ตอนที่ 44 แอบหนีออกนอกวัง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 44 แอบหนีออกนอกวัง
ต๭นที่ 44 แอบหนีออกนอกวัง เฉินเช่อมองไปที่เหลียงซินด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา “พี่สะใภ้ห้า เช่นนั้นท่านคิดว่าเป็นเล่า?ที่สามารถทำให้ท่านตกใจถึงเช่นนี้?” ระยะนี้วังสิงหวังเกิดสถานการณ์อันตรายได้อย่างไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าถูกคนจำนวนมากมายแค่ไหนจับตามอง แม้จะมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจที่จะสามารถละเลยได้ เหลียงซินไม่ได้ตอบ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน “องค์ชายสิบเอ็ด เหตุใดวันนี้พระองค์จึงเสด็จออกจากวังหลวงมาที่นี่ได้เพคะ?เป็นเพราะมีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” เขามองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง ทั้งยังดึงแขนเสื้อของเหลียงซินให้เธอย่อลงมา จากนั้นก็เหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อยก็ไม่ปานพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาอยู่ที่ข้างใบหูของเธอว่า “ข้าแอบหนีออกมาจากในวังหลวงเพื่อมาหาท่านไปเที่ยวเล่น ท่านอย่าได้บอกผู้อื่น!” “หาหม่อมฉัน?” เหลียงซินพูดขึ้นอย่างกลัดกลุ้ม “แต่ว่าหม่อมฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเพคะว่าด้านนอกวังหลวงมีอะไรน่าสนุก” นับตั้งแต่หลังจากที่เธอย้อนเวลามาที่นี่นั้น นอกจากไปวังหลวงแล้ว เธอยังไม่เคยได้เดินเล่นในถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อยในเมืองหลวงเลยสักครั้ง หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้นอกจากคิดหาแผนการเพื่อต่อสู้กับศัตรูแล้ว ก็ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ แม้แต่ตลาดนัดหน้าตาเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ “ข้ารู้ ข้าพาท่านไป ด้านนอกนี่น่ะสนุกมากเลย!” เฉินเช่อเอามือตบไปที่หน้าอกด้วยคำมั่นที่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งราวกับการหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกวังหลวงนี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแล้ว มองไปยังสายตาที่คาดหวังราวกับเด็กน้อยของเขา เหลียงซินก็ไม่ยินยอมที่จะให้เขาหมดสนุกโดยเด็ดขาด เพียงแต่เธอไม่อาจออกจากวังสิงหวังได้ตามอำเภอใจ ถ้าหากจะออกไป ก็ทำได้เพียงออกไปจากประตูข้างที่อยู่ตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกจำเป็นต้องกลับมาให้ถึง เช่นนี้ถึงจะไม่ทำให้ใครสงสัยได้ เธอเรียกหาชิวเยว่กับชุนฮวามาทำเหมือนครั้งก่อน เฝ้าอยู่ที่บริเวณประตูข้าง จากนั้นจึงได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเฉินเช่อ อย่างสบายใจ “องค์ชายสิบเอ็ด พระองค์เสด็จออกมาไม่มีขันทีตามมาด้วยหรือเพคะ?” เหลียงซินมองไปรอบๆ เงาคนๆหนึ่งก็ยังไม่มี “ข้าให้พวกเขารออยู่ที่ด้านนอกประตูวังหลวงแล้ว ถึงเวลาก็เข้ามารับข้ากลับไปได้เลย วางใจเถิด ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรอก!” เขากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง จับมือของเหลียงซินเอาไว้แล้วเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมายังตลาดนัดที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง บนถนนเต็มไปด้วยของเล่นและอาหารนานาชนิด พ่อค้ารายย่อยตะโกนเรียกขายของตลอดทาง ผู้คนจอแจขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง ถนนเส้นนี้ดูเหมือนจะมองไปไม่เห็นสุดทางเดิน นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่เหลียงซินได้เห็นถนนยุคโบราณที่เฟื่องฟูเช่นนี้ ช่างครึกครื้นโดดเด่นทำให้คนเพลิดเพลินจนลืมกลับจริงๆ ยังเดินได้ไม่นานนัก ของที่เหลียงซินซื้อในมือก็ถือได้ไม่หมดแล้ว เพียงแค่เป็นของที่เธอชอบ เฉินเช่อก็ล้วงกระเป๋าที่เอวช่วยเธอซื้อในทันที อายุยังน้อยๆก็เป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้ โตขึ้นไปไม่รู้จะทำให้เด็กผู้หญิงอีกสักกี่คนหลงใหล ไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว ก็มาถึงยังช่วงเวลาเที่ยงวัน “พี่สะใภ้ห้า ด้านหน้ามีตึกป๋ายเซียงอยู่ พวกเราเข้าไปดูด้านในกันเถอะ” เฉินเช่อจับไปที่มือของเหลียงซิน พาเธอเดินไปทางด้านตึกป๋ายเซียง สิ่งที่เจ้าของร่างเดิมคนก่อนชอบมากที่สุดก็คือการกินของกินที่ด้านในตึกป๋ายเซียง คราวก่อนที่เฉินต้งนำเค้กดอกกุ้ยฮวามาให้ก็ทำให้เธอนั้นยากที่จะลืม และยังได้ยินมาว่าเถ้าแก่ของตึกป๋ายเซียงก็คือเซี่ยฮว่านจือ ตึกป๋ายเซียงคือภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในทั้งเมืองหลวง ด้านหน้าตึกโอ่อ่าตระการตา ด้านในเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน สวยงามสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาผ่านพ้นประตูทางเข้า ด้านในก็เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด หลังจากที่พวกเขาเข้าประตูมา เสี่ยวเอ้อร์ก็ช่วยพาพวกเขาเดินไปทางห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน ชายผู้หนึ่งที่เดินหันหน้าเข้ามาก็ชนเข้ากับเหลียงซินอย่างจัง กระดูกสะบักของเธอถูกชนจนเจ็บเป็นอย่างยิ่ง “เฮ้ย!เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร?ชนคนแม้แต่คำขอโทษสักคำก็ไม่พูดอย่างนั้นรึ?” เฉินเช่อเรียกให้หยุดอย่างทะนงตน หมุนตัวเดินเข้าไปอย่างลูกผู้ชายอกสามศอก ชายผู้นั้นหันกลับมา เห็นเขาเป็นเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เพียงครู่เดียวก็จับไปที่ปกคอเสื้อของเขาจากนั้นก็ยกเขาขึ้นมา “อาศัยแค่เจ้าก็กล้าที่จะมาพูดจาเช่นนี้กับข้างั้นรึ?” พูดจบ ข้ารับใช้ชายสองสามคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็เข้ามาคุ้มกันที่ด้านหน้าชายผู้นั้นในทันที “เจ้าปล่อยข้า!” เฉินเช่อมือกำหมัดแน่น จากนั้นก็ทุบเข้าไปบนใบหน้าชายผู้นั้นในทันที เพียงครู่เดียวก็ต่อยจนตาข้างหนึ่งเป็นรอยตาแพนด้าออกมาจนต้องรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว “เจ้า ไม่นึกว่าจะกล้าต่อยข้า!เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” ชายผู้นั้นเอามือกุมไปที่ดวงตาพลางตะโกนขึ้นอย่างโกรธจัด “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?” เฉินเช่อกราดเกรี้ยวยิ่งกว่าเขา เหลียงซินเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปดึงตัวองค์ชายสิบเอ็ดคุ้มกันเอาไว้ที่ด้านหลังทันที จากนั้นก็มองไปยังชายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างดูหมิ่น “คุณชายท่านนี้ เดิมทีเป็นท่านที่มาชนข้าก่อน ตอนนี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว” วันนี้คือการแอบหนีออกมาเที่ยวเล่น ทางที่ดีที่สุดก็อย่าได้มีปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามาเลย หลังจากที่เหลียงซินพูดจบก็หมุนตัวกลับเตรียมขึ้นไปชั้นบน ทว่าต้นแขนของเธอกลับถูกคนกระชากอย่างแรก ดูเหมือนว่าคนๆนั้นไม่ได้คิดที่จะปล่อยเธอไป “ทำร้ายข้าแล้วคิดจะหนี ไม่มีเรื่องที่ง่ายขนาดนั้นหรอก วันนี้ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้ารับผิดชอบผลที่ก่อขึ้นเอาไว้ให้ได้!ส่งคนมา จัดการพวกมันให้ข้า!” ในวินาทีนั้น ข้ารับใช้ชายห้าถึงหกคนก็ล้อมรอบเข้ามา วิชาการต่อสู้ของเหลียงซินก็นับว่าเรียนได้ไม่เลว หากอาศัยทักษะและพละกำลังของเธอในตอนนี้แล้ว รับมือกับข้ารับใช้ชายไม่กี่คนเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แต่เธอไม่อยากลงมือก่อเรื่อง คิดว่าปรับความเข้าใจหลีกเลี่ยงการใช้กำลังจะดีกว่า คิดไม่ถึงว่าผู้อื่นจะไม่มีความหมายที่จะปล่อยเธอไป ข้ารับใช้ชายไม่กี่คนเหล่านั้นพุ่งตรงเข้ามาล้อมรอบเธอด้วยพลังความโกรธที่รุนแรงเอาไว้ บีบบังคับให้เธอต้องลงมือ พอดีกับตอนที่เธอกำลังจะลงมือนั้น ก็มีเสียงที่สุภาพอ่อนโยน แต่กลับคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขามดังสะท้อนมาจากทางด้านหลัง “หยุดนะ!ที่นี่คือตึกป๋ายเซียง จะให้พวกท่านมาปล่อยตัวตามสบายที่นี่ได้อย่างไรกัน!” เหลียงซินหันกลับไปมอง สิ่งที่เห็นก็คือเซี่ยฮว่านจือที่มีท่าทีที่สุภาพสง่างามกำลังเดินลงมาจากชั้นบนอย่างช้าๆ เสื้อสีขาวทับด้วยกระโปรงยาว เดินอยู่เพียงลำพัง มองดูไกลๆแล้วราวกับเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่ปาน ทำได้เพียงแค่มองดู ไม่อาจที่จะสามารถเข้าไปใกล้ นี่ก็คือเซี่ยฮว่านจือที่มีความรักใคร่ชอบพอกับพี่หญิงใหญ่ แต่กลับไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้ “เฮอะ เถ้าแก่เซี่ย นี่เป็นเรื่องของข้า ยังไม่ถึงทีให้ท่านได้เข้ามาแทรกมือ วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าสองคนนี้ให้ได้!” น้ำเสียงของชายผู้นั้นแข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “คุณชายหลัว สองคนนี้คือสหายของข้า ท่านก็ถือว่าเป็นแขกประจำของตึกป๋ายเซียง วันนี้เห็นแก่หน้าของข้าปล่อยพวกเขาไปเถิด” เซี่ยฮว่านจือโบกพัดในมือเบาๆ ท่าทีผ่อนคลายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แล้วถ้าหากข้าไม่เห็นแก่ใบหน้านี้ของท่านเล่า?” สิ่งที่ได้เห็นก็คือสายตาของเซี่ยฮว่านจือที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ฟึบ” เสียงหุบพัดที่อยู่ในมือดังขึ้น คนทั่วทั้งตึกป๋ายเซียงก็ลุกขึ้นมาล้อมรอบพวกเขาเอาไว้เป็นวงในทันที ความหมายนั้นแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน หากไม่เห็นแก่หน้า เช่นนั้นวันนี้เขาก็อย่าได้คิดที่จะออกไปจากประตูใหญ่นี้เลย ชายผู้นั้นมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้จักสถานการณ์อย่างดียิ่ง สุดท้ายก็ยอมเห็นแก่หน้าอย่างถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก เพียงครู่เดียวภายในตึกป๋ายเซียงก็เงียบสงบลง “ขอบพระคุณพี่ฮว่านจือที่เข้ามาแก้สถานการณ์ให้” เหลียงยินยิ้มให้เขาอย่างดีอกดีใจ ร่างกายนี้ของเจ้าของร่างเดิมก็ดูเหมือนจะดีใจเป็นอย่างยิ่ง “กับหม่อมฉันยังต้องเกรงใจอะไรอีกพะยะค่ะ ขึ้นไปนั่งด้านบนเถิด” ทั้งสามคนจึงเดินขึ้นไปทางชั้นบน นั่งลงบนห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นสูง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทั่วทั้งครึ่งเมืองหลวงได้จากด้านบนนี้ สวยงามเป็นอย่างยิ่ง “พี่สะใภ้ห้า คนผู้นี้คือใคร?ท่านรู้จักหรือ?” เฉินเช่อดึงแขนเสื้อของเธออย่างไม่พอใจ ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เหลียงซินจึงอธิบายว่า “ผู้นี้คือพี่ฮว่านจือ ก็คือคนที่เกือบจะได้เป็นพี่เขยของหม่อมฉัน แน่นอน ยังสามารถพูดได้ว่าในอนาคตอันใกล้” “อ๋อ?” ดวงตาของเฉินเช่อเปล่งประกายขึ้น สบไปที่สายตาของเซี่ยฮว่านจือ ความไม่พอใจบนใบหน้ากำลังค่อยๆหายไปทีละน้อย “ท่านนี้ก็คือองค์ชายสิบเอ็ดสินะพะยะค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ยินคนที่นี่พูดกันอยู่หลายครั้ง เพียงแต่ตอนนั้นหม่อมฉันมีธุระไม่ได้อยู่ เกรงว่าจะให้การต้อนรับที่ไม่ทั่วถึงเข้าเสียแล้วพะยะค่ะ” เซี่ยฮว่านจือก็ยังคงมีท่าทีที่ผ่อนคลายไร้กังวลอยู่เสมอ “ข้าเพียงแค่แอบหนีออกมาเที่ยวเล่น หากเจ้ารู้แล้วก็อย่าได้พูดออกไป มิเช่นนั้นข้ากลับไปจะต้องถูกลงโทษ!” เฉินเช่อทำสัญลักษณ์มือจุ๊ปากที่สื่อความหมายให้เงียบเข้าไว้ ในเวลานี้เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกอาหารที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของตึกป๋ายเซียงหลากหลายอย่างเข้ามา มีหม้อดินหงส์ ผัดคริสตัลนกกระทา เนื้อกวางแห้งแดง ขาหมูคริสตัล ยังมีอาหารเครื่องเคียง รากบัวดอกไม้หอม ไก่ฉีกแมงกะพรุน เต้าหู้แห้งฉีกน้ำมันพริก เค้กดอกกุ้ยฮวาที่เหลียงซินชอบมากที่สุด เค้กหอมแป้งกระจับ โรลกุหลาบและของหวานอื่นๆ ซุปที่ตามมาหลังจากนั้นและทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรมีพร้อม มองดูอาหารแนะนำที่มีพร้อมทั้งรส กลิ่น สี วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ เหลียงซินก็กลืนน้ำลาย เริ่มลงมือพร้อมกับเฉินเช่อสองคนอย่างรีบร้อนแทบจะอดทนรอไม่ได้ “อร่อย!” หลังจากที่ลิ้มลอง ทั้งสองคนที่กินคนละคำต่างก็เอ่ยมาเป็นเสียงเดียวกัน “อร่อยก็เสวยมากหน่อยพะยะค่ะ หลังจากนี้หากได้ออกมาก็มาเสวยที่นี่ได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องชำระเงินพะยะค่ะ” เซี่ยฮว่านจือพูดออกมาอย่างใจกว้าง เหลียงซินขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหัวเราะขึ้นแล้วเอ่ย “นี่จะได้อย่างไรกัน!” เซี่ยฮว่านจือมองไปที่นาง คิดไม่ถึงว่าในดวงตาที่นิ่งสงบจะมีความอ่อนแอทุกข์ใจเพิ่มเข้ามา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นในทันทีว่า “แน่นอนว่าไม่ได้เสวยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรอกพะยะค่ะ หม่อมฉันก็มีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ โปรดทรงตามหม่อมฉันมาพะยะค่ะ” เหลียงซินยืดตัวขึ้นแล้วเดินตามไปในทันที เธอดูเหมือนจะสามารถคาดเดาได้ว่าคงจะเป็นเพราะเรื่องของพี่หญิงใหญ่ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ พอเข้ามาถึงยังห้องที่อยู่ด้านข้าง เซี่ยฮว่านจือก็หยิบจดหมายหนึ่งฉบับออกมาจากด้านในลิ้นชัก ส่งให้กับเหลียงซิน “จดหมายฉบับนี้เขียนเสร็จเอาไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะสามารถส่งให้กับเซิงเอ๋อร์ได้อย่างไร วันนี้พระองค์เสด็จมาจึงได้ถือโอกาสไหว้วานให้พระองค์ทรงส่งมอบให้กับนาง หวังว่านางเห็นจดหมายนี้แล้ว จะสามารถเชื่อใจข้า” เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดดูเหมือนกับกำลังอธิษฐานต่อฟ้า เหลียงซินรับเอาจดหมายมา ในใจราวกับกำลังแบกรับความรับผิดชอบที่หนักอึ้งดุจดังภูเขาใหญ่ก็ไม่ปาน เธอจะต้องนำจดหมายฉบับนี้ส่งมอบให้กับเหลียงหยิ่งให้ได้ มีคนรัก ก็ควรจะได้ครองเรือนกันในท้ายที่สุดสิ! “พี่ฮว่านจือ ท่านวางใจเถิด!ข้าจะต้องนำจดหมายฉบับนี้มอบให้กับพี่หญิงใหญ่ให้ได้” เธอพูดขึ้นอย่างแน่วแน่ “ใช่แล้ว หม่อมฉันลงมือทำเค้กหยกมรกตที่พี่หญิงใหญ่ของพระองค์ชอบมากที่สุดเอาไว้ อย่างไรก็รบกวนพระองค์ทรงนำไปมอบให้กับนางพร้อมกันนะพะยะค่ะ” หลังจากที่เซี่ยฮว่านจือพูดจบ ก็สั่งให้คนของห้องครัวเล็กนำเค้กหยกมรกตขึ้นมา แน่นอนว่าจะขาดเค้กดอกกุ้ยฮวาที่เหลียงซินชอบมากที่สุดไปไม่ได้ กระทั่งหลังจากที่เธอเก็บของทุกอย่างอย่างดีแล้วกลับไป เฉินเช่อก็กินอิ่มนอนแผ่ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกียจคร้านราวกับเป็นคุณลุงตัวน้อยก็ไม่ปาน พอเห็นเหลียงซินเดินเข้ามา ก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจในทันที “พี่สะใภ้ห้า เหตุใดท่านจึงไปนานเช่นนั้นเล่า?” “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นหรอกเพคะ!” เหลียงซินเขกไปที่ศีรษะของเขาเบาๆ เฉินเช่อเอามือกุมไปที่ศีรษะอย่างเจ็ดปวด “ข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ข้าใกล้จะสิบเอ็ดขวบแล้ว!ก็แค่น้อยกว่าท่านเพียงไม่กี่ขวบเท่านั้น ท่านจะคิดว่าข้าโตเหมือนกับท่านก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็ใกล้จะสูงเท่าท่านแล้ว หากเป็นไปได้ข้าก็หวังว่าจะสามารถโตได้พอๆกับท่าน!” ประโยคสุดท้าย เขาพูดอย่างค่อนข้างขาดความมั่นใจ เหลียงซินพียงแค่หัวเราะขึ้นแล้วผ่านไป ทำกับเขาเหมือนเป็นเด็กเล็กคนหนึ่งโดยสมบูรณ์แบบ แต่เธอไม่รู้เลยว่า เด็กก็มีความคิดและความรู้สึกเป็นของตนเองเช่นเดียวกัน ท้องฟ้ามืดลงอย่างช้าๆ พวกเขาก็ควรที่จะกลับไปแล้ว ทว่า ในเวลานี้เองลูกน้องข้างกายของเซี่ยฮว่านจือกลับเข้ามารายงานอย่างกระวนกระวายใจว่าอยู่ๆทั่วทั้งถนนหลักตรอกเล็กซอยน้อยในเมืองหลวงก็มีทหารวังออกลาดตระเวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกำลังหาใครอยู่ ไม่ช้าก็จะหามาถึงด้านในตึกป๋ายเซียงแล้ว! ในใจของเหลียงซินหนักอึ้ง จิตใต้สำนึกนึกถึงเฉินห้าวขึ้นมาในทันที คงไม่ใช่เขาพบแล้วว่าเธอไม่ได้อยู่ในวัง จึงได้จัดคนให้ออกมาตามจับเธอแล้วกระมัง? “หม่อมฉันจัดเตรียมคนสองกลุ่มส่งพวกพระองค์กลับไปจากประตูด้านข้าง กลุ่มนึงไปวังหลวง กลุ่มนึงไปวังสิงหวังพะยะค่ะ” เซี่ยฮว่านจือรีบจัดการลงไปด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงในทันที เหลียงซินกลับส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าไปส่งองค์ชายสิบเอ็ดกลับวังหลวงก่อน ข้ายังต้องกลับเรือนแม่ทัพเจิ้นอันพบพี่หญิงใหญ่สักครู่” 
已经是最新一章了
加载中