ตอนที่26 สัญญาตาย   1/    
已经是第一章了
ตอนที่26 สัญญาตาย
ตอนที่26 สัญญาตาย ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีราวกับหม้อน้ำที่กำลังเดือด ใช่ จ้าวซิ้วไม่ได้แค่พูดสามคำนี้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่อาจเป็นเพราะว่าฉันก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนฉันก็เลยไม่ได้สนใจพวกเขา ฉันรีบลุกขึ้นมาและคลานกลิ้งไปที่หน้าคอมพิวเตอร์และกดปุ่มค้นหา ฉันมองดูบราวเซอร์ที่กำลังค้นหา หัวใจของฉันเกือบจะกระโดดเข้าไปในคอ ฉันไม่เคยอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้มากขนาดนี้เลย สรุปแล้วมันคืออะไร คืออะไรกันอะไรที่ทำให้จ้าวซิ้วมีความคิดที่ไม่รู้จักล้มเลิกที่จะฆ่าคน ? แต่ทว่าเมื่อหน้าเว็บดังกล่าวปรากฏขึ้นใจของฉันก็จมลงสู่ก้นบึ้งอีกครั้ง - ตัวอักษรสีเทาไม่กี่ตัวถูกเขียนลงบนหน้าเว็บไซต์ขนาดใหญ่ : เนื้อหาที่คุณค้นหาไม่มีอยู่หรือถูกลบไปแล้ว ไม่มี ? ฉันคิดว่ามันต้องถูกคนลบไปแน่ นี่จะบอกว่าฉันตื่นเช้ามาเพื่อค้นหาขนาดนี้กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรใช่มั้ย ! ฉันรู้สึกเฟลก็เลยเดินออกไปที่ลานกว้างการนอนคืนนี้ทำให้ฉันปวดหลังจริงๆ ฉันบิดขี้เกียจแล้วบังเอิญไปโดนใส่ชายชรา เขาไม่แม้แต่จะสนใจฉัน แต่ทว่าความอยากรู้ในใจของฉันมันกำลังเฟื่องฟูถ้าซูหลินเป็นนักบวชลัทธิเต๋ารุ่นเล็กแล้วชายชราคนนั้นจะเป็นนักบวชรุ่นเก่าไหมนะ? ดังนั้นฉันจึงยิ้มและเดินไปทักทายชายชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณปู่สวัสดียามเช้าค่ะ!” เมื่อชายชรามองฉันแบบนี้มันไม่ง่ายที่จะดำเนินการต่อเลย หลังจากที่ทักทายไปไม่กี่คำในที่สุดฉันก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถาม “คุณปู่รู้ไหมคะว่าสัญญาตายคืออะไร? ” ตอนแรกฉันอยากจะถามเรื่องทั่วไป แต่เมื่อฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของชายชราฉันรู้ทันทีว่าฉันล้มเหลว ชายชราที่กำลังยิ้มก็หุบยิ้มไปในทันที แขนเสื้อยาวๆเดินมาข้างๆไม่กี่ก้าวและหยุดลง ถ้าจะให้ฉันพูด “อยากรู้ก็ลองไปถามพ่อของซูหลินสิ” พ่อของซูหลิน? อ้อ นี่กำลังพูดถึงพ่อของซูหลิน ฉันเกือบลืมไปเลยว่าพ่อของซูหลินเป็นซินแส ซินแสรู้ทุกอย่างถ้าอย่างนั้นเรื่องพวกนี้ก็ต้องรู้บ้างแหละ แต่ว่าจะพูดไปฉันออกมานานมากแล้วก็ยังไม่เห็นซูหลินเลย เจ้าซูหลินคนนี้ไปไหนแล้วนะ? ฉันโทรหาเขาและปลายสายกลับเป็นเสียงเย็นชาของผู้หญิงคนหนึ่งบอกฉันว่าซูหลินตอนนี้ปิดเครื่องอยู่ ไม่มีทางเลือกฉันก็เลยโทรหาไป่เวยเวย น่าแปลกตรงที่ไม่มีคนรับสาย ฉันมองดูนาฬิกานี่มันพึ่งจะตีห้าครึ่งอาจจะยังไม่ตื่นก็ได้ ฉันกังวลกับตัวเองที่มาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยจะไปไหนก็ไม่รู้ทางและตอนนี้ซูหลินก็เดินเข้ามาจากประตูแถมในมือยังถือกล่องข้าว ฉันรับกล่องปอเปี๊ยะทอดและดื่มน้ำเต้าหู้ด้วยความหิวก่อนที่จะอ้าปากถาม “นายหาข้อมูลหรือได้เบาะแสบ้างรึยัง? ” ความจริงฉันแค่อยากจะถามเรื่องทั่วๆ ถ้าจำเป็นต้องค้นหานั่นก็แสดงว่าขนาดซูหลินก็ไม่รู้ว่านี่คืออะไรและยังค้นหาจากทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้ด้วยนั่นก็แสดงว่าตอนนี้ซูหลินก็ไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าฉันคิดไม่ถึงเลยว่าซูหลินจะทำท่ามั่นใจและผงกหัวแล้วพูดว่า “อืม” ฉันมองดูท่าทางของซูหลินอาการบาดเจ็บของเขาดูเหมือนจะหายดีแล้วแต่ว่าอาการบาดเจ็บภายในก็คงต้องรักษาต่อไป น่าจะต้องใช้เวลาสักพัก “ ฉันพึ่งกลับไปที่บ้านพ่อแม่มา” ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนเช้าเขาถึงไม่อยู่เพราะต้องออกไปช่วยที่บ้านนี่เอง ซูหลินถืออะไรบางอย่างไว้ในมือจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องและส่งให้ชายชราพร้อมกับพูดอะไรเล็กน้อยแล้วเดินออกมา ฉันรู้สึกว่าครอบครัวนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องขัดแย้งกัน “สัญญาตาย ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจ้าวซิ้วจะถูกนับว่าตายแล้ว เสียดาย...” ซูหลินหาที่นั่งบนบันไดข้างๆฉัน เขากินไปพล่ามไป “สัญญาตายก็คือวิญญาณที่ถูกตัวของตนเองฆ่าตายเพราะปรารถนาที่จะตายและได้ลงชื่อไว้บนสัญญาจากนั้นก็จะถูกคิดบัญชีด้วยการหาตัวตายตัวแทนเพื่อให้ตนไปผุดไปเกิด ซูหลินกินข้าวเช้าเสร็จและจุดบุหรี่สูบจนขี้บุหรี่หล่นลงพื้นแล้วเป่าควันออกมา “ ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจ้าวซิ้วจะบ้าได้ถึงขนาดที่ไม่ว่าวิญญาณจะต้องแตกสลายไป เธอก็ยังจะให้เด็กสาวทั้งสามคนจ่ายค่าชดใช้ให้ได้ แต่แค่..... ” พอพูดถึงตอนนี้ซูหลินเหม่อมองไฟที่กำลังไหม้บุหรี่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ “คืออะไร?” ในใจฉันกระวนกระวาย ซูหลินเหมือนจะพูดออกมาแต่ก็หยุดไป ฉันจะไม่อยากรู้ได้ไง! ซูหลินเริ่มสนใจมองมาที่ฉันจนถึงตอนนี้ฉันพึ่งรู้ เจ้านี้กำลังแกล้งฉัน พอมองดูฉันทำหน้าตึง ซูหลินถึงจะพูดต่อ “จ้าวซิ้วน่าจะไม่รู้ว่าเมื่อทำสัญญาตายแล้วจะต้องเคารพข้อตกลงนั้นก็คือห้ามทำร้ายผู้บริสุทธิ์” พอซูหลินพูดจบก็หยุดเหมือนจะให้ฉันคิดเอง ฉันเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจ้าวซิ้วจะไม่ได้ตั้งใจแต่ว่าการตายของไป๋หย่าถิงก็เป็นฝีมือของเธอ นั่นก็นับได้ว่าเธอแหกกฎ ดังนั้นสัญญาตายก็ไม่ได้มีผลอะไร อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันก็ยากที่จะกลับไปแก้ไขก็เหมือนดั่งควันไฟที่ลอยหายไปในอากาศ การตายทั้งหมดของไป๋หย่าถิงอาจไม่นับ ดูเหมือนว่าจ้าวซิ้วจะไม่รู้เรื่องนี้ไม่อย่างนั้นคงไม่เชื่อในสัญญาตายถึงขนาดนั้น ฉันอดไม่ได้ที่จะสมเพชจ้าวซิ้ว ทั้งๆที่ตายไปแล้วแต่ว่าเธอกลับไม่ยอมปลดปล่อยวิญญาณตัวเอง เดินมาถึงขนาดนี้แล้วเธอคงรู้ว่าตัวเองตอนนี้ถอยหลังไม่ได้แล้ว โดยไม่เจตนานี่พวกเราคุยกันมาเกือบครึ่งค่อนชั่วโมงขาเริ่มจะปวดหน่อยๆฉันเลยลุกยืนและเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอดี ฉันมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์-คือไป่เวยเวย ฉันเริ่มมีความรู้สึกไม่ดีอย่างกะทันหัน เช้าขนาดนี้ไป่เวยเวยโทรหาฉันหรือว่าจะเกิดเรื่องอะไร ซูหลินแย่งโทรศัพท์บนมือฉันและกดรับสาย ฉันมองดูสีหน้าของซูหลินค่อยๆหน้าเสียและตะโกนเสียงดังว่า “ อะไรนะ! เธอบอกว่าจ้าวเชียวตายแล้ว? ! ” อะไร?จ้าวเชียวตายแล้วหรอ ความทรงจำของฉันเหมือนมีอะไรมากระชากขาด ฉันทรุดลงกับพื้นตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีมแล้วซูหลินก็โยนโทรศัพท์ให้ฉันและพูดเสียงดังว่า “วอกแวกอะไรรีบไปโรงพยาบาลเร็ว! ” จนตอนนี้เรารีบไปถึงห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ร่างของจ้าวเชียวถูกหยุดโดยไป่เวยเวยและแพทย์ก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ทว่าพอฉันเห็นร่างของจ้าวเชียวแล้วฉันก็เผลอร้องด้วยความตกใจ ร่างของจ้าวเชียวมีท่าทางเหมือนกับเมื่อคืนตอนที่ถูกจ้าวซิ้วสะกดไว้อย่างไงอย่างนั้นขนาดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจกลัวก็ยังเหมือนเดิม ตาของจ้าวเชียวเบิกกว้างดวงตาโผนออกมาราวกับว่าตายทั้งเป็น ! หรือว่า....หรือว่าเมื่อคืนจ้าวซิ้วจะกลับมาอีก ฉันมองไปที่ซูหลินด้วยความแปลกใจ ซูหลินท่าทางเหมือนกำลังใช้พลังและบ่นพึมพำราวกับว่ากำลังท่องบทสวดอะไรสักอย่างแต่ฉันฟังไม่ถนัด “มันคือความเข้าใจของฉัน” “ฉันพยักหน้าเข้าใจถึงฉันจะไม่รู้ความหมายว่าซูหลินสวดอะไรแต่ว่าตอนนี้ไม่ควรที่จะขัดเขาเพราะสักครู่เขาจะต้องอธิบายแน่ พอถึงบทสุดท้ายซูหลินก็อ้าปากอีก “จริงๆแล้วถึงจ้าวซิ้วจะจากไปแต่การดูดกลืนวิญญาณก็ไม่ได้สิ้นสุดลงและจ้าวซิ้วก็ดูดวิญญาณของจ้าวเชียวไปเรื่อยๆ ถ้าดวงจิตของจ้าวเชียวไม่แข็งก็จะสูญเสียพลังที่จะปกป้องวิญญาณไว้ นั่นก็เลยทำให้จ้าวซิ้วสามารถดูดวิญญาณของเธอต่อไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อสูญเสียวิญญาณไปร่างก็.....” ฉันเข้าใจว่าคนเรานั้นมีสามจิตเจ็ดวิญญาณคนเราหากเสียไปเพียงวิญญาณเดียวก็เริ่มสับสนหนักๆก็จะหมดสติไปและสามจิตเจ็ดวิญญาณทั้งหมดก็จะหายไป “ที่ฉันคิดไม่ถึงคือจ้าวเชียวจะมีดวงจิตอ่อนแอขนาดนี้วิญญาณของเธอก็เลยถูกดูดกลืนไปอย่างง่ายดาย ฉันเข้าใจความรู้สึกของซูหลิน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคนที่รักชีวิตตัวเองขนาดนั้น พอถึงตอนที่จริงจังที่สุดกลับตายง่ายขนาดนี้ ถึงการตายของจ้าวเชียวทำให้ฉันอยากที่จะยอมรับแต่ว่าซูหลินกลับเหมือนจะทำใจได้อย่างรวดเร็ว เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วก็ถอนหายใจออกมา จากที่กำลังเศร้าโศกกลับเริ่มสดชื่นขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มและพูดกับคนข้างๆ “เพื่อนร่วมห้องไป่เวยเวยถึงฉันจะรู้สึกเสียดายที่จ้าวเชียวตายแต่ว่าอย่างน้อยมันก็เป็นการแบ่งเบาภาระของเราไปได้ ตอนนี้เราจำเป็นต้องปกป้องแค่เธอคนเดียวก็พอแล้ว” ไป่เวยเวยที่นั่งหดตัวอยู่ในมุมกำแพง น้ำตาไหลไม่หยุดและริมฝีปากซีดเอาแต่สะอึกสะอื้น เธอฟังที่ซูหลินพูดถึงจะเงยหน้าขึ้นมา ราวกับสัตว์ตัวเล็กๆที่กำลังหวาดกลัวมองมาที่พวกเราและก็กลับไปก้มหน้าร้องไห้หนักกว่าเดิม นี่ทำให้ฉันนึกถึงจ้าวเชียวก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอมาพบเราครั้งแรกนั้นก็เป็นแบบนี้ พูดอะไรไม่ออกเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ เธอร้องไห้จนความผิดในใจทีมีหมดไปและถึงจะกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง ฉันเดินไปข้างหน้าหยิบผ้าห่มคลุมหน้าจ้าวเชียวและโค้งเคารพศพของเธอ ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้จนมันไหลออกมา ซูหลินหยิบทิชชูยื่นให้ฉันและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อย่าทำฉันขายหน้า ตอนแรกฉันนึกว่าเธอจะมีวิธีควบคุมอารมณ์อย่าบอกนะว่าฉันคิดผิดไป” ฉันรีบกลั้นน้ำตาและโค้งคำนับจ้าวเชียวอีกครั้ง แม้กระทั่งซูหลินยังยืนขึ้นเคารพศพของจ้าวเชียวแบบชายชาติทหาร เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงไป่เวยเวยถึงจะสงบลงเธอจับแขนพร้อมกับยืนขึ้น ซูหลินคิดว่าจะให้ไป่เวยเวยกลับไปที่โรงเรียนหรือจะไปส่งที่สำนักของพ่อตัวเองดี แต่แล้วก็ให้ไปอยู่ที่สำนักพ่อของเขาเพราะที่นั่นติดผ้ายันต์ป้องกันไว้เต็มไปหมดและแน่นอนว่าจ้าวซิ้วเข้าไปไม่ได้ เมื่อซูหลินทำเช่นนี้ชายชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างปู่หลานคู่นี้มันทำให้สมองของฉันคิดถึงละครครอบครัวใหญ่เรื่องหนึ่ง เมื่อทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว ชายชราถึงจะเดินเข้าห้องไปและซูหลินก็ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยดเดียวแล้วเขาก็เดินออกประตูไป “เอ้ ซูหลินนี่ไม่ได้ทำเสร็จหมดแล้วหรอ?แล้วนายจะทำอะไรอีก? ” “ไม่ใช่แค่ฉันที่จะทำอะไรแต่เป็นเรา!” ซูหลินจับมือฉันแล้วเดินไปข้างหน้า
已经是最新一章了
加载中