ตอนที่ 40 ผู้ที่ขวางทางจะต้องตาย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 40 ผู้ที่ขวางทางจะต้องตาย
ต๭นที่ 40 ผู้ที่ขวางทางจะต้องตาย แต่ว่า ความเจ็บปวดที่ได้คาดการณ์เอาไว้กลับไม่ได้มาถึง พอเหลียงซินร่วงลงมาที่พื้น ก็ตกลงมาบนหน้าอกที่อบอุ่น จากนั้นก็กลิ้งตกลงไปบนพื้นหลายรอบอย่างรวดเร็ว สมองของเธอเบลอไปหมด กระทั่งเธอลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ได้เห็นก็คือสีหน้าที่อ่อนโยนของเฉินห้าวกำลังนำเธอวางไว้ในมุมที่อยู่ด้านข้าง ในความมืดมิด ดวงตาสีเข้มทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน “กราบทูลท่านอ๋อง มีคนลอบสังหารเพคะ!พระองค์รีบพาพระชายาหลบหนีไปก่อน พวกหม่อมฉันอยู่รับมือก็พอ” เสียงของจุยเฟิงดังสะท้อนเข้ามาจากที่ห่างไกล เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ไม่นาน คนชุดดำทั้งหลายก็กระโดดเข้ามาจากด้านนอกกำแพง ทุกคนปิดบังใบหน้า ในมือถือกระบี่ยาว ใบหน้าเผยให้เห็นความชั่วร้ายและดุดันที่มากมายมหาศาล คนชุดดำเหล่านี้ล้อมรอบพวกเธอเอาไว้ พูดอย่างน้อยหน่อยก็หลายสิบกว่าคน แต่พวกเธอมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หากต้องการจะฆ่าคนแล้วออกไปจากวงล้อมนี้ ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น โชคยังดีที่ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้เหลียงซินได้เรียนเคล็ดวิชากำลังภายในที่เหลียงต้งทิ้งเอาไว้ให้ จึงไม่มีความหวาดกลัวคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนปกป้อง เธอก็ไม่กลัว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเฉินห้าวจะเกินกว่าที่เธอได้คาดการณ์เอาไว้ เขาเรียกลูกน้องเข้ามา “จู๋เยว่ เจ้าคุ้มกันพระชายาไว้ให้ดี หากนางได้รับบาดเจ็บ ความรับผิดชอบตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว” “ท่านอ๋อง!” จู๋เยว่มายังข้างกายของเหลียงซินอย่างรวดเร็ว จากนั้นเฉินห้าวกระโดดพุ่งตัวขึ้นไปอย่างสุดกำลัง ทยานออกไปในทันที สิ่งที่เห็นมีเพียงเขาที่สวมชุดครุยยาวสีม่วง ผมดำขลับรัดเกล้าสีทอง รูปร่างสูงโปร่งยืนตรงอยู่ตรงกลาง ร่างกายแผ่ขยายไปด้วยพลังและอำนาจขององค์ชาย จิตสังหารค่อยๆเพิ่มมากยิ่งขึ้น ราวกับผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากขุมนรก ความเป็นความตายทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ไม่ปาน “พวกเจ้าน่าจะรู้ ผู้ที่ขวางทางของข้า ตาย” เส้นเสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่า ราวกับฝนพายุที่กำลังจะเข้ามาถึง ต่างก็บอกว่าเฉินห้าวเคยเป็นแม่ทัพที่องอาจคอยสั่งการถึงสามเหล่าทัพ อายุไม่ถึงสิบขวบก็ตามฮ่องเต้ที่ทรงเสด็จออกศึก อายุสิบห้าก็ไปทางด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำโผซัวป้องกันไม่ให้รัฐอื่นบุกเข้ามาโจมตีได้ และยังนำกองกำลังทหารติดตัวไปเพียงแค่ห้าพันคนกำจัดกองกำลังทหารใหญ่หลายหมื่นคนของศัตรูฝ่ายตรงข้าม เป็นคนที่มีความสามารถในการเป็นผู้นำทหารที่ในยุคนี้ยากที่จะหาใครเปรียบได้ ตอนนี้ดูแล้ว ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็มีความรู้สึกน่ากลัวที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าไปใกล้ บนใบหน้านั้นจงใจแสดงออกถึงรอยยิ้มชั่วร้าย ราวกับลมเย็นๆที่พัดผ่านใบหน้าของทุกคนไป “เพียงแค่เป็นคนของวังสิงหวัง สักคนก็อย่าให้เหลือ!” หัวหน้าคนชุดดำประกาศคำสั่งที่ได้รับมอบหมายออกมา ทันใดนั้นคนชุดดำหลายสิบคนก็ล้อมเข้ามาราวกับผึ้งทั้งรัง ทำให้เฉินห้าวติดอยู่ตรงกลาง เหลียงซินตกตะลึงจนอ้าปากค้างมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในใจไม่ได้คิดใดอื่น ตลอดเวลาคิดเพียงแค่ เฉินห้าวจะสามารถหนีออกมาอย่างมีชีวิตรอดได้หรือไม่ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ นับประสาอะไรกับคนเหล่านี้ที่ดูก็รู้ว่าเป็นมือสังหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ทุกคมดาบล้วนต้องการที่จะคร่าชีวิต พื้นที่ว่างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังไม่เหลือไว้ให้ ช่างโหดร้ายเกินไปจริงๆ! เฉินห้าวที่ถูกล้อมไว้ตรงกลาง ในมือร่ายรำกระบี่ยาว ถอยหลังออกไปทีละก้าวๆภายใต้การโจมตีที่แข็งแกร่งของคนชุดดำ ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว... “จุยเฟิง เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่?ยังไม่รีบไปช่วยท่านอ๋องของเจ้าอีก?” เหลียงซินเสียงดังออกมาภายใต้สถานการณ์ที่คับขัน ทว่า จุยเฟิงกลับดูเหมือนก้อนหินยืนนิ่งอยู่ข้างกายเธอ ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว “ท่านอ๋องมีรับสั่งจำต้องคุ้มกันพระชายา หม่อมฉันไม่กล้าฝ่าฝืนรับสั่งเพคะ” “เฉินห้าวคนเดียวจะสามารถสู้ชนะคนตั้งมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?หากเจ้ายังไม่ไปช่วยพระองค์อีก พระองค์ก็คงจะถูกฆ่าตายแน่ๆ!ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวได้ไม่มีปัญหาอะไร” เหลียงซินโน้มน้าวด้วยจิตใจที่ร้อนลน ในช่วงเวลาที่ไม่สามารถจะรับมือได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงได้เป็นห่วงเฉินห้าวถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่ถ้าเขาตาย สำหรับเธอแล้วมีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย ทว่า เหตุใดเธอถึงได้เป็นห่วงเขาขนาดนี้กันล่ะ? “วิชาการต่อสู้ของท่านอ๋องแข็งแกร่ง กำลังภายในหนาแน่น ทั้งรัฐหนานเยว่ไม่มีใครสามารถมาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้ คนชุดดำแค่ไม่กี่คนนี้ไม่มีค่าพอให้หวาดกลัวหรอกเพคะ” ในน้ำเสียงของจุยเฟิงมีความภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย คางล้วนถูกยกเสียสูงขึ้น เพียงครู่เดียวเหลียงซินก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีก ดูแล้วเธอคงคิดมากเกินไป เธอรีบสูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างทันที ทำเหมือนครู่นี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา สถานการณ์การสู้รบที่อยู่เบื้องหน้าทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่เฉินห้าวถูกบีบให้ถอยไปจนมุมกำแพง ทันใดนั้นก็ถอยหลังแล้วพลิกกลับมา ด้านหลังสาดลมเบาๆออกมาวูบหนึ่ง พลังที่แข็งแกร่งไหลเป็นเกลียวไปที่รอบตัวเขาในทันที กระทั่งผ่านไปสามวินาที เขาก็กางแขนออก กวัดแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมือ คนชุดดำทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าถูกพลังจากปลายดาบได้รับบาดเจ็บล้มลงไปกองกับพื้นอย่างกระจัดกระจาย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กำลังภายในของเขา หนาแน่นมากจริงๆ สิ่งที่เหลียงซินเรียนไปเมื่อหลายวันก่อน เทียบกับเขาแล้ว แม้แต่เส้นผมเพียงเส้นเดียวก็ยังเทียบไม่ได้ “เลือกที่ยังมีชีวิตอยู่สักสองสามคน พากลับเข้าไปในวังของข้าสอบปากคำอย่างละเอียด เรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไปให้ใครได้รับรู้ ข้าต้องการจะจัดการด้วยตัวเอง”เฉินห้าวเก็บกระบี่ลง เอามือไขว้หลังพลางยืดตัวตรงขึ้น “เพคะ ท่านอ๋อง” จุยเฟิงกับจู๋เยว่รีบเข้าไปตรวจสอบทันที เหลียงซินก็ผ่านริมด้านข้างของคนชุดดำเหล่านี้เดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง ทว่า ในช่วงที่กำลังจะไปถึงข้างกายของเฉินห้าวนั้น คนชุดดำคนหนึ่งที่ล้มลงไปกองกับพื้นก็ชูกระบี่ในมือขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง จ่อแทงเข้าไปที่เธอ... “ระวัง!” เฉินห้าวตะโกนร้องเตือนขึ้น โอบเอวของเธอเลี้ยวหลบ กระบี่เล่มนั้นจึงแทงเข้าไปที่แขนของเขาพอดี “ซี๊ด” เสียงเบาๆดังขึ้น บนแขนของเขามีบาดแผลถูกกรีดเป็นทาง เพียงครู่เดียวเลือดสีแดงสดก็ทะลักออกมาจากบาดแผลของเขาที่ลึกจนเห็นกระดูก เหลียงซินถึงเพิ่งจะมีการตอบสนอง เป็นเพราะเขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้! ทว่า เป็นเพราะเหตุใด เขาจึงต้องช่วยชีวิตเธอ? “ยืนอึ้งอะไรอยู่?ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าห้ามเลือดอีก?” สีหน้าของเฉินห้าวที่ค่อยๆซีดเซียวลง ตะโกนมาหาเธอ เหลียงซินจึงได้สติกลับมา รีบหยิบกล่องยาลงมาจากรถม้า ดึงผ้าพันแผลออกมา ช่วยพันรอบบาดแผลของเขาด้วยท่าทีที่คล่องแคล่วชำนาญ “บาดแผลของพระองค์ลึกมาก ตอนนี้หม่อมฉันช่วยจัดการห้ามเลือดเอาไว้ก่อน หลังจากกลับไปอาจจะต้องเย็บ” “เย็บ?” เฉินห้าวมองไปที่เธอด้วยความไม่เข้าใจ ในตอนนี้เธอกำลังพันแผลให้เขาด้วยความระมัดระวัง และจริงจังเต็มที่ คิ้วที่โค้งยาวราวกับถูกวาดอย่างประณีตของเธอ ขนตาที่ยาวเป็นธรรมชาติดูเหมือนปีกของนางฟ้างอนขึ้นเล็กน้อย ล่างลงมาจากจมูกที่ยกสูงได้รูปก็คือสิ่งที่เคยถูกเขาประทับจูบลงไป ริมฝีปากที่เป็นสีแดงสดตลอดเวลา รูปโฉมของนางไม่ถึงกับงามล่มชาติล่มเมือง แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ก็ถือเป็นอันดับต้นๆเลยทีเดียว หากบอกว่าเหลียงยินเป็นเหมือนกับดอกมะลิที่เขินอาย เช่นนั้นเหลียงซินก็คือดอกโบตั๋นที่สีสันแสบตาอยู่ตลอดเวลาจนไม่สามารถที่จะมองตรงๆได้ ร้อนแรง ทำให้คนยากที่จะลืม แม้แต่เฉินห้าวเองต่างก็อึ้งไปในทันที นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? เขาจะให้ความสนใจกับเหลียงซินถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน? “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ?” เหลียงซินเรียกเขาอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็รู้สึกรำคาญจนเข้าไปใกล้ที่ข้างหูของเขาแล้วร้องเรียกขึ้น “เฉินห้าว!” คิ้วทรงกระบี่ของเขาขมวดแน่น ดูเหมือนแม้แต่บาดแผลที่แขนต่างก็ไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว “ข้าไม่ได้หูหนวก” “หม่อมฉันได้ให้จุยเฟิงกลับเข้าวังไปหาลำไส้แพะก่อนแล้วนะเพคะ อีกครู่เดียวหม่อมฉันจะเย็บให้พระองค์ มิเช่นนั้นแผลก็จะไม่มีทางสมาน ตอนนี้พวกเราก็รีบกลับกันเถิดเพคะ” เหลียงซินมองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่จริงจัง หวังว่าเขาจะสามารถให้ความร่วมมือ เธอในตอนนี้ ก็คือหมอที่รับผิดชอบต่อคนไข้ รับผิดชอบต่ออาชีพของตนเอง ขอเพียงแค่เป็นคนไข้ เธอก็จะช่วยพวกเขาด้วยความตั้งใจ นี่เป็นหลักการที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดของคนที่เป็นแพทย์พึงจะมี ถึงแม้ว่า คนไข้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอในตอนนี้ จะเป็นเฉินห้าวที่เธอรังเกียจมากที่สุดก็ตาม จู๋เยว่ที่ได้ฟังอยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าเหตุใดจึงดูไม่น่าเชื่อถือถือถึงเพียงนี้ จึงออกความคิดเห็นขึ้นมาว่า “กราบทูลท่านอ๋อง ตามที่หม่อมฉันได้เห็น คิดว่าอย่างไรก็เรียกหมอหลวงมาทำการรักษาน่าจะดีกว่านะเพคะ” เฉินห้าวกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ต้อง ข้าเชื่อใจพระชายา” ทั้งสามคนกลับเข้ามาถึงในวัง เวลานี้สีของท้องฟ้ามืดสนิทลงแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาสีหน้าของเฉินห้าวยิ่งซีดขาวลงหลายระดับอย่างเห็นได้ชัด ดูแล้วเหตุผลเป็นเพราะว่าเลือดยังคงไม่หยุดไหล หลังจากเข้ามาในห้อง เหลียงซินรีบหยิบกรรไกรมาตัดชุดครุยของเขาออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่กำยำแข็งแรง ฉากที่อยู่ต่อหน้านี้กลับทำให้เหลียงซินอึ้งตะลึงงัน บนหน้าอก ท่อนแขนของเขา ต่างก็เป็นรอยลึกมากมาย แผลเป็น ที่บาดแผลไม่ได้ส่งผลข้างเคียงอะไร แผลจากมีด แผลจากกระบี่ แผลจากธนู บาดแผลชนิดต่างๆที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเต็มไปทั่วร่างกายของเขา แม้แต่ข้างๆหัวใจต่างก็มีรอยแผล ดูแล้ว บาดแผลพวกนี้ล้วนน่าจะหลงเหลือมาจากตอนที่เขายังคงเป็นแม่ทัพ เหลียงซินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ดวงแข็งจริงๆ! “ท่านผู้หญิง เก็บน้ำลายของท่าน เลิกดูได้แล้ว” เฉินห้าวจ้องมาที่เธอ พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เหลียงซินกรอกตามองบน หมุนตัวกลับหลีกทางให้จุยเฟิงกับจู๋เยว่จุดเทียนที่อยู่ทั่วทุกมุมภายในห้อง เพียงครู่เดียว ห้องทั้งห้องก็สว่างไสวราวกับตอนกลางวันขึ้นมาในทันที เมื่อเปิดกล่องยาออกมา ก็สามารถมองเห็นว่าข้างในได้เพิ่มสิ่งใหม่ๆลงไปมากมาย รวมทั้งเข็มเย็บแผล เส้นลำไส้แพะ แอลกอฮอล์ เข็มทั่วไป เป็นต้น เธอพยักหน้าอย่างชมเชย “สิ่งของจัดหามาได้ไม่เลว” จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเสียดายเล็กน้อยในทันที “เพียงแต่ว่าไม่มียาชา อีกสักครู่ตอนเย็บจะเจ็บมาก เฉินห้าว พระองค์จะทรงอดทนไหวไหมเพคะ?” เฉินห้าวไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย “มีความเจ็บแบบไหนที่ข้ายังไม่เคยได้รับ?เจ้ามาได้ตามสบาย” มองดูใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขาแล้ว เหลียงซินกลับรู้สึกคาดหวังขึ้นมาจริงๆว่า อีกสักครู่จะได้เห็นเขามีท่าทีเจ็บจนทนไม่ไหว เป็นลมล้มพับไป อะไรทำนองนั้น ไม่ว่าจะยังไง การเย็บแผลก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากระดับความเจ็บปวดมากเกินไป มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะเกิดภาวะช็อกได้ นี่ยังคงเป็นปัญหาที่ว่าเขาจะสามารถอดทนได้หรือไม่ เธอให้ตะเกียบเขาไว้หนึ่งอันอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร “อีกสักครู่หากพระองค์เจ็บจนทนไม่ไหวก็กัดอันนี้ไว้ หลีกเลี่ยงการกัดลิ้นตัวเอง” เฉินห้าวโกรธจนหน้าเขียวพลางมองไปที่เธอ วินาทีต่อมาก็ปัดตะเกียบที่อยู่ในมือของเธอหล่นลง การเย็บแผลเป็นหนึ่งในขั้นตอนการผ่าตัดที่เธอคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรได้อีก เธอดึงผ้าพันแผลที่แขนของเฉินห้าวออก ร้อยลำไส้แพะเข้าไปในเข็มที่อยู่บนมือ จากนั้นก็ฆ่าเชื้อโรคด้วยแอลกอฮอล์ ตามมาด้วยสิ่งที่สำคัญที่สุด ขั้นตอนการเย็บแผล บาดแผลที่อยู่บนแขนของเขาลึกจนเห็นกระดูก แต่ว่าไม่ได้ยาวมากนัก เหลียงซินใช้สายตาประเมินดูแล้ว ไม่น่าจะเกินสิบเข็ม การเคลื่อนไหวของเธอดูคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ แม่นยำและว่องไว ทั้งยังพยายามอย่างมากที่สุดที่จะลดความเจ็บปวดของเฉินห้าว แต่ก็จนปัญญา ในเมื่อไม่มียาชา ก็ยังคงต้องเจ็บปวดมากอยู่ดี เธอถึงกับรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างกายของเขากำลังสั่น เฉินห้าวกัดฟันแน่น เขาถึงขนาดรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงเข็มที่กำลังดึงเส้นด้ายขึ้นมาและแทงกลับเข้าไปใหม่ ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวล้วนเป็นความรู้สึกเจ็บแบบเจาะลึกเข้าไปในหัวใจทิ่มแทงลงไปในกระดูก ทว่า ความเจ็บเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เทียบไม่ได้กับการที่เขาได้รับบาดเจ็บตอนอยู่ในสนามรบ เทียบไม่ได้กับการที่พี่ชายแท้ๆของเขากราบทูลเสนอต่อเสด็จพ่อยึดอำนาจทางการทหารของเขาไป ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามกว่า เหลียงซินก็จัดการเข็มสุดท้ายได้สำเร็จ เธอเย็บแผลจนทั่วทั้งใบหน้าและศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ ทว่า เฉินห้าวแสดงออกได้อย่างดีมาก ตลอดขั้นตอนไม่ได้เอ่ยอุทานออกมาสักคำ ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย เป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งไม่ยอมแพ้อย่างที่คิดไว้จริงๆ “เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ ผ่านไประยะหนึ่งก็สามารถดึงด้ายออกได้แล้ว โชคยังดีที่แผลไม่ได้ลึกเข้าไปถึงกระดูก” ในน้ำเสียงของเธอแสดงออกถึงความดีใจ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลตกลงมาจากหน้าผากของเฉินห้าว สายตาของเขาตกไปอยู่ที่รอยเย็บบนบาดแผลที่เป็นระเบียบบนแขนของเขา มุมปากค่อยๆโค้งขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง เหลียงซินรู้สึกคิดไม่ตกว่านั่นหมายความว่าอย่างไร 
已经是最新一章了
加载中