและมีลักษณะปราดเปรียว แข็งแรง บนร่างกายของเขาสวมชุดครุยยาวสีม่วงทั้งตัว มองดูแล้วสุภาพ สง่างาม แต่กลับมีความเย็นชา เฉียบคม รุนแรงเกินมาหน่อยนึง “เร็วเข้า!” เขาเร่งด้วยความรำคาญ เหลียงซินไม่พูดอะไรออกมา เหยียบลงบนเก้าอี้เล็กและขึ้นรถม้าไป เข้าวังหลวงคราวนี้ไม่ได้มีความกังวลใจขนาดนั้นเฉกเช่นครั้งแรกแล้ว ไม่ว่าจะยังไง เธอในก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เข้าวังหลวงมาก่อน ตอนนี้ดูแล้ว ก็เท่านั้นเอง ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาหยุดอยู่ที่นอกประตูวังหลวง เหลียงซินตามเฉินห้าวเดินเข้าไปทางห้องหนังสืออวี้ของฮ่องเต้หมิงเจา ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่ลอยปะทะเข้ามาบนใบหน้า ในใจของเหลียงซินมักรู้สึกว่าไม่ได้มีเรื่องดีอะไร เข้าวังหลวงครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้สบายแบบครั้งก่อนแล้ว หลังจากเข้ามาในห้องหนังสืออวี้ สิ่งที่พบก็มีเพียงฮ่องเต้หมิงเจาประทับอยู่บนเก้าอี้มังกร ทอดพระเนตรอย่างมืดครึ้มไปยังผงสีเหลืองอ่อนที่อยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ เหลียงซินสูดดมอย่างละเอียดก็ดมไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไร หลังจากที่ทั้งสองคนคารวะทำความเคารพตามธรรมเนียมแล้ว ฮ่องเต้หมิงเจาก็ทรงโบกพระหัตถ์ให้พวกเขาลุกขึ้น “ครั้งนี้ข้าให้พวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามาในวังหลวง เป็นเพราะเชื่อใจพวกเจ้า ยาห่อดูพวกเจ้าดูทีว่าเกิดอะไรขึ้น” ฮ่องเต้หมิงเจาตรัสจบ ก็ให้หลี่เต๋อที่อยู่ข้างกายนำผงที่มีสีเหลืองอ่อนส่งออกไป ครู่นี้ไกลเกินไปจึงดมไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไร ทว่า เมื่อผงนี้ได้มาอยู่ด้านหน้าแล้ว เหลียงซินก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นกลิ่นอะไร นี่คือยาที่ทำมาจากสารพิษที่รุนแรงสี่ห้าชนิดมาผสมรวมกัน นำมาบดอย่างละเอียดจนออกมาเป็นผง เพียงแต่ว่ายาพิษที่ใส่ลงไปกลับไม่ได้เยอะมาก ถือว่าเป็นยาพิษแบบเรื้อรังชนิดหนึ่ง “กราบทูลฮ่องเต้ นี่คือยาพิษแบบเรื้อรังชนิดหนึ่ง หลังจากที่คนใช้ยาเข้าไป ในระยะเวลาอันสั้นจะไม่ปรากฏปัญหาใดๆออกมา แต่ร่างกายจะค่อยๆอ่อนแอลง กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในก็จะเริ่มอ่อนแรง ความสามารถในการทำงานลดน้อยลง ระบบการทำงานของไตถดถอยและเสียชีวิตลงในที่สุดเพคะ” เหลียงซินพูดอย่างจริงจัง คนที่ใช้พิษนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะป้องกันด้วยวิธีใดก็ป้องกันไม่ได้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่นานในยาบำรุงของฮ่องเต้หมิงเจาก็ถูกคนเติมยาพิษลงไปไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ยังกล้าเพิ่มปริมาณต่อไปอีก มีชีวิตได้มากพอแล้วจริงๆ! “ฮึ ภายใต้กลางวันแสกๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนคิดอยากลอบทำร้ายข้า!” ฮ่องเต้หมิงเจาตบลงไปที่โต๊ะอย่างรุนแรง โกรธจนอาการไอกำเริบขึ้นมา ตั้งแต่ต้นจนจบเฉินห้าวไม่ได้พูดอะไรออกมาสักประโยค เพียงแต่มองไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เหลียงซินจ้องไปที่ฮ่องเต้หมิงเจา “เสด็จพ่อเพคะ พระองค์ทรงตรวจสอบพบแล้วหรือไม่ว่ามีใครกันแน่ที่ต้องการจะทำร้ายพระองค์?” “ยังไม่พบ คนของข้ากำลังตรวจหาอย่างทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน แต่ว่าหลักฐานความผิดบางอย่างที่ค้นหาและรวบรวมมาได้ ต่างก็ชี้ไปทางองค์รัชทายาท” ฮ่องเต้หมิงเจาตรัสขึ้นพร้อมทั้งไอออกมาเบาๆ “เป็นไปไม่ได้!” เฉินห้าวพูดโต้แย้งออกมาในทันที “กราบทูลเสด็จพ่อ องค์รัชทายาทเป็นคนเช่นไร ราษฎรทั่วหล้าต่างรู้ดี ไม่มีทางที่จะใช้วิธีวางยาพิษที่ชั่วร้ายเช่นนี้อย่างเด็ดขาดพะยะค่ะ” ทั้งสองคนต่างก็มองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนต่างก็รู้ว่าองค์รัชทายาทกับเฉินห้าวแม้จะเป็นพี่น้องท้อง เดียวกัน แต่เพราะเรื่องอำนาจทางการทหารก็ไม่ได้คบค้าสมาคมต่อกันอีก ตอนนี้เฉินห้าวกลับเชื่อในองค์รัชทายาด้วยวาจาที่ซื่อสัตย์จริงใจเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็ไม่กล้าที่จะเชื่อ “ข้าก็ไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำขององค์รัชทายาท แต่ว่าตอนนี้พระสนมเอกก็ได้รับพิษชนิดเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้พระชายาสิงเข้ามาในวังหลวง ก็เพราะเชื่อในฝีมือทางการแพทย์ของนางว่าจะต้องสามารถถอนพิษให้กับพระสนมเอกได้อย่างแน่นอน” พอนึกถึงองค์รัชทายาทผู้ที่ทำเพื่อชาติเพื่อราษฎร อบอุ่นดุจดังหยกแล้ว เหลียงซินก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ตอนนี้พระสนมเอกกับฮองเฮาเป็นเหมือนขมิ้นกับปูน และพระสนมเอกมาได้รับพิษในเวลานี้ ผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือองค์รัชทายาท เห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นไปได้ไหมที่มีคนตั้งใจวางกับดักเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนให้ได้ เธอเชื่อว่า เฉินห้าวก็เหมือนกับเธอเช่นเดียวกัน “กราบทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดทำให้สำเร็จ จะต้องถอนพิษให้กับพระสนมเอกได้อย่างแน่นอนเพคะ” เหลียงซินพูดขึ้นอย่างแน่วแน่ ฮ่องเต้หมิงเจาทรงพยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถิด ข้าได้ให้หมอหลวงทั้งหลายคอยช่วยเหลือเจ้าแล้ว หากต้องการสิ่งใดแค่บอกสำนักหมอหลวงก็เป็นพอ” ออกจากประตูห้องหนังสืออวี้ แสงอาทิตย์ด้านนอกแยงตามากเป็นพิเศษ ราวกับว่าพระอาทิตย์ในวังหลวงต่างก็ไม่เหมือนด้านนอกยังไงอย่างงั้น ตลอดทาง เฉินห้าวต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา ทว่า เหลียงซินยังคงสามารถรู้สึกถึงความทรงพลังที่เต็มเปี่ยมบนตัวเขาได้อย่างชัดเจน ทั้งตัวเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง ก็จริงอยู่ คนธรรมดาทั่วไปได้ยินพี่ชายของตนเองถูกให้ร้าย ต่างก็ไม่เชื่อกันทั้งนั้น “เฉินห้าว ครู่นี้พระองค์ช่วยองค์รัชทายาทออกปาก ก็เป็นเพราะเชื่อใจเขาเหมือนกันใช่หรือไม่เพคะ?” เหลียงซินเงยหน้าขึ้น ดวงตาสองข้างที่ส่องสว่างราวกับแสงจันทร์ก็ไม่ปานจ้องมองไปที่เขา เฉินห้าวมองไปที่เธอครู่หนึ่งด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “คำพูดของเจ้าช่างมากมายนัก” “นี่ก็เท่ากับว่าพระองค์ยอมรับตรงๆแล้วสินะ ที่จริงแล้วหม่อมฉันก็เชื่อว่าองค์รัชทายาทไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ออกมาแน่ ดังนั้น พระองค์จะต้องช่วยองค์รัชทายาทล้างมลทินนี้นะเพคะ” ในน้ำเสียงของเหลียงซินแฝงไปด้วยการออกคำสั่งเสียมากกว่า คำพูดเพิ่งร่วงลงมา สายตาที่เย็นยะเยือกของเฉินห้าวก็ตกไปบนร่างกายของเธอ ตักเตือนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ทางที่ดีที่สุดเจ้าเอ่ยชื่อเฉินหยวนผู้นี้ต่อหน้าข้าให้น้อยลงหน่อย” พูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหลียงซินมองไปยังแผ่นหลังของเขา ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่แยแสพลางด่าในใจ ยอดเยี่ยมอะไรกัน แม้แต่พี่ชายแท้ๆของตนเองยังไม่ยอมรับ ในอนาคตจะต้องกรรมตามสนองอย่างแน่นอน! วินาทีต่อมา ด้านหลังก็ดังสะท้อนเสียงฝีเท้าม้าที่กำลังเร่งรีบเข้ามา พละกำลังราวกับกองกำลังทหารและม้านับพันนับหมื่นกำลังอึกทึกมุ่งตรงเข้ามา ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เหลียงซินหันกลับไปอย่างแปลกใจ ก็เห็นม้าสีขาวตัวหนึ่งกำลังมุ่งหน้าพุ่งตรงเข้ามาทางด้านที่เธอยืนอยู่ ดวงตาของเธอเบิกโพลงขึ้นในทันที คนทั้งคนถูกความหวาดกลัวจนทำให้กำลังจะม้วนตัวราวกับเสื่อเพื่อหลีกออกไป ทว่าใน ช่วงเวลานี้เอง ขาของเธอก็หนักอึ้งราวกับถูกกรอกตะกั่วใส่ลงไปยังไงอย่างงั้น ยกขึ้นไม่ไหว วิ่งหนีก็ไม่ได้ ดวงตาที่เบิกโพลงของเธอมองไปยังม้าตัวนั้นที่พุ่งเข้ามาหาเธอด้วยความรวดเร็ว... “อ๊า!” เธอร้องเสียงดังออกมาจากจิตใต้สำนึก ทว่า กลับไม่ได้เจ็บปวดเหมือนกับที่ได้คาดการณ์เอาไว้ หากยังรู้สึกว่าทั้งตัวของเธอถูกคนอุ้มขึ้น หลังจากหมุนอยู่ในอากาศสองรอบ ถึงถูกวางตัวลงกับพื้นราบ เหลียงซินแอบลืมตาขึ้นเล็กน้อย ก็มองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่ขยายใหญ่ขึ้นเพราะอยู่ในระยะประชิดของเฉินห้าว ที่แท้เป็นเขาที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้! แต่ว่า ปกติเขาไม่ใช่ว่ารังเกียจเธอที่สุดหรอกหรือ?เหตุใดในช่วงเวลาเช่นนี้ถึงได้เข้ามาช่วยชีวิตเธออย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น? “หยุดเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าที่บึ้งตึงของเฉินห้าวพุ่งทยานขึ้นไปหยุดม้าตัวนั้นที่ถูกใช้แรงบังคับให้เคลื่อนที่เข้าไปในวังหลวงไว้ในทันที ผู้ที่ขี่ม้าก็คือองค์หญิงรุ่ยเหอ นางรีบดึงบังเหียนให้ม้าหยุดลงในทันที ทั้งตัวจ้องไปที่เฉินห้าวด้วยความโกรธจนควันออกหู “นี่พระองค์ยังทรงกล้ารั้งหม่อมฉันเลยเชียวหรือเพคะ?” “ครู่นี้เจ้าเกือบจะชนเข้ากับพระชายาของข้า ลงมาขอโทษเดี๋ยวนี้!” เฉินห้าวยืนอยู่พอดีกับเบื้องหน้าของนางด้วยท่าทางที่ตรงนิ่ง ออกคำสั่งขึ้นอย่างรุนแรงและทรงพลัง เหลียงซินเกือบจะตกใจจนอ้าปากค้าง เขา...เขาพูดว่าอะไรนะครู่นี้? พระชายาของข้า? องค์หญิงลุ่ยเหอจ้องไปที่เฉินห้าวด้วยความโกรธจนลนลานเหนื่อยหอบ ตามมาด้วยกวาดตามองมายังเหลียงซินด้วยความทระนงเป็นอย่างยิ่ง “มีเหตุผลอะไรให้หม่อมฉันต้องไปขอโทษนาง?เป็นนางที่ขวางทางหม่อมฉันก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หม่อมฉันกำลังรีบไปดูเสด็จแม่ พี่ห้าถ้าหากพระองค์ขวางทางหม่อมฉันไว้ล่ะก็ เชื่อหรือไม่ว่าหม่อมฉันจะไปกราบทูลเสด็จพ่อ?” เฉินห้าวยิ้มขึ้นอย่างดุดันและเย็นชาราวกับมัจจุราชที่มาจากขุมนรก ด้วยความรวดเร็ว เขาก็กระโดดพุ่งขึ้นไปด้านบน จับองค์หญิงรุ่ยเหอเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ยกนางขึ้นทั้งตัวแล้วโยนลงบนเบื้องหน้าของเหลียงซินราวกับทิ้งตุ๊กตาผ้า ริมฝีปากบางของเขาเอ่ยซ้ำขึ้นอีกครั้ง “ขอโทษ”
已经是最新一章了
加载中