ตอนที่29 ที่นี้คือที่ไหน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่29 ที่นี้คือที่ไหน
ตอนที่29 ที่นี้คือที่ไหน ฉันเอาแต่คิดว่าคนที่อยากจะเป็นหมอไม่ใช่แค่ต้องมีความกล้าหาญแต่ยังต้องมีการตอบสนองที่รวดเร็วด้วย เพราะว่าถ้าหากวันหนึ่งที่ฉันต้องผ่าตัดในกรณีฉุกเฉินนอกจากตัวฉันเองแล้วฉันไม่สามารถช่วยใครได้เลย แต่เห็นได้ชัดว่าฉันทำอย่างที่คิดไม่ได้เพราะว่าหยดน้ำที่ไหลเข้าปากฉันไปนั้นทำให้ฉันรู้ว่านี้มันไม่ใช่หยดน้ำธรรมดาแต่มันคือหยดเลือด! กลิ่นเลือดจากปากทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว มันเป็นกลิ่นเลือดที่ฉันคุ้นเคยซึ่งทำให้ฉันสูญเสียความสามารถในการตัดสิน! นิ้วของฉันจับก้อนหินข้างๆ ไว้แน่นและเสียขวัญแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รวบรวมความกล้าหันไปมองทางเสียงร้องไห้ของเยนหนาน ข้างหน้าฉันจริงๆแล้วมันคือความมืด แต่พอฉันพยายามเพ่งเลงไปฉันก็เห็นกลุ่มดวงไฟสีเขียวของผ นี่.....ไม่ใช่ไฟฟอสฟอรัส ... ฉันคิดได้ถึงเนื้อหาที่อาจารย์พูดในห้องเรียน ไฟฟอสฟอรัสมักเป็นเพราะร่างกายถูกฝังอยู่ใต้ดินฟอสฟอรัสในกระดูกจะระเหยไปหมดและเนื่องจากจุดติดไฟของฟอสฟอรัสอยู่ในระดับต่ำมากดังนั้นมันจะติดไฟเองในอากาศคนที่ไม่รู้ก็จะนึกว่าสิ่งนี้เป็นไฟของผี..... ในสมองของฉันเห็นภาพของอาจารย์ผู้ชายความกลัวของฉันก็หายไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าฉันเห็นกลุ่มดวงไฟสีเขียวกำลังพุ่งมาทางฉัน ฉันถึงได้ใช้แสงนั้นเพื่อมองสิ่งรอบๆตัวฉัน ที่นี้เหมือนจะเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นไม้ที่สูงใหญ่ฉันเงยหน้ามองไม่เห็นเลยแม้แต่ยอดของต้นไม้ และในตอนที่ฉันกำลังมองสำรวจรอบๆฉันอดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง! อา! ก้อนหินในมือของฉัน ไม่ นี่ไม่ใช่ก่อนหินและเห็นได้ชัดว่าเป็นหลุมฝังศพ! ฉันมองไปที่หลุมฝังศพรอบตัวฉัน คิดถึงสิ่งที่ฉันจับต้องมาตลอดทางทั้งหมดมันคือหลุมศพ! ฉันพนมมือและรีบกล่าว “ขอโทษ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจอย่ามาหาฉันเลย....” ฉันพูดไปและเดินถอยหลังไป อยากจะรีบเข้าหาเยนหนาน คิดไม่ถึงว่าเท้าของฉันจะไปสะดุดกับก้อนหินและล้มลงไปบนพื้น ฉันได้กลิ่นเลือดที่หนาและฉุนอีกครั้ง ฉันรวมรวมกำลังใช้มือดันกับพื้น กลุ่มดวงไฟสีเขียวที่สว่างอยู่รอบๆ ฉันใช้มันมองไปที่เท้านี่ไม่ใช่ขี้โคลนแต่กลับเป็นเลือด ดินโคลนพวกนี้ถูกทำให้อ่อนลงโดยเลือดและมันก็ยังเปื้อนบนตัวฉัน! ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นความกลัวในใจฉันได้เยอะจนถึงขีดสุด ฉันดันพื้นและลุกขึ้นยืนและไม่กล้ามองดูเลือดที่ติดตามตัวและร้องตะโกนขึ้นมา “เยนหนาน.....เยนหนานเธออยู่ที่ไหน....” ฉันไม่รู้ส่าตัวเองตะโกนไปนานแค่ไหนจนฉันเหนื่อยแล้วหยุดตะโกนและตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเมื่อกี้ตัวเองเหมือนคนบ้าที่กำลังคลั่งและตั้งหน้าตั้งตาวิ่งจนฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน ... พอคิดมาถึงตอนนี้ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนมาตั้งแต่ต้น พอคิดได้ถึงข้อนี้ฉันก็กลับมามีสติ ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณทั้งหมดได้กลับคืนสู่ร่างกายของฉันในทันที—สรุปคือฉันมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง! ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ฉันอยู่ที่ไหน? เพราะอะไรฉันถึงไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น? แบะตอนที่ฉันเกือบจะคิดออกว่าตัวเองได้สูญเสียความทรงจำไป เสียงร้องไห้ของเยนหนานก็ดังมาจากไหนไม่รู้อักครั้ง อันที่จริงถ้าฉันไม่รู้ว่านี้คือเสียงของเยนหนานให้ตายฉันก็ไม่ออกมาตามหา ฉันเดินตัวสั่นไปข้างหน้า ระหว่างที่มึนงงเสียงร้องไห้ของเยนหนานก็ยิ่งนานก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้น ขนฉันลุกไปทั้งตัวและอดไม่ได้ที่จะถามตัวเอง “ฉันแน่ใจจริงๆหรอว่านี่คือเสียงของเยนหนาน?” เอาจริงๆ คนที่เริ่มร้องไห้ถึงจะเป็นผู้หญิงและเสียงก็คล้ายๆกันแต่แค่ในเวลาสั้นๆทำไมฉันถึงได้เชื่อว่าเป็นเสียงของเยนหนาน ครู่หนึ่งความมั่นใจในตัวเองของฉันเกิดความสงสัย ฉันคิดแล้วก็คิด ไม่รู้ว่าเสียงของเยนหนานได้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีฉันอาจจะสนใจโลกแห่งความคิดของตัวเองมากเกินไปจนลืมตัวและค่อยๆเดินไปสะดุดกับหินก้อนหนึ่งและล้มไปอีกรอบ พื้นดินเบื้องล่างแข็งและไม่ได้เหนียวเหนอะแล้วฉันรู้สึกโชคดีในใจก็คิดว่าในที่สุดก็ไม่ต้องเดินบนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด แต่ว่าพอฉันอดทนกับความเจ็บปวดแล้วยืนขึ้นมาดูที่ขาของตัวเองฉันกลับต้องตื่นตระหนกอีกครั้ง สิ่งที่ฉันเดินสะดุดนั้นมันไม่ใช่ก้อนหินแต่มันเป็นหัวกะโหลก! ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ลงของแบบนี้ฉันเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วนี่ ฉันเอนตัวไปแล้วหยิบกะโหลกขึ้นมาอย่างกล้าหาญแล้วสังเกตจากด้านหนึ่งไปอีกด้าน ไม่รู้เพราะอะไรดวงตาของฉันถูกดึงดูดอย่างช้า ๆ โดยสองรูในกะโหลกศีรษะซึ่งควรเป็นส่วนของดวงตา ฉันมองดูรูดำๆ อากาศภายในเป็นเหมือนทรายดูดสีดำที่คล้ายจะดูดกลืนคนเข้าไป.... เมื่อฉันเม่อมองไปที่ดวงตาทั้งสองบนกะโหลกศีรษะอยู่นั้น รูที่ว่างเปล่ากลับมีแสงสว่างของเลือดสีแดง! “แม่ง! “ ฉันตอบสนองทันทีกะโหลกนี้ยังคงมีความชั่วร้ายฉันเลยโยนมันทิ้งออกไปไกล กะโหลกศีรษะตกลงบนพื้นแข็งในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดและน่าประหลาดใจนี้มีเสียงรบกวนขึ้นมากะทันหันจากนั้นก็มีบางอย่างคลานออกมาจากกะโหลกศีรษะและกระทบปีกและบินรอบตัวฉันไม่กี่รอบแล้วบินจากไป ฉันถอนหายใจยาวที่แท้ก็แค่ค้างคาว.... แต่ว่าทำไมค้างคาวตัวนี้ถึงมีตาสีแดง.... ฉันมองสำรวจไปรอบๆ ต้นไม้เมื่อกี้หายไปไหนไม่รู้แล้วสถานที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้เป็นพื้นคอนกรีตโล่งๆ ไม่มีสิ่งใดนอกจากกองกระดูกสีขาวบนพื้นและเสียงร้องไห้ที่ฉันได้ยินมาตั้งแต่แรกก็เงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ไม่มีทิศทางไม่มีเครื่องหมายไม่มีทางออก ความสิ้นคิดครั้งใหญ่ราวกับน้ำท่วมภูเขาพรั่งพรูเข้ามาหาฉันคล้ายว่าจะทำให้ฉันหายใจไม่ออกและตายไป ฉันอดไม่ได้ที่จะทรุดลงและสองมือจับขาที่โค้งงอนั่งลงบนพื้นและไม่ได้ลุกขึ้น จริงๆแล้วฉันไม่ได้กลัวกองกระดูกสีขาวพวกนี้กลับกันมันเป็นสิ่งที่ฉันเห็นจนชินมันเลยทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยแต่ว่าความรู้สึกปลอดภัยนี้ก็มีเพียงน้อยนิดจนน่าสงสาร ฉันพิงหัวบนหัวเข่าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นอกจากรอแล้วฉันยังทำอะไรได้อีก ฉันไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันมีประสบการณ์ที่น่าอนาถราวกับความฝันที่หดหู่ ถ้าทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันกำลังเรียนหมอแน่นอนว่าฉันจะต้องเข้าใจได้อย่างรวดเร็วแน่ว่าอาจเป็นเพราะฉันดูหนังผีเยอะเกินไปจนทำให้ฉันฝันร้าย แต่พอพูดขึ้นมาก็น่าขำภายใต้ฝันร้ายนี้สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยคือกองกระดูกสีขาว ฉันหลับตาลงอย่างสิ้นหวังภายในใจก็วุ่นวายไปหมดในสมองยิ่งเละราวกับโจ๊ก จนตอนนี้ฉันไม่รู้สึกถึงประสาทสัมผัสทั้งสี่ของตัวเอง สุดท้ายในสภาพแวดล้อมที่เงียบสนิทนี้ฉันไม่รับรู้แม้กระทั่งลมหายใจของตัวเอง รู้แค่เพียงว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นอยู่ ฉันน้ำตาคลอเงยหน้าขึ้นมาภาพข้างหน้าเบลอไปหมดฉันยกมือปาดน้ำตาแต่แล้วหูของฉันก็กลับได้ยินเสียงร้องไห้นั้นอีก! ฉันรีบกลับมาเป็นปกติฉันและแค่อยากจะยืนขึ้นแล้วตามหาเสียงนั้น แต่ทันใดนั้นฉันก็ได้พบกับความกลัวอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน เสียงร้องไห้นี้มันคือเสียงร้องไห้ของตัวฉันเอง ฉันขยี้ตาและเช็ดน้ำตาพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก ฉันอดไม่ได้ที่จะสะอื้นไปบังคับตัวเองให้หยุดไป ใช่ พิจารณาอีกครั้งและอีกครั้งเสียงร้องไห้นี้จริงๆ แล้วมันมาจากตัวฉันเอง แต่ว่าทำไมเสียงของฉันถึงคล้ายกับเยนหนาน..... ฉันคันตาและหยดน้ำตาเม็ดใหญ่ก็หล่นลงมาฉันยกมือขึ้นเช็ดแล้วฉันก็พบมือที่เต็มไปด้วยเลือดตรงหน้าฉัน ฉันตกใจ ฉันมองเลือดที่อยู่ตรงหน้าบนมือฉัน ฉันลองทำเป็นขยับนิ้วชี้ มือเลือดนั้นก็ขยับนิ้วชี้ ฉันลองใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเอง คิดไม่ถึงว่ามือเลือดนั้นค่อยๆเข้ามาใกล้ใบหน้าของฉัน..... นี่......นี่มันคือมือของฉัน! ฉันคิดย้อนกลับไป ฉันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้วตอนที่ฉันจับหัวกระโหลกทั้งสองมือของฉันก็ยังสะอาดอยู่....หรือว่าน้ำที่ไหลออกมาจากตาฉันมันไม่ใช่น้ำตาแต่เป็นเลือด! ? เมื่อฉันตระหนักถึงสิ่งนี้ดวงไฟสีเขียวที่อยู่ไกลรีบพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันนึกว่าตัวเองจะถูดเผาตายไป ฉันยกมือมาป้องกันไว้ที่หัว แต่เหมือนว่าเวลาได้ผ่านไปนาน นานจนฉันคิดว่าไฟพวกนี้เพียงพอที่จะเผาฉันเป็นเถ้าถ่าน ฉันกระพริบตา พอรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ฉันถึงจะเอามือลงและมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไฟฟอสฟอรัสยังคงลอยอยู่และไม่หยุดที่จะแปร่งแสงสว่างแต่ทว่าฉันกลับเอาแต่คิดว่าทั้งหมดนี้มันดูแปลกๆแต่ว่าก็บอกไม่ถูก สรุปแล้วอะไรที่ดูแปลก ฉันมองดูดวงไฟที่กำลังขยับอยู่บนอากาศเหมือนกับว่ามันถูกทำให้หยุด นอกจากการสั่นสะเทือนของเปลวไฟแล้วมันนิ่งราวกับภาพวาดหมึกสีเขียว เดี๋ยวนะ! สีเขียว? ! ในที่สุดฉันก็คิดออก ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติรอบตัวฉันนั้นก็เพราะว่าฉันตอนนี้ดูอะไรก็เป็นสีแดงไปหมด! เพราะรอบด้านมันเป็นภาพสลัวจนถึงตอนนี้ฉันพึ่งจะคิดออก แต่ว่าถึงดวงไฟจะเป็นสีเขียว แต่ตอนนี้มันกลับเปร่งแสงเป็นสีที่แปลกไปอีก ทีแรกฉันนึกว่าฉันเดินมาที่นี่คนเดียวฉันต้องแย่แน่ๆ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดเรื่องที่ยากจะเข้าใจขึ้นระหว่างทาง ไม่ว่าฉันจะล้มลงกี่ครั้งฉันก็ยังตั้งใจต่อไป ก็นับได้ว่าตอนนี้ฉันเหมือนผู้ป่วยที่เป็นโรคตาแดงฉันยังคงใจเย็นและลองคิดอะไรบางอย่าง พูดได้ว่าขนาดฉันยังต้องนับถือตัวฉันเองเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโรคตาแดงหรือเปล่าที่ทำให้จิตใจของฉันเริ่มสงบลงบ้างแล้วและทำให้คำถามที่มีมาตลอดในที่สุดก็เริ่มมีเงื่อนงำ
已经是最新一章了
加载中