ตอนที่ 62 ขี่ม้าตัวเดียวกัน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 62 ขี่ม้าตัวเดียวกัน
ต๭นที่ 62 ขี่ม้าตัวเดียวกัน ควบม้าตะบึงอยู่บนเส้นทางประมาณหนึ่งชั่วยาม จึงได้มาถึงยังวังสิงหวัง พอถึงด้านนอกประตูใหญ่ของวังสิงหวัง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหลียงยินรับรู้ข่าวนี้ได้อย่างไร เพียงครู่เดียวก็วิ่งอย่างกังวลใจออกมาจากด้านในของวังสิงหวัง รูปร่างที่บอบบางกับท่าทางที่อ่อนแอราวกับหลินไต้อวี้ในเรื่องความรักในหอแดงก็ไม่ปานทำให้คนรู้สึกรักและเป็นห่วง “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันได้ยินสถานการณ์ที่ไม่ดีของพระองค์มาตั้งแต่เมื่อวาน เป็นกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน นั่งคุกเข่าในอุโบสถตลอดเวลาภาวนาให้พระองค์ทรงปลอดภัย ตอนนี้ได้เห็นพระองค์ทรงปลอดภัยกลับมา หม่อมฉันดีใจมากเหลือเกินเพคะ” เหลียงยินเข้าไปแนบชิดเฉินห้าว มือที่เรียวงามลูบผ่านผิวและกล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาทุกอณู อ่อนโยนหอมหวาน แนบชิดติดกัน ช่างบาดตาจริงๆ! ทว่า เฉินห้าวกลับยิ้มเล็กน้อยแล้วกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็วอย่างไม่ได้สนใจ จากนั้นก็ผลักมือของนางออก ตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่เป็นอะไร” เขาหันหน้าไปทางจุยเฟิงแล้วสั่งการลงไปว่า “ไปเชิญหมอหลวงมาตรวจรักษาพระชายา จู๋เยว่ เจ้าเข้าวังหลวงไปกับข้า” ความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องของผู้ลอบสังหารกับองค์รัชทายาทนั้น เฉินห้าวรู้สึกว่าอย่างไรเขาก็ต้องเข้าวังหลวงไปด้วยตนเองถึงจะพูดได้อย่างชัดเจน มิเช่นนั้นถูกเฉินอวี้แย่งชิงช่วงจังหวะที่สำคัญไป ก็คงจะประสบกับรื่องที่ไม่ดีขึ้นเป็นแน่ หลังจากพูดจบเขาก็พลิกตัวขึ้นขี่ม้า เตรียมออกเดินทางไปยังวังหลวง ทว่า เหลียงซินครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับเรียกเขาเอาไว้ “รอก่อนเพคะ หม่อมฉันจะไปกับพระองค์” คำพูดเพิ่งร่วงหล่นลงมา เฉินห้าวและเหลียงยินทั้งสองคนต่างก็ตกใจ หันหน้ามามองเธอพร้อมๆกัน เธอก็ไม่เกรงใจ พลิกตัวขึ้นบนหลังม้าอย่างง่ายๆสบายๆไปในทันที เพื่อแสดงถึงระยะห่าง จึงนั่งอยู่ที่ด้านหลังของเขา แล้วเอ่ยอธิบายขึ้นว่า “หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ทรงเข้าวังหลวงเป็นเพราะเรื่องขององค์รัชทายาท หากหม่อมฉันไปจะมีแรงโน้มน้าวมากยิ่งขึ้น ถึงอย่างไรพิษที่พระสนมเอกอันได้รับนั้น หม่อมฉันก็เป็นผู้รักษาให้ทรงหาย” เฉินห้าวลังเลอยู่พักหนึ่ง ”ก็ดีเหมือนกัน เช่นนั้นเจ้ามานั่งด้านหน้า” พอนึกถึงครู่นี้ที่อยู่บนสนามแข่งม้า การสัมผัสอย่างใกล้ชิดที่ลึกซึ้งระหว่างคนทั้งสอง เหลียงซินก็ต่อต้านอย่างเต็มที่ รีบส่ายหน้าในทันที “ไม่เป็นอะไรเพคะ หม่อมฉันนั่งอยู่ด้านหลังก็สบายดี” “ได้” เฉินห้าวทิ้งคำเช่นนี้ออกมาเพียงคำเดียว จากนั้นก็หวดแส้ม้าอย่างรุนแรง ม้าก็วิ่งอย่างรวดเร็วขึ้นมาในทันที หากไม่ใช่เหลียงซินรีบกอดเอวเขาเอาไว้อย่างแน่นในวินาทีนั้น คงจะถูกเหวี่ยงลงบนพื้นไปแล้ว นี่เจ้าบ้าเฉินห้าวคงจะจงใจสินะ! ตลอดทาง ม้าวิ่งอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน เหลียงซินไม่มีโอกาสคลายมือออกเลยแม้แต่นิดเดียว ทำได้เพียงกอดเฉินห้าวเอาไว้อย่างไม่เต็มใจ เพียงแค่เธอกลายมือถอยกลับมาเล็กน้อย ม้าก็จะวิ่งเร็วมากยิ่งขึ้น ทำเอาเธอไม่กล้าคลายมือออกแม้แต่วินาทีเดียว สำหรับการกลั่นแกล้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเฉินห้าวทำได้อย่างออกรสออกชาติ มือเล็กทางด้านหลังคู่นั้นโอบรอบเขาเอาไว้แน่น ราวกับเชื่อใจในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นหอมจากตัวของเหลียงซินที่พิเศษเป็นลักษณะเฉพาะลอยเข้ามาในจมูก อบอุ่น ผ่อนคลาย ร่างกายที่งดงามอ่อนโยนแนบชิดติดกับเขา ความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของที่ไม่เคยมีมาก่อนเอ่อล้นอยู่ในใจของเขา หากรู้แบบนี้ ก็คงไม่ทำตั้งแต่ทีแรก! ตอนนี้เฉินห้าวถึงได้รู้ว่าเสียใจภายหลังคำนี้เขียนอย่างไร หากเขารู้ว่าตนเองจะมีวันที่ถลำลึกลงไปเช่นเดียวกัน ในตอนแรกก็คงไม่ปฏิบัติต่อเหลียงซินถึงเพียงนั้น ดวงตาที่แคบและยาวของเขาหรี่ลง ม้าก็ยิ่งวิ่งยิ่งเร็ว ตะบึงมาถึงยังประตูเมือง ขณะเดียวกัน ในคุกหลวง เฉินอวี้ได้นำคนสนิทของตนเองสองสามคน อาศัยตอนที่ไม่มีคนสนใจ เพียงครู่เดียวก็บุกเข้าไปด้านในคุกหลวงในทันที ตลอดทางก็ไม่มีใครกล้าขัดขวาง พวกเขามุ่งตรงเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ “เปิดประตูใหญ่ ข้าได้รับพระราชโองการให้มาไต่สวนผู้ลอบสังหารสองสามคนนั้นที่จับตัวมาในวันนี้ด้วยตนเอง” เฉินอวี้สั่งหัวหน้าเรือนจำเหล่านั้นอย่างหยิ่งผยอง ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว “กราบทูลองค์ชายเจ็ด ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ลอบสังหารเหล่านั้นได้ หม่อมฉันไม่สามารถเปิดประตูให้พระองค์ได้พะยะค่ะ” หัวหน้าเรือนจำผู้นั้นพูดอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกขออภัย วินาทีต่อมาเฉินอวี้ก็ยกเท้าขึ้น ถีบหัวหน้าเรือนจำผู้ที่พูดอยู่ด้านหน้านี้อย่างรุนแรงจนกระเด็น เขากระอักเลือดสดๆออกมาในทันที จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบไปบนบริเวณหน้าอกของเขา “ให้ข้าสังหารเจ้านั้น ก็ง่ายราวกับบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย เจ้าอยากจะตาย หรือว่าอยากจะมีชีวิตอยู่กันเล่า?” พละกำลังบนเท้าของเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ดวงตาทั้งสองโหดเหี้ยมน่ากลัว ภารกิจของเขาในวันนี้ก็คือจำเป็นต้องเห็นผู้ลอบสังหารทั้งหลายเหล่านั้นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน มิเช่นนั้น เกรงว่าจะต้องมีความเป็นกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลังได้ ในเวลานี้เอง เฉินต้งที่บังเอิญผ่านมาที่นี่ได้ค่อยๆเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง หลังจากที่คารวะตามทำเนียมอย่างเคารพนบนอบแล้วก็มายังข้างกายของเฉินอวี้ เอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้รู้สึกต่ำต้อยหรือสูงส่งว่า “กราบทูลองค์ชายเจ็ด พวกเราล้วนเพียงแค่ทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ก็เท่านั้น เหตุใดพระองค์จะต้องทรงทำให้พวกเราลำบากใจด้วยเล่า?หากพระองค์ทรงมีพระราชโองการ พวกเราจะรีบเปิดประตูให้พระองค์ทันทีพะยะค่ะ!” เฉินอวี้เพียงแค่เห็นว่าเป็นเหลียงต้งพี่ชายของเหลียงซิน ไฟในใจกลุ่มนั้นก็ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง เขากัดฟัน เอ่ยขึ้นด้วยหน้าตาที่บิดเบี้ยวว่า “อาศัยเพียงเจ้าก็ยังกล้ามาขวางทางข้า?พระราชโองการ?หึ คำพูดของข้าก็คือพระราชโองการ!” เหลียงต้งยืนตระหง่านราวกับภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งก็ไม่ปาน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ “กราบทูลองค์ชายเจ็ด โปรดทรงแสดงพระราชโองการออกมา พวกเราจึงจะสามารถเปิดประตูได้พะยะค่ะ” “เจ้าคนไม่รู้ดีชั่ว วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้!” เฉินอวี้โมโหจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ ดึงกระบี่ยาวที่คาดอยู่บนเอวของคนสนิทที่อยู่ด้านข้างออกมา แล้วจี้ไปบนคอของเหลียงต้งในทันที ปลายกระบี่ที่แหลมคมและเย็นยะเยือกแนบชิดไปบนคอของเขา แค่ขยับเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเผชิญกับอันตรายแบบที่เลือดสาดท้องฟ้าได้ ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เหลียงต้งก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย แทบจะทั้งหมดเป็นความรู้สึกอยากฆ่าก็ฆ่ายังไงอย่างงั้น เห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา สีหน้าของเฉินอวี้ก็ยิ่งไม่น่าดูขึ้นมาในทันที ปลายกระบี่ที่อยู่ในมือแหลมคมดูมีอำนาจ เขายกมือขึ้นแล้วเตรียมทิ้งดาบลงไปบนคอของเหลียงต้งอย่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย... “หยุดนะ!” เสียงผู้หญิงที่รีบร้อนหากแต่ทรงพลังดังสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ไม่นานก็มาถึงยังด้านในของคุกหลวง ราวกับลมวูบหนึ่งก็ไม่ปาน เสียง “กริ๊ง” ดังขึ้น เข็มเงินเล่มหนึ่งที่มองไม่เห็นก็ปักเข้าไปบนหลังมือของเฉินอวี้ เขาถูกทำให้รู้สึกชาในทันที มือไม่มีพละกำลังเลยแม้แต่น้อย กระบี่ที่อยู่ในมือร่วงหล่นลง พอเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือเหลียงซินโอบกอดไปที่ข้างกายของเหลียงต้ง และเฉินห้าวที่หล่อเหลาสง่างามกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู คิ้วและดวงตาเลิกขึ้นเล็กน้อยแฝงไปด้วยความยั่วยุ “ใครกันที่ถึงกับกล้าใช้อาวุธลับกับข้า?ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?” เฉินอวี้กุมมือขวาที่รู้สึกชาไปแล้ว พลางกวาดตามองไปยังคนทั้งสอง นี่คือเข็มยาชาที่เธอวิจัยและประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ล่าสุด ฤทธิ์ยามีพลังรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับเข็มพิษนี้จะรู้สึกชาได้สิบสองชั่วยามเต็มๆ นอกจากเฝ้ารอการผ่านไปของเวลา ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะแก้ได้ เธอยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ดวงตาทั้งสองข้างเผยรอยยิ้มกว้าง ราวกับพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าก็ไม่ปาน “หม่อมฉันเองเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ไม่อยากเห็นองค์ชายเจ็ดเพียงเพื่อผู้ลอบสังหารเหล่านั้นแล้วพลั้งมือฆ่าคนก็เท่านั้นเองเพคะ เช่นนี้ คงจะไม่ใช่เป็นการตัดสัมพันธ์ไม่ขาดกับผู้ลอบสังหารหรอกหรือเพคะ?” สีหน้าของเฉินอวี้ค่อยๆซีดเผือด ทุกคำพูดของนางล้วนกำลังดึงให้เขากับผู้ลอบสังหารเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกัน แม้ว่าเขาจะปฏิเสธการยอมรับก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ดีมาก ดีมาก! เหลียงซิน เขาจะจำเอาไว้! “น้องเจ็ด ขนาดเสด็จพ่อยังไม่มีพระราชโองการลงมา เจ้าก็รีบร้อนอยากจะสอบสวนผู้ลอบสังหารเหล่านั้นถึงเพียงนี้ หากไม่ได้คิดว่าจะปล่อยพวกมันไป ก็คงอยากจะนัดแนะกันไว้ พูดมา เจ้ากับผู้ลอบสังหารเหล่านั้นแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่?” เฉินห้าวเอ่ยถามด้วยสายตาที่แหลมคม สีหน้าของเฉินอวี้ดุดัน มองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ “อะไรกัน?พี่ห้า พระองค์กำลังสงสัยว่าหม่อมฉันกับผู้ลอบสังหารรู้จักกันหรือพะยะค่ะ?หม่อมฉันเพียงแค่อยากมาถามว่าเหตุใดผู้ลอบสังหารเหล่านี้ถึงต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับพระองค์เช่นนี้ จะได้แก้แค้นให้พระองค์ได้ง่ายขึ้น!” ถึงแม้ให้ตาย ก็ยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าผู้ลอบสังหารเหล่านั้นเป็นฝีมือเขาที่ส่งไป! “เป็นเช่นนี้จริงๆน่ะหรือ?เช่นนั้นก็เชิญน้องเจ็ดได้โปรดหลีกทาง พวกเราได้รับพระราชโองการจากเสด็จพ่อให้เข้ามานำตัวผู้ลอบสังหารเหล่านี้ไปไต่สวนต่อหน้าพระพักตร์ รบกวนหัวหน้าราชองครักษ์เหลียงเปิดประตูให้ด้วย” เฉินห้าวชี้ไปที่ประตูบานนั้นแล้วพูดอย่างหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญไป เหลียงต้งตอบรับคำ โบกมือให้หัวหน้าเรือนจำผู้นั้นเปิดประตูออก ภายใต้สายตาที่เบิกโพลงของเฉินอวี้ ก็ได้เปิดประตูบานนั้นที่กักขังผู้กระทำความผิดเอาไว้ในทันที เขาโมโหเป็นอย่างยิ่ง มีสิทธิ์อะไรที่พอเฉินห้าวเอ่ยปาก คนเหล่านั้นก็เปิดประตูอย่างรีบเร่ง เขาพูดอยู่ตั้งนาน กลับไม่มีใครยอมเปิดประตูให้กับเขา? จากนั้น คนสองสามคนก็กุมตัวผู้ต้องสังหารเหล่านั้นมายังพระตำหนักเหวินหวู่ สิ่งที่เห็นก็คือฮ่องเต้เฉินเหยี่ยนประทับอยู่บนเก้าอี้มังกรอย่างสูงส่ง ทรงพลัง มีพลานุภาพ “คารวะเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อจงทรงพระเจริญ” หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงโบกพระหัตถ์ให้พวกเขาลุกขึ้นพูด ด้านในพระตำหนักเหวินหวู่ที่เคร่งขรึมน่าเกรงขามเต็มไปด้วยความอึดอัด ทำให้มีความรู้สึกหายใจไม่ออก ทุกคนต่างไม่พูดอะไรออกมาสักคำ รับฟังพระสุรเสียงที่แก่ชราของฮ่องเต้ “อ๋องสิง เมื่อวานนี้ข้าได้ฟังองค์ชายสิบเอ็ดพูดเรื่องที่สนามแข่งม้า อีกทั้งส่งเฉินต้งไปช่วยชีวิตพวกเจ้าได้อย่างทันเวลา หลังจากจับกุมผู้ลอบสังหารมาผ่านการไต่สวนแล้ว ผู้ลอบสังหารเหล่านี้ได้พูดออกมาหรือไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร?” เฉินห้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นคารวะแล้วจึงตอบคำถาม “กราบทูลเสด็จพ่อ ผู้ลอบสังหารเหล่านี้ได้รับการทรมานทุกอย่างแล้วก็ยังไม่ยอมพูดออกมาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใครพะยะค่ะ” “มีอย่างที่ไหนกัน!” ฮ่องเต้ทรงตะโกนเสียงดังออกมาด้วยความโมโห มองไปทางผู้ลอบสังหารสองสามคนนั้น “หากพวกเจ้ายอมพูดออกมาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร ข้าสามารถไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง วาจาของข้าหนักแน่นดุจติ่งทองเก้าชั้น ไม่กลืนคำพูดของตนเองโดยเด็ดขาด” คิดไม่ถึงว่า ผู้ลอบสังหารเหล่านั้นมองหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้าที่ตื่นกลัวปรากฏแสงสว่างออกมาราวกับมองเห็นความหวังของการรอดชีวิต ในขณะที่กำลังรอการพูดรับสารภาพออกมาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร ทันใดนั้นผู้ลอบสังหารทุกคนก็กระอักเลือดตายในทันที ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แทบจะชั่วพริบตาเดียว ผู้ลอบสังหารสองสามคนนี้ก็ตายแล้ว ทุกคนต่างก็ตกใจกลัว ถอยหลังกันไปหลายก้าว เฉินห้าวเข้าไปจับชีพจร แล้วตอบว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ ผู้ลอบสังหารเหล่านี้ตายแล้วพะยะค่ะ” “ตายด้วยเหตุใด?” ฮ่องเต้ก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยเช่นเดียวกันครู่นี้ยังดีๆอยู่ เหตุใดเพียงครู่เดียวถึงได้กระอักเลือดตายได้? แววตาของเฉินอวี้ฉายแววความได้ใจจนหลงลืมตัว ถอยออกไปอีกด้านอย่างเงียบๆ ในตอนที่ใม่มีใครสามารถให้คำอธิบายออกมาได้นั้น เหลียงซินก็เดินเข้าไปย่อตัวลงที่ด้านหน้าของซากศพเหล่านั้น เปิดปากและตาออกทีละคน ทั้งยังยกฝ่ามือขึ้นมาดู อาการของคนเหล่านี้แทบจะเหมือนกันทั้งหมด "กราบทูลเสด็จพ่อ เท่าที่หม่อมฉันรู้ ผู้ลอบสังหารเหล่านี้ก่อนตายน่าจะกินยาพิษชนิดหนึ่งเข้าไป ยาชนิดนี้จะแสดงอาการภายในเวลาที่ตั้งไว้ เสียชีวิตลงในทันที มีเพียงการกินยาถอนพิษภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้นจึงจะปลอดภัย หม่อมฉันคาดเดาว่า น่าจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาให้พวกเขากินยานี้เข้าไป ข่มขู่บังคับพวกเขารับหน้าที่เป็นทหารกล้าผู้ยอมสละชีพ” เหลียงซินยิ่งพูด สีหน้าของเฉินอวี้ก็ยิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่านางจะมีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะต้องกลายเป็นอุปสรรคในการขึ้นครองราชบัลลังก์เข้าสักวัน! หากไม่สามารถปราบปรามได้ เช่นนั้นก็มีเพียงทำลายทิ้ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องกลายเป็นภัยเงียบอันร้ายแรงใหญ่หลวงอย่างแน่นอน! ในใจของเขาแอบคิดไตร่ตรอง ถึงเวลาที่ต้องคิดหาทางกำจัดเหลียงซินแล้ว! “นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีวิธีการที่โหดร้ายเช่นนี้ ช่างเปิดหูเปิดตาให้กับข้าจริงๆ พวกเจ้ารีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ จะต้องหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังมาให้ข้าให้ได้!” ฮ่องเต้ทรงตบโต๊ะด้วยความโมโห ทรงพระพิโรธเป็นอย่างยิ่ง เหลียงซินพูดต่อไปว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันยังมีการค้นพบบางอย่างบนตัวของผู้ลอบสังหารเหล่านั้น หม่อมฉันอยากพูดคุยกับเสด็จพ่อเป็นการส่วนตัวเพคะ” 
已经是最新一章了
加载中