ตอนที่ 72 ความอัปยศที่ต้องคุกเข่า
1/
ตอนที่ 72 ความอัปยศที่ต้องคุกเข่า
หมอยาไร้ใจ
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 72 ความอัปยศที่ต้องคุกเข่า
ตนที่ 72 ความอัปยศที่ต้องคุกเข่า คืนนี้ผ่านไปอย่างช้านาน ตั้งแต่บุคคลลึกลับจากไปแล้ว เหลียงซินพลิกตัวไปมาไม่ได้หลับอีกเลย หลังจากฝนตกหนักค่อยๆซาลง ก็ได้เวลารุ่งสางแล้ว ชิวเย่ว์ ชุนฮวาก็เข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตา นางเพียงแค่ถามเบา ๆ ว่า “พวกเจ้ารู้ไหมว่าเมื่อคืนมีคนมา?” พวกนางทั้งสองต่างจ้องมองตากันปราดหนึ่ง สั่นศีรษะราวกับตีกลองรัว ตกใจมองดูเหลียงซิน “ไม่มีเพค่ะ พระสนม มีใครเข้ามาหรือเพค่ะ?” ดูแล้วพวกนางทั้งสองต่างไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ชายชุดดำคนนั้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้ เหลียงซินก็โล่งใจแล้ว ถ้าปล่อยให้คนในพระตำหนักรู้ว่าคนลึกลับคนนั้นได้เคยปรากฏตัวมาก่อนแล้ว ต้องมีการนองเลือดฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งแน่ ๆ ทางที่ดีที่สุดยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งดี เพิ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จ ไม่คิดว่าหวินเหม่ยองครักษ์ข้างกายของเฉินฮ่าวก็เข้ามาเรือนเจียวหยาง สีหน้านางไร้ความรู้สึก ก้าวเข้ามาในห้องอย่างองอาจ ทำการคำนับเล็กน้อย “พระสนม ท่านอ๋องเชิญท่านไปเรือนลั่งอิน เชิญเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หวินเหม่ยทำมือ เชิญเหลียงซินออกไปอย่างเย็นชา เมื่อเอ่ยถึงเรือนลั่วอิน ต้องเป็นเรื่องเมื่อวานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นให้นางไปรับการลงอาญาหรือ? ริมฝีปากอันงดงามเย้ายวนน้ำลายแทบหยดของเหลียงซิน เผยอรอยยิ้มขึ้น ไม่กลัวแม้แต่น้อย ยังไงก็เชื่อว่านางใช้เข็มเงินเพื่อทำร้าย เหลียงอินไปแล้ว นางกลับต้องการเห็นว่ายังจะทำอะไรได้ สีหน้านางไม่เปลี่ยน มาถึงเรือนลั่วอิน ยังไม่ได้เข้าประตู แม่เฒ่าหวังที่ข้าง ๆ ได้วิ่งออกมา จับยึดไหล่ควบคุมนางไว้นอกประตู ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับการกระทำต่อนักโทษคนหนึ่งแบบเดียวกัน เหลียงซินหัวเราะอย่างเย็นชา แววตาดุจหนามอันเยือกแข็งกวาดมองแม่เฒ่าหวัง เตือนอย่างไม่จงใจว่า “เจ้ากล้าแตะต้องข้าสักครั้ง ข้าจะทำลายมือของเจ้าเสีย” เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเหลียงซินนี้ ในใจของแม่เฒ่าหวังสะท้านขึ้นคราหนึ่ง ความกลัวและความสยองกระแสหนึ่งได้ลอยขึ้นมาจากฝ่าเท้า แต่เมื่อคิดถึงเหลียงอิน ความกลัวเรื่องนี้ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางกัดฟันไว้ เปิดปากอย่างแข็งขืนพูดว่า “บ่าวชราก็น้อมรับพระมหาบัญชาของท่านอ๋อง ยังขอพระสนมอย่าได้ทรงตำหนิเลยพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบแล้ว นางก็เตะที่น่องของเหลียงซินอย่างหนักหน่วงดุร้ายไปครั้ง “โครม”ทีเดียวก็ล้มลงกับพื้นโดยไม่ทันระวัง คุกเข่าลง ช่างอัปยศอะไรเช่นนี้ แววตาเหลียงซินตาฉายความรู้สึกอันเยือกแข็ง นี่เป็นครั้งแรกและก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ให้บ่าวเฒ่าคนหนึ่งมาขี่บนศีรษะของนาง พลิกมือกุมกลับไปครั้ง “แคร๊ก ๆ” นางได้บิดข้อมือของแม่เฒ่าหวังหักทั้งเป็น ลงมือไร้ความเมตตา นี่คือจุดจบของการทำให้นางได้รับความอัปยศ “โอ้ย ๆ พระสนมเช้อช่วยชีวิตด้วยเพค่ะ! พระสนมเช้อทรงโปรดรีบมาช่วยบ่าวเฒ่าด้วยเพค่ะ...” แม่เฒ่าหวังที่เจ็บปวดจนรับไม่ไหวก็เริ่มตะโกนเสียงดังในทันใด นางล้มลงไปกับพื้นกลิ้งดิ้นรน มือข้างหนึ่งจับข้อมืออีกข้างไว้ ทั้งคนดูน่าทุลักทุเล น่าสงสาร แต่กลับไม่ทำให้ผู้คนน่าเห็นใจ เสียงดังเข้าไปในห้อง เหลียงอินและเฉินฮ่าวรีบออกมาจากห้องทันที ตรงหน้า แม่เฒ่าหวังล้มลงกับพื้น นางกุมจับไว้ ครางอย่างเจ็บปวดทรมาน แต่เหลียงซินรูปร่างเพรียว กระโปรงสั้นบานสีเหลืองอ่อนยิ่งเสริมให้นางทั้งร่างสวยงามมีเสน่ห์ บนศีรษะเสียบหวีอันหนึ่งไว้อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องตกแต่ง ก็มีความงามในตนเอง โดยเฉพาะแววตาที่โปร่งใสนั้น มองไปแล้วดูสะอาดสะอ้านมาก ไม่ต่ำต้อยไม่หยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น เหลียงอินลากร่างที่อ่อนแอและเหนื่อยล้าช่วยพยุงแม่เฒ่าหวังขึ้นมา ถามอย่างห่วงใยว่า “แม่เฒ่าหวัง เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?” แม่เฒ่าหวังสะอื้นไห้ พูดคำขาด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจนไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์ “มือ มือ มือของบ่าวเฒ่าหักไปแล้ว! ท่านอ๋อง พระสนมเช้อ พวกท่านต้องช่วยตัดสินให้บ่าวเฒ่าด้วยเพค่ะ!” กล่าวจบแล้วนางก็เริ่มร้องห่มร้องไห้แง ๆ ขึ้นมา ลักษณะท่าทางดูตลกมาก “ท่านอ๋อง แม่เฒ่าหวังเป็นบ่าวเฒ่าที่ได้อยู่ร่วมกับข้าน้อยตั้งแต่แต่งงานมา ยังขอให้ท่านอ๋องให้แพทย์หลวงมาช่วยรักษานาง มิฉะนั้นข้าน้อยจะรู้สึกไม่สบายใจเพค่ะ!” เหลียงอินวิงวอนเฉินฮ่าวทันที เฉินฮ่าวพยักหน้าเล็กน้อย โบกมือเรียกหวินเหม่ยที่ข้างหลัง ให้นางไปตามแพทย์หลวง หลังจากนั้นสายตาอันยะเยือกเสียดแทงของเขาก็ได้จับจ้องไปบนร่างเหลียงซิน หญิงคนนี้ทำร้ายเหลียงอินไปแล้ว ยังกล้าที่จะต่อต้าน ช่างไม่ต้องการชีวิตแล้วจริง ๆ ! “เหลียงซิน เจ้ารู้มั้ยความผิดไหม?” เสียงแหบแห้งเย็นชาของเขาดังขึ้น แฝงด้วยการไต่ถามอย่างหนักหน่วง เหลียงซินที่อยู่ด้านข้างก็ลืมตาที่แจ่มใสขึ้นโดยพลัน แฝงรอยยิ้มน้อย ๆ มองไปทางเขา “เจ้าว่ากระไร? ข้าได้ยินไม่ชัด” ช่างสง่างามไร้ขีดจำกัด งดงามตระการตายิ่งนัก ในน้ำเสียงของเฉินฮ่าวมีร่องรอยความเกียจคร้าน “ได้ยินไม่ชัดใช่ไหม? จุยเฟิง จหรูเย่ว์ควบคุมนางให้เปิ่นหวัง ให้นางคุกเข่าทบทวนสำนึกตนสองชั่วยาม” ทันใดเหลียงซินก็ถูกมือทั้งคู่จับบังคับไว้แน่น บีบคั้นให้นางคุกเข่าลง จนใจที่พละกำลังของนางน้อยเกินไป ไม่ว่านางจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่หลุดพ้นจากพันธนาการได้ ความอัปยศอดสูที่ไหลบ่าเข้ามาในจิตใจของนาง สายตาแหลมคมของนางมองไปยังเฉินฮ่าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหลียงอิน การปกป้องซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันที่ผ่านมาในช่วงเวลานี้หายไปกับสายลมทั้งหมด ความรู้สึกที่ดีซึ่งผุดขึ้นมาจากจิตใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ขณะคุกเข่าเวลานี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ความรู้สึกที่ดีอันเล็กน้อยในท้ายสุดก็ถูกฆ่าล้างจนสิ้นซาก ก็ถือเสียว่า การเต้นของหัวใจชนิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็ถือเสียว่าอารมณ์ที่ไหลบ่ามาอย่างรุนแรงไม่ใช่เพื่อเขา ทุกอย่างทั้งหมดล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา เอ่อ นาง เหลียงซินไม่ได้ต้องการความรักหรือถูกรัก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนางลำพังตัวคนเดียวก็สามารถมีชีวิตที่ดีมากได้ ไม่ต้องไปง้อขอความรักที่น่าสงสารอันน้อยนิดนั้นหรอก เฉินฮ่าวมองนางอย่างลึกซึ้ง มักรู้สึกว่าสายตาของนางนี้ ราวกับว่ากำลังตัดใจสั่งลา ในใจรู้สึกปวดร้าวนิด ๆ ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เหลียงอินได้สังเกตเห็นสายตาอันละเอียดอ่อนระหว่างพวกเขา แอบรู้สึกไม่ดี รีบคว้ามือของเฉินฮ่าวทันที แนบชิดอกของเขา “ท่านอ๋อง ท่านยังคงรีบให้พี่ท่านลุกขึ้นมาเถอะ! คุกเข่าบนพื้นนานเกินไปจะถูกความเย็นได้ง่าย ข้าน้อยขณะนี้ก็ดีแล้ว ยังคงอย่ากล่าวโทษพี่เขาเลยเพค่ะ” นางพัวพันอย่างหลงใหลทำท่าอ้อนฉอเลาะ เฉินฮ่าวไม่คิดจะให้เหลียงซินคุกเข่านานเกินไป สายตาเย็นชามองไปบนตัวนาง ถามอีกครั้งว่า “เจ้ารู้ความผิดไหม?” เหลียงซินไม่ตอบ ยังคุกเข่าตรงแน่ว สายตาเฉียบขาดเย็นชา ไร้ร่องรอยของความอบอุ่นและความรู้สึก ดื้อรั้นราวกับรูปปั้นหินเช่นนั้น “พี่ค่ะ ท่านก็ยอมรับความผิดเถอะ ครั้งนี้ไม่ติดตามไต่สวนอีก ในเมื่อเราเป็นพี่น้องกัน! ไม่อาจทำร้ายกันและกันได้เพค่ะ” เหลียงอินแกล้งทำทีเตือนอยู่ข้าง ๆ สิ่งที่นางพูด ช่างน่ารังเกียจชวนให้คลื่นไส้อาเจียน เรื่องที่แท้จริงคืออะไร ในใจนางรู้ดีที่สุด เหลียงซินไม่เคลื่อนไหวไม่แยแส นิ่งเฉยไว้สักครู่ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียน จะถูกเก็บจดจำไว้ในใจอย่างมั่นคง เฉินฮ่าวเห็นลักษณะท่าทีนางที่ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งก็ไม่รับประทาน ความรู้สึกในใจชิ้นนิดชิ้นน้อยนั้นถูกบดขยี้จนพอประมาณแล้ว จึงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ไม่รักดี” ก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป เมื่อเขาไปแล้ว ในลานเรือนลั่วอินก็เงียบเสียงลงทันที คนรับใช้ไม่กี่คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างทำงานของตนเอง ไม่มีใครกล้าไปข้างหน้าส่วนใหญ่ล้วนเพียงกล้ากระซิบกระซาบนินทาลับหลัง เหลียงอินก้าวเท้าดุจดอกบัวเดินน้อย ๆ ช้า ๆ ไปที่เหลียงซิน แววตาละเอียดอ่อนปรากฏความเห็นอกเห็นใจและความสงสาร แต่ที่มีความหมายแฝงมากกว่าคือความสะใจหลังจากที่ได้แก้แค้นแล้ว เพียงชั่ววูบแล้วก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยหมดจดยิ่ง “พี่ท่าน ทำไมท่านถึงได้ดื้อรั้นแบบนี้? ยอมรับความผิดพลาดและขอโทษจะดีกว่าที่ต้องรับการลงอาญาในที่นี่!” นางพูดเตือนเบา ๆ “มิเช่นนั้น เจ้าก้มคำนับขอโทษแก่ข้า ข้าก็จะไปขอร้องท่านอ๋องอย่าทำให้เจ้าลำบากใจ” ช่างเป็นการหลงใหลเพ้อฝันจริง ๆ ขอโทษนาง ชาติหน้ายังเป็นไปไม่ได้! เหลียงซินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาอันหนาวเหน็บห่างเหินยังแฝงความเยือกแข็งในยามฤดูหนาวที่ผ่านไปมา “เจ้านับเป็นตัวอะไร? ขอโทษเจ้า อาศัยอะไร?” นอกจากนี้ พวกนางต่างรู้แจ้งแก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นการใส่ร้ายหรือไม่ ก็มีเพียงเหลียงอินเท่านั้นจึงสามารถคิดแผนประเภทปัญญาอ่อนเช่นนี้ออกมาได้ สีหน้าซีดขาวจากอาการป่วยของเหลียงอินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความโกรธนั้นเพียงชั่วแวบเดียวก็หายไปทันที ใบหน้ารีบประดับยรอยยิ้มจอมปลอมทันที “พี่ท่าน ท่านอ๋องรังเกียจเดียดฉันท์ท่านเช่นนี้ มิใช่ไร้สาเหตุ ข้าเตือนพี่ท่านว่ายังคงอย่ายั่วให้ท่านอ๋องทรงพิโรธเลย” ช่างน่าสะอิดสะเอียนชวนให้ผู้คนคิดอยากอาเจียนจริง ๆ บนใบหน้าเหลียงซินปรากฏรอยยิ้มกระหายเลือดขึ้นมา “ถ้าเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก ข้าไม่รังเกียจที่จะให้เขารังเกียจข้าอีกนิด” โบกมือ ยกกำปั้นขึ้น มองเหลียงอินอย่างโหดเหี้ยม ถ้าหมัดนี้ซัดออกไป นางอาจจะตายได้ สีหน้าเหลียงอินค่อย ๆ ซีดลงอีก ขยับริมฝีปาก ยังคิดจะพูดอะไร ก็เห็นหวินเหม่ยนำแพทย์หลวงเข้ามาเรือนลั่วอิน นางจึงหันไปมองแม่เฒ่าหวังแล้ว ทันใด ผู้คนในลานไป ๆ มา ๆ ท่าทีรีบร้อน ยุ่งเหยิง ผ่อนคลาย มีบางคนที่ผ่านข้างกายเหลียงซินไปบ้าง ถ้ามีก็หลับตาเดินผ่านไป เฉกเช่นคนดื่มน้ำ รู้เย็นหรืออบอุ่นด้วยตนเอง สองชั่วยาม ในชั่วพริบตาก็ผ่านไป เหลียงซินค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นมา ขาทั้งคู่ได้ชาเป็นอัมพาตไปแล้ว แต่นางยังคงยืนหยัดยืนขึ้นมา มือทั้งคู่หยิกต้นขา ฝืนรักษาจังหวะก้าวเดินให้มั่นคงไว้ เดินทีละก้าว ๆ ไปจากเรือนลั่วอิน ความอัปยศอดสูของวันนี้ นางได้บันทึกไว้ว่าในอนาคตจะคืนให้แก่เฉินฮ่าวและเหลียงอินทีละแต้มทีละหยด ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านหน้าไป ภาพภูผาเทียมที่สะท้อนกลับออกมา เรียงรายไว้ด้วยความผิดหวังและความเกลียดชังเต็มตา แม้แต่วันที่สวยงามในเดือนสี่ก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอย่างไร้เทียมทานในบัดนี้ ฟ้ามืดสลัวในทันใด เหลียงซินเพิ่งออกประตู ก็มีคนหนึ่งสวนมาอย่างเร่งรีบ พลันชนกระแทกใส่นาง “โครม” เสียงสะอื้นอย่างรวดเร็วก็ดังขึ้น “พระสนมสิง พระสนมสิง! ได้โปรดรีบไปช่วยองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” นางยังไม่ทันยืนได้มั่นคง ก็จดจำคนนั้นได้ เป็นบ่าวรับใช้ซึ่งได้มาพระตำหนักอ๋องสิงในครั้งที่แล้วเพื่อขอให้นางไปช่วยองค์รัชทายาท ไม่คิดว่าครั้งนี้เขาได้มาอีก คิดว่าต้องเป็นอาการป่วยขององค์รัชทายาทสาหัสขึ้น “เกิดอะไรขึ้น พระอาการทรงประชวรขององค์รัชทายาทครั้งที่แล้วไม่ดีขึ้นเหรอ?” นางถามอย่างหงุดหงิดกระสับกระส่ายบ้าง บ่าวรับใช้คนนั้นขยี้ตา ส่ายหน้า “ยังไม่ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ครั้งที่แล้วบ่าวกลับไปแล้ว องค์รัชทายาทก็ได้หมดสติไปแล้ว ถึงวันนี้ยังไม่มีสติกลับมา เมื่อครู่บ่าวได้ส่งคนไปถวายรายงานต่อองค์จักรพรรดิ ขณะนี้พระมเหสีก็ทรงประทับอยู่ในพระตำหนักองค์รัชทายาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหตุการณ์นี้ได้ทำให้คนในวังตกใจไปหมดแล้ว องค์รัชทายาทน่าจะร้ายมากกว่าดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็เป็นแพทย์คนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับผู้ป่วยไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิตอยู่ต้องไปดูสักคราก่อน จึงจะไม่เสียใจ “ได้ ข้าจะไปเรือนเจียวหยางเอากล่องยาแล้วจะตามเจ้าไปที่พระตำหนักขององค์รัชทายาท” นางก้าวเท้าที่แข็งชาไปถึงเรือนเจียวหยางหิ้วกล่องยาแล้วตามผู้รับใช้ไปพระตำหนักขององค์รัชทายาทด้วยกัน แปลกที่ครั้งนี้เฉินฮ่าวกลับไม่ได้รั้งนางไว้
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 72 ความอัปยศที่ต้องคุกเข่า
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A