ตอนที่ 66 อนาคตยังอีกยาวไกล   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 66 อนาคตยังอีกยาวไกล
ต๭นที่ 66 อนาคตยังอีกยาวไกล แม้จะให้เธอโง่ไปกว่านี้ ก็ไม่มีทางที่จะเชื่อว่าเฉินห้าวเป็นคนที่มีความรู้สึกได้ ฉะนั้นเขาจะต้องพูดเช่นนี้ออกมาเพื่อที่จะทำให้เธออับอายขายหน้าอย่างแน่นอน! หึ...นึกแล้วเชียวที่แท้ก็เพื่อที่จะเห็นเธอเป็นตัวตลก เรื่องโกหกอะไรก็แต่งออกมาได้! เหลียงซินหัวเราะขึ้นอย่างประชดประชัน “แล้วก็ คำพูดนี้หากให้น้องหญิงได้ยินล่ะก็ คงจะเสียใจไม่น้อย อย่างไรพระองค์ก็ตรัสให้น้อยหน่อยจะดีกว่า” ดวงตาทั้งสองของเฉินห้าวหรี่ลงอย่างน่าหวาดกลัวและอันตราย แววตาที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายกวาดมองมาบนใบหน้าของเธอ แฝงไปด้วยความหมายที่ยากจะพูดให้ชัดเจนได้ นึกไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้จะเผยความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อเขาออกมาอย่างไม่แยแสถึงเพียงนี้ และสิ่งที่คิดอยู่ในสมองกลับเป็นเหลียงยิน? เขาหัวเราะขึ้นเบาๆ เขามาประชิดที่ข้างหูของเธอด้วยท่าทีที่เอื่อยๆ เสียงจากลำคอที่แหบพร่าดังขึ้นว่า “ไม่เป็นไร อนาคตของเรายังอีกยาวไกล” การเข้าใกล้อย่างกะทันหันของเขาทำให้เหลียงซินรู้สึกทั่วทั้งร่างกายอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ กระโดดห่างออกไปสามฟุตด้วยจิตใต้สำนึกที่อยู่ในใจ แล้วปัดฝุ่นที่อยู่บนร่างกายออก ดูเหมือนรอแทบไม่ไหวที่จะกำจัดกลิ่นของเขาให้ออกไป จากนั้นก็เดินไปทางห้องหนังสืออวี้โดยไม่หันกลับมา อย่างกับกำลังหลบเลี่ยงภัยพิบัติอะไรยังไงอย่างงั้น รอดชีวิตออกมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ ตอนนี้จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดก็คือ กราบทูลฮ่องเต้ให้ชัดเจนถึงเรื่องผู้ที่วางเพลิง เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยขององค์ชายสิบเอ็ด ทว่าเมื่อทั้งสองมาถึงยังห้องหนังสืออวี้ ก็พบองค์ชายเจ็ดเฉินอวี้อยู่ที่ด้านใน กราบทูลรายงานฮ่องเต้ถึงเรื่องนี้นำไปก่อนแล้ว และยังหาตัวผู้ลงมือพบไวยิ่งกว่าพวกเขา...นั่นก็คือป้าซิ่งที่ฆ่าตัวตายหลีกหนีความผิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “อ๋องสิง พระชายาสิง ครู่นี้ข้าได้ยินซ่างหวังบอกว่าพวกเจ้าทั้งสองช่วยชีวิตองค์ชายสิบเอ็ดไว้ได้ และยังหลบอยู่ที่ห้องลับในพระตำหนักฉู่อิงตลอดทั้งคืนถึงจะรอดออกมาได้ คราวนี้ข้าจะต้องตกรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม!พูดมาเถิดว่าพวกเจ้าอยากได้อะไร” พระสุรเสียงที่ดูมีอายุไม่สดใสของฮ่องเต้หมิงเจาดังขึ้น เหลียงซินกับเฉินห้าวหันมาสบตากันครู่หนึ่ง ความรู้สึกลึกๆไม่ค่อยจะดีนัก พวกเขาไม่รู้ว่าเฉินอวี้และฮ่องเต้หมิงเจาได้พูดคุยอะไรกันบ้าง มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือไม่ ฉะนั้นจึงได้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่กล้าพูดอะไรโดยไม่คิดออกไป “กราบทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันเป็นพี่ชายของน้องสิบเอ็ด ช่วยชีวิตเขาไว้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วพะยะค่ะ ไม่ได้ต้องการของรางวัลอะไร แต่ว่าครั้งนี้นึกไม่ถึงว่าจะมีคนบังอาจกล้าวางเพลิงในวังหลวง ขอเสด็จพ่อทรงอย่าได้ปล่อยไปง่ายๆโดยเด็ดขาด จะต้องทรงกวาดล้างพระตำหนักต่างๆให้สะอาด เพื่อตัดปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในภายหลังพะยะค่ะ” เฉินห้าวพูดขึ้นอย่างไม่ได้แสดงท่าทีต่ำต้อยหรือว่าสูงส่ง ฮ่องเต้หมิงเจาทรงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วตรัสว่า “ซ่างหวังได้หาตัวผู้ก่อเหตุวางเพลิงพบแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าได้ผ่านพ้นไป ข้าจะจัดเตรียมสถานที่อีกแห่งให้เป็นที่พำนักแก่องค์ชายสิบเอ็ด และส่งคนไปดูแลเขาเพิ่มอีกสองสามคน” วางเพลิงในวังหลวง ลอบสังหารองค์ชาย ก่อความไม่สงบภายในบ้านเมือง ข้อหาเหล่านี้ไม่ใช่เล็กๆ ทว่ากลับถูกหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญไปด้วยคำว่า “ผ่านไปแล้ว” เช่นนี้ นี่หมายความว่าจะไม่สืบค้นอีกต่อไปจริงๆน่ะหรือ? เหลียงซินไม่เข้าใจว่าในพระทัยของฮ่องเต้หมิงเจาทรงคิดอย่างไรกันแน่ หรืออาศัยเพียงแค่คำพูดของเฉินอวี้ผู้เดียวก็ทำให้เรื่องนี้จบลงได้อย่างง่ายดายเลยเชียวหรือ? “กราบทูลเสด็จพ่อ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเพคะ ป้าแก่ๆคนหนึ่งที่รับใช้ในเขตที่ประทับ เกรงว่าคงจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะวางเพลิงฆ่าคนได้ เหตุการณ์นี้จะต้องมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน หากไม่ตรวจสอบให้ถึงที่สุด จะทำให้ทุกคนจิตใจไม่สงบเพราะรู้สึกหวาดกลัวได้นะเพคะ” เหลียงซินเอ่ยปากออกมาบ้าง ทว่า ฮ่องเต้หมิงเจาทรงยังไม่ตรัสอะไรออกมา เฉินอวี้ก็อุทานอย่างเย้ยหยันพลางโต้แย้งขึ้น “หากตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของคนในวังหลวงไม่สงบ ราชสำนักปั่นป่วน หรือพวกท่านอยากจะเห็นสถานการณ์กลายเป็นเรื่องที่แพร่กระจายจนไม่อาจควบคุมได้?เสด็จพ่อทรงทำเช่นนี้ ก็เพื่อทั่วทั้งรัฐหนานเยว่!หรือว่าพวกพระองค์ทรงอยากจะให้ผู้คนทั่วหล้ามองเห็นเป็นเรื่องตลกงั้นหรือพะยะค่ะ?” ข้อคิดเห็นทางการเมืองขององค์ชายทั้งหลายไม่ตรงกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญก็คือดูว่าใครจะรู้พระทัยของฮ่องเต้ได้ดีกว่ากัน คราวนี้ เห็นได้ชัดว่าเฉินอวี้มีความคิดเห็นเดียวกันกับฮ่องเต้ หรือจะว่า เป็นเขาที่พูดโน้มน้าวฮ่องเต้ให้พระองค์ไม่ทรงไปตรวจสอบเรื่องนี้ต่อให้ถึงที่สุด หนึ่งในนี้ บางทีอาจจะมีกลอุบายอะไรแอบแฝงอยู่ หรือบางทีอาจจะเพื่อปิดบังความจริงบางอย่าง เหลียงซินยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่ฮ่องเต้หมิงเจาได้ทรงตัดสินพระทัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังทรงพระกาสะอีกสองสามที พระวรกายดูเหมือนจะอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน พระชายาสิงเจ้าอยู่ที่นี่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า” พระองค์ทรงพระกาสะเบาๆพลางตรัสขึ้น ถูกฮ่องเต้หมิงเจาให้อยู่ต่อตามลำพัง ในใจของเหลียงซินดูเหมือนจะคลับคล้ายคลับคาเดาออกได้ว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องอะไร กระทั่งหลังจากที่เฉินห้าวกับเฉินอวี้ออกไปแล้ว เธอก็เริ่มเอ่ยถามออกมาก่อนว่า “เสด็จพ่อทรงอยากจะตรัสเรื่องยาพิษในครั้งก่อนใช่หรือไม่เพคะ?” ฮ่องเต้หมิงเจาทรงพยักพระพักตร์เบาๆ “ตั้งแต่หลังจากที่คราวก่อนพบว่าในถ้วยยาถูกคนใส่ยาพิษลงไปนั้น ยาที่ส่งขึ้นมาในครั้งอื่นๆก็เป็นปกติทุกอย่าง แต่ช่วงนี้ข้ามักจะรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง หมอหลวงกลับบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ฉะนั้นจึงอยากให้เจ้ามาช่วยข้าดูอาการเสียหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” แม้แต่หมอหลวงก็ยังตรวจไม่พบว่ามีปัญหาอะไร ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่เป็นอะไร หรือไม่ก็คือพิษนี้ร้ายแรงมาก คนทั่วไปไม่สามารถค้นพบได้ เหลียงซินเดินขึ้นไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกลึกๆที่ไม่สงบ หลังจากที่จับชีพจรให้พระองค์แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะพบว่าในพระวรกายของพระองค์มีพิษชนิดหนึ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน พูดอย่างถูกต้องก็คือ ไม่เหมือนยาพิษ มิน่าหมอหลวงทั้งหลายต่างตรวจหาไม่พบ ผ่านไปอย่างช้าๆ ในใจของเธอก็เริ่มกระตุก ใบหน้าขาวซีด พิษนี้ได้แทรกซึมเข้าไปถึงไขกระดูกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงเหลือเวลาอีกไม่มาก อย่างมากที่สุดก็ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้เพียงอีกหนึ่งปีเท่านั้น นี่คือขีดสุดแล้ว จักรพรรดิผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศหนึ่ง กำลังถูกคนลอบทำร้ายอยู่ต่อหน้าของเธอเช่นนี้ และพระองค์เองกลับทรงไม่รู้ตัว ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าตกใจจนแทบหมดสติและช่างน่าเศร้าวังเวงเสียนี่กระไร เหลียงซินสูดหายใจเข้าเต็มปอด พูดขึ้นด้วยการแสร้งทำเป็นสงบนิ่งใจเย็นว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ พระวรกายของพระองค์ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพคะ ช่วงนี้ทรงรู้สึกอ่อนล้าคงจะเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยพระวรกายเป็นเหตุ หม่อมฉันสั่งจ่ายยาให้พระองค์เสวย ผ่านไปสักพักก็จะทรงดีขึ้นเพคะ” ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็ต้องพยายามใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมดช่วยถอนพิษให้กับฮ่องเต้หมิงเจาให้ได้ หากทำไม่ได้ ก็ต้องพยายามยืดเวลาชีวิตของพระองค์ให้มากขึ้นสักระยะหนึ่ง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป สงครามการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทจะต้องรุนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นแน่ ทั้งประเทศจะต้องลำบากยากเข็นเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็นอย่างแน่นอน เพื่อราษฏร สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงปิดบังไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆคิดหาวิธีการค้นหาว่าใครคือผู้กระทำความผิดออกมา “วิชาทางการแพทย์ของเจ้าสูงส่ง อย่างไรข้าก็เชื่อเจ้า อ้อ ใช่แล้ว ตอนนี้องค์รัชทายาทได้พ้นจากความผิด คาดว่าตอนนี้คงจะกลับเข้าวังไปแล้ว เจ้าไปบอกกับอ๋องสิงเสียหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล” ฮ่องเต้หมิงเจาตรัสขึ้นเบาๆ พระสุรเสียงราวกับทรงมีเรื่องมากมายที่หมดหนทางจะทำอะไรได้ เหลียงซินอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจเบาๆ “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” จากนั้นเธอก็เขียนใบสั่งยาออกมาใบหนึ่งแล้วส่งให้กับหลี่เต๋อ ทั้งยังสั่งเรื่องจำนวนครั้งในการเสวยพระโอสถ แล้วจึงได้ถอยกลับออกไป หลังออกมาจากห้องหนังสืออวี้ ในใจของเธอก็รู้สึกหนักอึ้งผิดปกติ แม้ว่าเธอจะคุยโม้โอ้อวดว่าตนเองเป็นหมอมากความสามารถแห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่บนโลกใบนี้ก็ยังมีเรื่องมากมายที่เธอเองก็ยังไม่มีความสามารถมากเพียงพอเช่นเดียวกัน เธอเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจ ทันใดนั้นก็ชนเข้ากับแผ่นอกที่แข็งแกร่ง พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็พบกับใบหน้าที่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ของเฉินห้าว “เสด็จพ่อทรงพูดคุยอะไรกับเจ้า?เหตุใดสีหน้าถึงได้น่าเกลียดเช่นนี้?” เขาใช้มือข้างหนึ่งบีบไปที่คางของเธอแล้วมองสำรวจอย่างจริงจัง เหลียงซินปัดมือของเขาออก ดวงตาที่ใสสว่างคู่นั้นดูเหมือนมีเรื่องที่อยากจะพูด ทว่ากลับถูกเธอเก็บเข้าไปทางเดิม แม้ว่าเฉินห้าวจะเป็นเทพสงครามที่ไม่ว่าใกล้ไกลก็เป็นที่รู้กันโดยทั่ว แต่ว่ามีเพียงความกล้าไม่มีแผนการ ทำอะไรหุนหันพลันแล่น อารมณ์ร้อน หากบอกเรื่องนี้กับเขา ก็มีแต่จะใช้กำลังมาแก้ไขปัญหา เพิ่มความยากลำบากเข้ามาก็เท่านั้น ตอนนี้ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งฮ่องเต้ที่สุดก็คือองค์รัชทายาท เขารักราษฎรราวกับลูกในไส้ และยังได้รับความรักและเคารพจากราษฎรเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับใคร... อย่างไรเสีย ฮ่องเต้หมิงเจาก็ยังทรงมีเวลาเหลืออีกหนึ่งปี “เสด็จพ่อตรัสว่า องค์รัชทายาททรงพ้นผิด เสด็จกลับเข้าวังไปแล้วเพคะ ให้พระองค์อย่าได้ทรงเป็นกังวล” เหลียงซินพูดอย่างเบาๆสบายๆ ยังมิวายแอบสังเกตความรู้สึกที่อยู่บนใบหน้าของเฉินห้าว สิ่งที่เห็นก็คือเขาสะบัดแขนเสื้อแล้วอุทานออกมาอย่างประชดประชัน “มันยังไม่มีค่าพอให้ข้าต้องเป็นกังวล” ทันใดนั้น อยู่ๆเงาที่อยู่ทางด้านหลังก็แทรกเข้ามาระหว่างกลางของพวกเขาในทันที ไม่รู้ว่าเฉินอวี้ตามหลังพวกเขามาตั้งแต่เมื่อไร แล้วได้ยินอะไรไปบ้าง น้ำเสียงของเขาดูสบายๆ แฝงด้วยความประชดประชันเล็กน้อย “พี่ห้า พี่สะใภ้ห้า ทั้งสองพระองค์ทรงดวงแข็งจริงๆนะพะยะค่ะ เมื่อคืนไฟไหม้ใหญ่ขนาดนั้นยังไม่สามารถเผาไหม้พระองค์ทั้งสองให้สิ้นพระชนม์ได้ ฟ้าช่างมีตาจริงๆเลย!” เหลียงซินกวาดตามองไปที่เขาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ อยู่ๆเธอก็รู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าเทียบกับเฉินอวี้แล้ว เฉินห้าวก็ยังไม่ถือว่าน่ารังเกียจที่สุด “หากเปลี่ยนเป็นองค์ชายเจ็ดที่ทรงประทับอยู่ในพระตำหนักฉู่อิงแล้วล่ะก็ หม่อมฉันว่าก็คงจะไม่มีเรื่องไฟไหม้นี้เกิดขึ้น” คิ้วที่งดงามราวกับใบของต้นหลิวของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อย ท่าทีมีเสน่ห์งดงามสะดุดตา เฉินอวี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยแคลงใจว่า “ไม่ทราบว่าคำพูดนี้พี่สะใภ้ห้าหมายความว่าอย่างไรกัน?” เหลียงซินหัวเราะเบาๆ เหลือบมองไปทางเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เพราะว่าผู้ก่อเหตุวางเพลิงรู้ว่าเป็นพระองค์ที่ทรงปล่อยเขาไป เขาซาบซึ้งใจ ดังนั้นต้องทำใจไม่ได้ที่จะวางเพลิงสังหารพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ!” ประโยคนี้มีความนัยแฝงอยู่ ทั้งประชดประชันเรื่องที่เมื่อครู่นี้ในห้องหนังสืออวี้เฉินอวี้เสนอความคิดเห็นให้เรื่องการวางเพลิงนี้เปลี่ยนจากเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังเป็นการอธิบายแสดงให้เห็นโดยอ้อมว่าเขากับผู้ก่อเหตุวางเพลิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครได้รับรู้อยู่ พอคำพูดนี้หลุดออกมา แม้แต่เฉินห้าวก็ยังอดไม่ได้ที่จะยกริมฝีปากบางให้โค้งขึ้น มองไปยังเหลียงซินอย่างชื่นชมในความสามารถ เธอมักจะใช้เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้คนขาดใจตายได้ เฉินอวี้เมื่ออยู่ต่อหน้าของเธอแล้ว อย่างไรก็ยังละอ่อนเกินไปนัก! สีหน้าของเขาแลดูน่าเกลียดขึ้นมาในทันที ชี้ไปยังเหลียงซินแล้วหลุดปากด่าออกมา “นี่เจ้ากำลังใส่ความข้า!ข้ากับผู้ก่อเหตุวางเพลิงไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันแม้แต่น้อย หากเจ้ายังพูดโดยไม่ยั้งคิดอีก อย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เฉินห้าวเดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว บังเหลียงซินเอาไว้ ใบหน้าที่คมเข้มเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง “ในเมื่อเป็นการใส่ความ เช่นนั้นก็ไม่เป็นความจริงอยู่แล้ว เจ้าจะตื่นเต้นกระวนกระวายใจเช่นนี้เพราะเหตุใด?” เฉินอวี้รู้สึกยอมแพ้ขึ้นมาในทันที “หม่อม หม่อมฉันตื่นเต้นหรือพะยะค่ะ?หม่อมฉันเพียงแค่กำลังปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเองก็เท่านั้น คำพูดของคนเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก!” เพียงแค่ประโยคเดียว ก็เผยความโง่เขลาของเขาออกมาจนหมด ต่อหน้าคู่สามีภรรยาที่ทั้งสติปัญญาสูงและยังร้ายลึกเช่นนี้ โอกาสที่เขาจะโต้แย้งได้สำเร็จแทบจะเป็นศูนย์ ในฐานะที่เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่องค์ชายทั้งหลาย เขาก็มีแค่การใช้เล่ห์ร้ายอย่างลับๆที่ไม่กล้าเปิดเผยออกมาจุดนั้นมากขึ้นมาหน่อย นอกนั้นเช่นสติปัญญาหรือว่าความฉลาดทางอารมณ์อะไรเหล่านั้น แทบจะไม่มี เหลียงซินหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆว่า “การกระทำดีกว่าคำพูด องค์ชายเจ็ดนี่พระองค์ทรงอธิบายให้ใครฟังอีกเล่าเพคะ?” “ข้า...” เฉินอวี้โกรธจนหน้ามืดไปหมด นึกไม่ถึงว่าในสมองแม้แต่คำที่จะใช้พูดโต้แย้งสักคำก็ยังไม่มี! เฉินห้าวก็ไม่ได้สนใจที่จะเอ่ยอะไรออกมาอีก พาเหลียงซินกลับวังไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ เหลือเพียงแค่เฉินอวี้ที่อึ้งตะลึงงันอยู่ตรงที่เดิมด้วยความรู้สึกที่ช้า เขาตบไปที่ศีรษะของตนเองอย่างรุนแรง นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกเหลียงซินหญิงผู้นั้นทำจนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว! บ้าจริง! เขาเฉินอวี้เริ่มตั้งแต่วินาทีที่กำเนิดออกมา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ต่อจากนี้นับวันจะยิ่งสนุกมากยิ่งขึ้นเสียแล้ว คอยดูก็แล้วกัน ดูว่าใครจะสู้ใครได้ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร จะได้รู้ผลลัพธ์ในทันที ม้าตัวหนึ่ง เดินทางจากวังหลวงมาถึงยังวังสิงหวังอย่างเชื่องช้า ปกติต้องการแค่เพียงครึ่งชั่วยาม วันนี้กลับเดินอย่างไม่หยุดพักมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เหลียงซินจิตใจไม่สงบราวกับนั่งอยู่บนเบาะที่ปักเต็มไปด้วยเข็มเล็กๆก็ไม่ปาน พอถึงด้านนอกประตูวังท่านอ๋อง ก็รีบกระโดดลงจากรถม้าในทันที คิดที่จะแยกทางกันกับ “ราตรีสวัสดิ์เพคะท่านอ๋อง ลาก่อนเพคะ” เธอยกขาขึ้น ในขณะที่คิดจะออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็วนั้น ปกคอเสื้อกลับถูกคนดึงเอาไว้อย่างแน่นหนา เฉินห้าวดึงคอเสื้อของเธอเอาไว้เช่นนี้ จากนั้นก็เดินไปทางตำหนักเจียวหยางของเธอ “วันนี้ข้าจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักของเจ้า”
已经是最新一章了
加载中