ตอนที่ 51 ตบปากตนเอง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 51 ตบปากตนเอง
ต๭นที่ 51 ตบปากตนเอง ผ้าเช็ดหน้าไหมที่นุ่มนวลถูกยัดเข้าไปในมือของนาง พอจับก็ได้สัมผัสถึงรอยเลือดที่เหนียวเหนอะหนะ นางกำผ้าเช็ดหน้าไว้ ไม่โยนทิ้ง แต่ก็ไม่ได้เก็บขึ้น “เฉินห้าว เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำแบบนี้ดูหลอกลวงมากหรือ?” เหลียงซินมองเขาด้วยความโกรธ เมื่อสักพักที่เรือนเจียวหยาง เขายังคิดจะสังหารนางให้ตาย ตอนนี้ยังเสแสร้งส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง หรือว่าซาบซึ้งที่นางได้ช่วยชีวิตเลี่ยงอินไว้หรือ? “เสแสร้งหรือ? ข้าไม่ได้ถามเจ้าว่า เจ้ากับคนลึกลับคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน?” เฉินห้าวก้าวเข้ามาใกล้นางอีกก้าว มองนางอย่างกระหายเลือด เหลียงซินยิ้มอย่างชดช้อยงดงามเด่นล้ำ ไม่ปิดบังใดๆ “ข้าและเขาคบกันเพียงผิวเผิน ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปตรวจสอบดู” “บุกรุกตำหนักอ๋องสิงของข้าโดยพลการก็เป็นโจรทั้งหมด! เจ้ายังกล้าพูดอย่างโอ่อ่าเปิดเผยสง่างามว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับโจรต่อหน้าข้า เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ?” เฉินห้าวดึงนางออกจากห้องไปที่ลานบ้านข้างนอก แสงจันทร์ครึ้ม ๆ ปกคลุมไปทั่วพื้นฟ้าปฐพี สาดลงบนแก้มของเหลียงซิน นางพูดช้าๆว่า “แม้นับว่าเป็นโจรคนหนึ่ง แต่ก็ยังมีเลือด มีเนื้อหนังและมีความรู้สึกมากกว่าเจ้า” คำพูดของนางประโยคเดียว ทำให้เฉินห้าวสีหน้าค่อยๆไม่น่าดูขึ้นมา คิ้วมีดดาบเรียบตรงทั้งคู่นั้นขมวดแน่น ราวกับว่าวินาทีถัดไปก็จะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ ตาดำขลับของเขาเหลือบแลอย่างเยือกเย็นไปครั้ง “เหลียงซิน เจ้าจำไว้ ในเมื่อแต่งเข้าตำหนักอ๋องสิงแล้ว ชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดเพ้อฝันอื่นใดเป็นดีที่สุด แม้ว่าเปิ่นหวังไม่ได้ชอบเจ้า แต่เจ้าก็ไม่อาจไปรักชอบผู้อื่นได้” คนนี้ช่างเผด็จการจริง ๆ! เขาคงไม่ได้คิดว่านางจะรักชอบคนลึกลับคนนั้นไปแล้วนะ? ทันใดนั้นนางก็นึกถึงคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดต่อหน้านางเมื่อครู่ขณะอยู่บ้านเจียวหยาง เขาไม่เคยขาดพระชายามาก่อน! “เฉินห้าว เจ้าก็รู้ว่าระหว่างเราไม่มีความรักต่อกัน เจ้าเกลียดข้า ทำไมจึงไม่เขียนหนังสือหย่าให้ข้า และให้ข้าไปให้พ้นจากที่นี่?” ทรมานซึ่งกันและกัน สำหรับพวกเขา สนุกนักหรือ? แก้วตาซึ่งเย็นยะเยือกดุจน้ำค้างของเฉินห้าวหดตัวไปครั้ง ประดุจเข็มเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในหัวใจ หนังสือหย่า คำนี้เหมือนฟ้าร้องก้องในหู เขาก้าวทีละก้าวบีบคั้นอย่างหนักจนเหลียงซินถอยร่นเข้าไปในมุมกำแพง “รอไม่ไหวเช่นนี้คิดอยากได้หนังสือหย่า ทำไม? คิดอยากหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวกับชายลึกลับนั้นหรือ?” โรคประสาท! เหลียงซินแอบด่าในใจไปที ในใจของเขาดูเหมือนว่านางและชายลึกลับมีเรื่องบางอย่างที่บอกกล่าวผู้คนไม่ได้ หรือเขาไม่ตระหนักถึงความผิดพลาดของเขาเลยหรือ? “เฉินห้าว ข้าคิดจะไปจากที่นี่ ไม่ใช่เพราะคนลึกลับคนนั้น ข้าและเจ้าเป็นสามีภรรยากัน ซึ่งควรสนับสนุนซึ่ง กันและกัน ไว้วางใจซึ่งกันและกัน จับมือก้าวหน้าไปด้วยกัน แต่สิ่งที่เจ้าทำ พฤกติกรรมของเจ้า ทำให้ใจข้าหนาวยะเยือก!” ต่อให้เขาไม่ได้ชอบนาง ต่อให้นางจะต้องแต่งงานกับเขาตั้งแต่แรกเริ่ม ต่อให้นางเคยจัดการเหลียงอินมาก่อน แต่ทั้งหมดนี้ รวมแล้วก็มิอาจเป็นเหตุผลที่เขาทำร้ายนาง ทุกคนต่างมีเวลาที่เลือกผิดพลาดไปได้ ทุกคนต่างควรมีโอกาสที่จะได้รับการอภัยสักครั้ง เมื่อนางพูดคำเหล่านี้ นางเชื่อว่าเจ้าของเดิมได้สิ้นหวังในตัวเฉินห้าวไปแล้ว เพียงเห็นสีหน้าของเฉินห้าวปลี่ยนไปเล็กน้อยเท่านั้น แล้วได้สงบลงอย่างรวดเร็ว ความคิดก็ได้ถูกโน้มน้าวไปโดยไม่รู้ตัว ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้กลับยังสามารถพูดคำเหล่านี้ออกมา ทำให้ส่วนลึกที่สุดใจของเขาตื่นตระหนกมาก น่าเสียดายจัง...แม้ว่านางและเขาเป็นสามีภรรยากัน แต่ระหว่างพวกเขามีเรื่องที่พัวพันกันมากเกินไป จึงมิอาจไว้วางใจซึ่งกันและกันซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด ดังนั้น ไหนเลยจะมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน จับมือก้าวหน้าไปด้วยกันได้เล่า “ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ !” เป็นเวลานาน เฉินห้าวก็ทิ้งท้ายด้วยประโยคดังกล่าว หมุนตัวเข้าไปในห้องของเหลียงอินแล้ว เหลียงซินยืนอยู่ในที่เดิม ไม่ได้ตอบโต้เป็นเวลานาน เมื่อครู่ทำไมนางถึงได้พูดคำพูดเหล่านั้น? ช่างน่าเสียใจจริงๆ! จับมือก้าวหน้าไปด้วยกันกับเฉินห้าวหรือ? ช่างเป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ “พี่ห้า พี่สะใภ้ห้า ที่แท้พวกท่านเสด็จประทับที่นี่ ข้าตามหาแทบแย่” ไกลออกไป องค์ชายเจ็ดเฉินหวี้ค่อยๆเดินเข้ามา พระภูษาสีฟ้าทะเลสาบสดใสทั้งร่าง ทำให้ทั้งร่างของพระองค์เป็นที่กระจ่างเนตรยิ่ง เฉกเช่นฐานะที่สูงส่งทรงพระเจริญของพระองค์ท่าน ปกติเฉินอวี้นี้ไม่ได้ทรงไปมาหาสู่กับตำหนักอ๋องสิง ถึงขั้นตาต่อตาฟันต่อฟัน วันนี้ทรงเสด็จมา กลัวว่าจะไม่มีเรื่องดีอันใด เฉินห้าวหยุดฝีก้าวลงแล้ว พระพักตร์ที่เดิมทรงเศร้าหมองก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น “น้องชายเจ็ด เหตุใดพระองค์ทรงเสด็จมาแล้ว?” “ข้าได้สดับมาว่ามีมือสังหารที่ตำหนักอ๋องสิงเมื่อวานนี้ กังวลว่าพี่ห้าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงได้มาดู แต่ดูแล้วไม่น่ามีเรื่องอะไรหรอก?” เฉินอวี้มีสีหน้าดีใจที่ผู้อื่นประสบภัยจน ไม่อาจเก็บไว้ได้ทั้งสิ้น ไอ้หน้าโง่จริง ๆ! ดูผิวเผินเสแสร้งราวกับว่าเรื่องผ่านพ้นไปได้ก็ดีแล้ว องค์ชายเจ็ดนี้ทรงได้สดับฟังเรื่องมือสังหารแล้ว ยังทรงวิ่งอย่างเปิดเผยมาตำหนักอ๋องสิงเพื่อซ้ำเติม เหลียงซินอดที่จะส่ายศีรษะไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วยังจะสู้ต่อกรกับเฉินห้าวได้อย่างไร? นิ้วมือสักนิ้วของเขายังเทียบไม่ติดเลย! นางก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน หันกลับไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่ายาของเหลียงอินต้มเสร็จหริอยัง ตอนนี้ในครัวมีควันหุงต้มม้วนขึ้นอ้อยอิ่ง ข้างนอกวางเตาขนาดเล็กหลายใบต้มยาอยู่ สาวรับใช้สองสามคนเฝ้าที่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ไม่อนุญาตให้มีความผิดพลาดสักนิดเดียว ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาจากประตูอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้เห็นชัดก็ชนใส่เหลียงซินแล้ว “เพล้ง ๆ” เสียงจานแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยาดำมะเมื่อมข้างในก็สาดกระเซ็นลงบนพื้นดิน สี่เชวี่ยขยี้จมูก ยังไม่เงยหน้าขึ้น เปิดปากก็ดุด่า “ใครไร้แววตากล้าชนข้า? ยังทำยาของพระชายารองหกกระจาย เจ้าเตรียมรอถูกลงอาญาเถอะ!” หลังจากเหลียงซินยืนได้มั่นแล้ว จึงพบว่าเป็นสี่เชวี่ย ในเวลานั้นถูกนางไล่ออกจากบ้านเจียวหยาง ก็ได้รั้งไว้ข้างเหลียงอินปรนนิบัติพัดวี ไม่คิดว่านิสัยยังคงกำเริบสืบสานอวดดีเช่นนี้นัก “ชนใส่ข้าไม่เพียงไม่ขอประทานโทษ ยังละเมิดล่วงเกินเบื้องบน เจ้าว่าเราควรลงอาญาเจ้าอย่างไรดีนะ?” เหลียงซินเอ่ยปากตรัสเบา ๆ สี่เชวี่ยได้ฟังคำก็ตกตะลึงไป เมื่อเงยหน้าขึ้น นางก็ชะงักแข็งทื่อไปทั้งตัวแล้ว ตั้งแต่ตนถูกลงอาญาในบ้านเจียวหยางครั้งที่แล้ว ในใจนางก็เกลียดเหลียงซิน แต่ยิ่งกว่านั้นคือความหวาดกลัว มักรู้สึกว่ามีตรงไหนที่เปลี่ยนเป็นไม่ค่อยถูกต้องแล้ว “ขอทรงโปรดประทานอภัย บ่าวมีตาหามีแววชนใส่พระชายา บ่าวสมควรตายเพค่ะ” สี่เชวี่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไปคำ เลือกที่จะขออภัยอย่างชาญฉลาด เหลียงซินเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย มองนางอย่างภาคภูมิใจสูงศักดิ์ “เอ่อ รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่าดีมาก ตบปากตนเองยี่สิบครั้ง” สี่เชวี่ยถลึงตาทั้งคู่จ้องมองเหลียงซินอย่างโกรธเกรี้ยว ตอนนี้นางเป็นคนของพระชายารอง ทำไมจึงต้องรับการลงอาญาจากเหลียงซิน อีกทั้งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มักจะมีพระชายารองช่วยกราบทูลให้นาง วันนี้ต้องโดนตบปากยี่สิบทีอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ไม่คุ้มค่าจริง ๆ “พระชายา บัดนี้บ่าวเป็นคนของพระชายารอง ยิ่งกว่านั้นบ่าวได้ขออภัยต่อท่านแล้ว ถึงแม้ว่าบ่าวทำผิด ท่านก็ไม่ควรก้าวร้าวบีบคั้นผู้คนเช่นนี้ เกรงว่าผิดกฎตำหนักเพค่ะ” สี่เชวี่ยตอบโต้อย่างปากคอเราะร้าย “กฎหรือ?” เหลียงซินฮัมอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “วันนี้เจ้าทำผิดละเมิดเบื้องสูง ทั้งได้ทำให้ยาของพระชายารองหกคว่ำ ลงอาญาเจ้าตบปากยี่สิบที ถ้าไม่พอใจก็ตีเฆี่ยนยี่สิบไม้กระดานใหญ่!” ยี่สิบ! ไม้กระดานใหญ่! สีหน้าสี่เชวี่ยค่อย ๆ ซีดขาว พลันรู้สึกเสียใจที่เพิ่งได้พูดคำเหล่านั้นออกไปบ้าง แม้ว่าเหลียงซินไม่ได้รับความโปรดปรานอีก แต่ยังเป็นพระชายามาโดยตลอด นอกจากนี้เหลียงอินและหวังโผไม่อยู่ ก็ไม่สามารถช่วยนางพูดจา นางยอมรับความผิดโดยศิโรราบอย่างอ่อนแอ “พระชายา บ่าวมีปากพูดโพล่งไปไม่ได้ตั้งใจทำร้าย ล่วงเกินพระชายา ยังขอพระชายาทรงโปรดอย่าได้ลงอาญา บ่าวนี้จะลงโทษตบปากตนเองยี่สิบที!” เมื่อสี่เชวี่ยพูดจบแล้ว ไม่รอเหลียงซินตอบ ก็เริ่มตบปากตนเองขึ้นมาทันที นั่นเรียกว่าส่งเสียงเพียะ ๆ ดังชัด ลงมือโหดร้ายจริง ๆ ด้วย บ่าวสาวรับใช้รอบ ๆ ทั้งหมดไม่กล้าพูด ยิ่งไม่กล้ามองมาทางนี้ เดิมเหลียงซินไม่ได้คิดจะทรงลงอาญาเฆี่ยนตีนางยี่สิบไม้กระดานจริง ๆ เห็นลักษณะที่นางรีบลงโทษตัวเอง ดูแล้วกลับน่าละอายแก่ใจมาก ชั่วขณะ มีเพียงเสียงตบเพียะๆกลางอากาศ หลังจากนั้นไม่นาน เหลียงซินจึงได้ตะโกนเรียกให้หยุดอย่างใจดี “ครั้งนี้ละเว้นปล่อยเจ้าไป หวังว่าจะไม่มีคราวหน้าอีก” “เพค่ะ บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว” สี่เชวี่ยกัดฟัน แก้มของนางบวมเป่ง ดูไปแล้วได้ลงมือโหดร้ายต่อตนเองจริง ๆ เดิมเหลียงซินก็เข้ามาดูว่าในที่สุดยาของเหลียงอินได้เคี่ยวเสร็จหรือยัง ใครรู้ได้ว่า กลับมีเหตุการณ์เล็กน้อยเหตุหนึ่งแทรกเข้ามากวน หลังจากนั้นนางก็หมุนตัวออกไปจากห้องครัวแล้ว ข้างนอกสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น แสงแดดอาบลงบนถนนสายเล็กซึ่งอยู่ภายในบ้าน นางเดินช้า ๆ อารมณ์ดี เพิ่งจะเลี้ยวผ่านศาลาเล็กหลังหนึ่งตรงข้างหน้า ก็ทอดพระเนตรเห็นเฉินหวี้ทรงประทับอยู่ข้างใน ทรงพระสรวลเต็มที่โบกพระหัตถ์ให้นาง “พี่สะใภ้ห้า ทรงรอนานแล้ว” เฉินหวี้ทรงดำเนินมาอย่างช้า ๆถึงเบื้องพระพักตร์นาง “มีอะไรเหรอ” เหลียงซินทรงทอดพระเนตรดูเขา ไม่มีความรู้สึกที่ดีใด ๆ ต่อเขาจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางได้รับรู้ว่าองค์หญิงรุยเหอ ผู้ทรงเป็นพระขนิษฐาแท้ ๆ ในพระองค์ ทรงใช้คนผลักองค์ชายสิบเอ็ดตกน้ำไปแล้ว ไม่เพียงแต่องค์หญิงรุยเหอ ยังมีพระสนมอันและเฉินหวี้ นางล้วนไม่ทรงถูกพระทัยทั้งสิ้น “ไม่ทรงทราบว่าพี่สะใภ้ห้าทรงมีเวลาไหม ข้าคิดจะกราบทูลสองสามคำ เรื่องนี้พัวพันถึงอนาคตของพี่สะใภ้ห้าห้า” เฉินหวี้ทรงประทับเข้ามาใกล้ทรงกระซิบเบา ๆใกล้พระกรรณของเหลียงซิน แม้ว่าเหลียงซินทรงรังเกียจเขาอย่างไร แต่กลับทรงรู้สึกว่าทุกอย่างนี้ยิ่งมายิ่งสนุกแล้ว นางกลับคิดจะทรงสดับรับฟังว่าเขาจะตรัสสิ่งใดบ้าง “ได้ เราไปประทับยังศาลาด้านหน้ากันเถอะ” เหลียงซินทรงพระราชดำเนินนำไปยังนอกศาลา ทอดพระเนตรจากที่นี่ ก็ทรงสามารถเห็นน้ำในทะเลสาบกลางตำหนักได้อย่างชัดเจน ที่นั่น พอดีเป็นที่เมื่อก่อนเหลียงอินตกน้ำ แม้ว่าทัศนียภาพอันสวยงามยังคงอยู่ แต่สภาพจิตใจอารมณ์ของเหลียงซินไม่ทรงเหมือนเดิมอีกแล้ว นางทรงผันพระพักตร์ไป ไม่ทรงทอดพระเนตรไปในทิศทางนั้นอีก แต่กลับทรงทอดพระเนตรไปที่สวนดอกไม้ทางด้านซ้าย ที่เต็มไปดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานอวดประชันกัน งดงามอย่างไร้ที่ติ “ถึงแม้ว่าสวนดอกไม้จะสวยงามในตอนนี้ แต่สักวันก็จะล้มเหลวพินาศไปได้ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ พี่สะใภ้ห้า พระองค์ทรงรู้สึกว่าหมู่บุปผชาติในตำหนักอ๋องสิงจะสามารถเบ่งบานได้นานเพียงไร?” เฉินหวี้ทรงทอดถอนพระทัยตรัส “สรรพสิ่งกำเนิดเติบโตย่อมมีกฎของมันเอง ไหนเลยเป็นสิ่งที่เราจะแสวงหาทราบได้?” เหลียงซินตรัสอย่างชืดชา เฉินหวี้ทรงเล่นดอกไม้ที่เพิ่งเด็ดลงมาในพระหัตถ์ สาดสายตาที่ชั่วร้ายลงบนร่างนาง แล้วตรัสว่า “แม้ว่าสรรพสิ่งจะมิอาจแสวงหาทราบได้ แต่มนุษย์เปิ่นหวังเองยังทรงทราบ เจ้ารั้งไว้ข้างกายพี่ห้า ไม่ได้มีวันเวลาอันดีแน่” โอ้ พระดำรัสที่ทรงตรัสนี้ กลับทรงทอดพระเนตรสถานการณ์ปัจจุบันของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่าในตอนนี้วันเวลาของนางไม่ดีจริง ๆ แต่ก็ไม่ต้องให้คนนอกมาเป็นห่วง ยิ่งกว่านี้ เฉินหวี้นี้ยังไม่น่าเชื่อถือมากยิ่งกว่าเฉินห้าวแน่นอน หรืออาจตรัสได้ว่า บุรุษในเชื้อพระวงศ์ต่างมีลักษณะเดียวกันวางผลประโยชน์ไว้เป็นที่หนึ่งเสมอ “ในตำหนักอ๋องสิงข้ามีชีวิตดีหรือไม่ เกี่ยวพันเรื่องใดกับองค์ชายเจ็ดหรือ? เจ้ากังวลมากเกินไปแล้วกระมั้ง?” เหลียงซินทอดพระเนตรมองเขาอย่างห่างเหิน
已经是最新一章了
加载中