ตนที่93ฉันหวังว่าจะได้ครองคู่อยู่กับเธอจนแก่เฒ่า
ฉันคิดว่าจะได้อยู่คนเดียวในเย็นวันนี้
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกโดดเดี่ยวแต่ว่าสิ่งของที่นภทีป์เตรียมไว้ให้ฉันกลับทำให้ฉันทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก
เมื่อถึงเวลาหกโมงกว่านภทีป์ก็กลับมา
ในขณะที่ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยถามว่าทำไมเขาถึงกลับมาชายหนุ่มก็เอื้อมมือมาจับมือฉันไว้แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า“ฉันจะปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียวในวันส่งท้ายปีเก่าได้อย่างไร”
เขาพูดแล้วก็ดึงฉันเดินออกไปข้างนอก
ฉันตกใจ“เธอไม่ได้จะพาฉันไปพบพ่อแม่ของเธอจริงๆนะ”
“ไม่ใช่ไม่ใช่ฉันแค่บอกว่าจะพาไปเพื่อนไปกินข้าวด้วย”นภทีป์ตอบพร้อมกับเดินนำบังคับให้ฉันเดินไปข้างนอก
ราวกับว่าฉันถูกบังคับลากเข้าไปนั่งในรถอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อนั่งบนรถแล้วฉันอยากจะออกไปเขาไม่เห็นด้วยและสตาร์ทรถ
ฉันรู้สึกไม่ยินดีเมื่อถึงชั้นล่างที่บ้านของเขาฉันอยากจะไปจากที่นั่น
แต่ว่านภทีป์มองมาที่ฉันแล้วแสดงท่าทางน่าสงสาร“ฉันบอกพ่อกับแม่ไปแล้วพวกท่านเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะเลยเธอจะช่วยกินมันหน่อยได้ไหม?”
พูดพลางเอามือจับคางไว้แล้วมองฉัน
โดนเขามองแบบนั้นแล้วฉันก็รู้สึกอายฉันจึงตอบตกลงไปอย่างไม่มีทางเลือก
ถึงกระนั้นฉันก็เข้าใจดีฉันได้มาพบพ่อแม่ของชายหนุ่มในวันส่งท้ายปีเก่าเช่นนี้มันหมายถึงอะไร
หลายปีมานี้นภทีป์ดีกับฉันมากฉันก็มองเห็น
อย่างที่ฉันคิดไว้ก่อนหน้านี้ถ้าหากไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกได้ก็จะใช้ทั้งชีวิตตอบแทน
ฉันตามนภทีป์ขึ้นไปชั้นบน
เมื่อประตูเปิดออกฉันเห็นคู่ชายหญิงชราอายุห้าสิบกว่ายืนอยู่ที่ปากประตูพอเห็นฉันต่างก็ยิ้มอย่างยินดี“แม่หนูต้องลำบากเดินทางมารีบเข้ามาเถอะ”
พูดแล้วก็เข้าพาฉันเข้าไปในบ้าน
ฉันรู้สึกเกิดความละอายขณะที่เดินไปก็พูดว่า“สวัสดีปีใหม่นะคะคุณลุงคุณป้ารู้สึกละอายจริงๆค่ะวันปีใหม่ยังมารบกวนอีก”
“ไม่รบกวนไม่รบกวนเลย”
คนแก่ทั้งคู่ต่างโบกมือ
ฉันเข้าไปด้านในก็เห็นโต๊ะทานข้าวที่ไม่ใหญ่มากวางอาหารไว้ชุดใหญ่มีปลามีเนื้อเพราะว่าอาหารเยอะมากจนวางไม่พอจึงต้องวางจานอาหารซ้อนกัน
นภทีป์ห็ฉันนั่งลงฉันลังเลอยู่ชั่วครู่มองเข้าไปที่ห้องครัวดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ต้องให้ฉันช่วยทำแล้วจริงๆจึงพูดว่า“ให้คุณลุงคุณป้านั่งก่อนเถอะค่ะ”
พ่อแม่ของนภทีป์ได้ยินฉันพูดเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างยินดีรีบนั่งลง
หลังจากนั่งลงพ่อแม่ของเขาก็พูดว่า“ที่นี่พวกเราอาหารบ้านๆธรรมดาๆไม่รู้ว่าจะถูกปากเธอหรือเปล่านะ”
พูดแล้วก็คีบเนื้อปลาวางลงในชามของฉัน
“ขอบคุณค่ะ”
นอกจากคำว่าขอบคุณแล้วฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
อาหารที่พ่อแม่ของนภทีป์ทำนั้นอร่อยมาก
เมื่อถึงตอนค่ำดูเหมือนสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือฉันตักอาหารให้ฉันไม่หยุดจนฉันกินไม่ไหวแต่ว่าพ่อแม่ของเขายังคงให้ฉันกิน
สุดท้ายแล้วนภทีป์เห็นว่าฉันอิ่มแล้วจริงๆจึงพูดว่า“ฉันกินเองนะ”
พูดแล้วก็ตักอาหารออกจากชามของฉัน
“อันนั้นฉันกินไปแล้วนะคะ”ฉันหันไปมองนภทีป์ที่คีบอาหารออกไป
“ไม่เป็นไร”
นภทีป์ไม่รังเกียจ
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วโทรทัศน์เริ่มฉายรายการฉลองฤดูใบไม้ผลิฉันต้องการช่วยล้างจานแต่ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรพ่อแม่ของนภทีป์ก็ไม่ยอมให้ทำและให้ฉันนั่งพักผ่อน
พ่อแม่ของนภทีป์เก็บโต๊ะอย่างรวดเร็วจากนั้นก็นำจากส้มและแอปเปิ้ลเข้ามา
นภทีป์หยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วถามฉัน“กินมั๊ย?ฉันจะปอกเปลือกให้”
“ไม่…”
“ไม่ต้องถามหรอกน่ารีบปอกเปลือกเถอะ”
ฉันคิดจะปฏิเสธแต่คุณพ่อของนภทีป์ก็ส่งมีดปอกผลไม้ให้กับเขาแล้ว
อันที่จริงฉันกินจนอิ่มมากแล้วจริงๆ
นภทีป์เริ่มปอกเปลือกเขาปอกไปพลางและพูดไปพลางว่า“กินชิ้นเดียวก็พอแล้วเธอไม่ต้องกินทั้งหมดหรอก”
ค่ำวันนั้นเหมือนกับที่นภทีป์บอกฉันไว้ก่อนหน้านี้ทั้งพ่อและแม่ของเขาไม่มีใครถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา
ฉันและพวกเขานั่งดูรายการเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิบนโซฟาและดื่มน้ำผลไม้ไปด้วย
หลังจากเลยเที่ยงคืนก็ออกไปจุดพลุฉลองด้วยกัน
เพราะว่าฉันกลัวนภทีป์จึงปิดหูของฉันไว้
ความเป็นจริงในใจของฉันคืนวันปีใหม่นั้นไม่มีอะไรพิเศษเลยแต่ว่าทันใดนั้นนภทีป์กลับทำให้ฉัน
ตอนตีสองนภทีป์จึงส่งฉันกลับโรงแรม
ในตอนที่จะไปแล้วพ่อแม่ของเขาก็ให้ซองอั่งเปาแก่ฉันฉันปฏิเสธแต่พวกท่านยังคงต้องการที่จะมอบให้ฉันจึงรับมา
กลับมาถึงโรงแรมฉันเอนตัวนอนบนเตียงและถึงกับคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง
ด้านนอกเสียงจุดพลุยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ปีใหม่ยังคงมีต่อไป
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว
ฉันแอบคิดว่าหรือฉันจะตอบรับนภทีป์ไปดี
แต่งงานกับเขาฉันคงจะมีความสุข
วันรุ่งขึ้นนภทีป์ก็มารับฉันพาฉันไปเที่ยว
มีเมืองโบราณอยู่ข้างๆบ้านเกิดเมืองเล็กๆของเขาในตอนเช้าของวันปีใหม่มีคนแต่งตัวเป็นเทพแห่งความร่ำรวยและคอยยืนแจกจ่ายขนมอยู่ที่นั่น
ผู้คนโดยรอบไม่มากตอนที่พวกเขาเห็นฉันก็กระตือรือล้นเข้ามามอบขนมรูปแท่งเงินและเหรียญทองให้ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดกับฉันว่า“มั่งคั่งร่ำรวยนะ”
เราเพิ่งจะได้รับมาก็มีนักข่าวคนหนึ่งเข้ามาหาเธอคิดว่าพวกเราเป็นคู่รักกันเธอถามว่าพวกเราอยู่ในโลกของสามีภรรยามาฮันนีมูนใช่ไหม
นภทีป์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า“พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันครับ”
เป็นคำตอบที่มีชั้นเชิงมากๆ
เขาไม่ได้ปฏิเสธความสัมพัน์ของพวกเราทำให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายมาก
นักข่าวได้ฟังก็ถามพวกเราเพิ่มอีกหลายคำถามในตอนท้ายยังไม่ลืมที่จะอวยพรพวกเราว่า“ขอให้อยู่กันจนแก่เฒ่า”
ฉันแกะเหรียญทองคำเพื่อกินชอคโกแลตก็ได้ยินนภทีป์ที่อยู่ข้างกายฉันพูดว่า“ฉันหวังจะได้อยู่กับเธอไปจนแก่เฒ่านะ”
ฉันเงยหน้ามองเขาชายหนุ่มไม่มองดูฉัน
ฉันกวาดตามองเขาแล้วมองเห็นร่างที่คุ้นเคย
ดนุนัย?
พอลองมองดูอีกทีไม่มีแล้ว
ฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นน่าขันในช่วงเวลานี้ไม่ว่าดนุนัยจะอยู่ที่ไหนก็ต้องไม่ใช่เมืองเล็กๆราคาถูกแบบนี้อยู่แล้ว
ในตอนที่ฉันมองไปที่ดนุนัยเขาก็หันกลับมายกมือขึ้นแล้วลูบผมฉัน“รุ่นน้องเป็นแฟนของฉันเถอะนะอันที่จริงฉันว่าจะให้เวลาเธออยากจะให้เวลาเธอมากกว่านี้แต่ว่าฉันก็กลัวว่าจะมีคนมาพาเธอไป…”
“จะเป็นไปได้อย่างไร…”ฉันก้มหัว
ความจริงแล้วถ้าฉันจะต้องหาใครสักคนคนนั้นก็คือนภทีป์
ได้ยินฉันพูดเช่นนี้แล้วนภทีป์ใช้มือจับคางของฉันไว้ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นมองดูฉันใบหน้าที่หล่อเหลาเข้ามาใกล้ฉัน
จริงจังอะไรอย่างนี้
ฉันรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร…
ฉันเกิดความสับสนแต่ว่าฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะผลักเขาออกไปหรือเปล่า
ฉันมองดูเขาในใจบอกตัวเองว่ายอมรับเขาเถอะยอมรับเขาเถอะ
ที่สุดแล้วเขาดีกับฉันมากเกินไปฉันรู้ว่าตัวเองควรยอมรับเขามิฉะนั้นแล้วฉันไม่มีทางตอบแทนเขาได้
ฉันโน้มน้าวใจตัวเองค่อยๆปิดตาลงอย่างช้าๆ
รอให้ริมฝีปากนั้นมาประทับลง
แต่ว่ารออยู่หนึ่งวินาทีฉันก็รู้สึกได้ถึงริมฝีปากอ่อนโยนบนหน้าผากของฉันวินาทีต่อมาฉันได้บินชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ“ดูเธอสิกังวลจนมือสั่นไปหมดแล้ว”
“อ่า?”
ฉันรู้สึกอายขึ้นมา
นภทีป์ยื่นมือมาจับมอทั้งสองของฉันไว้แน่นกลางฝ่ามือยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยว่า“ฉันจะไม่หุนหันฉันรอจนกว่าเธอจะยอมรับฉันด้วยใจจริงนะ”
海量小说享免费阅读