ตอนที่ 62 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 62 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม
ต๭นที่ 62 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม เรื่องของเซี่ยวี่เสวียนทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียง ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ปลดเซี่ยี่เสวียนจากตำแหน่งพระชายา จริงๆต้องนำเหล่าคนที่มีสัมพันธ์กับนางมาบั่นเอวให้ขาด แต่หลังจากสืบสวนแล้ว พบว่าพวกนั้นตายหมดแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เหว่ยหมิงตกใจเล็กน้อย เขาไม่ได้ลืมว่าเซี่ยอีอีทำอะไรไว้เมื่อคืนนี้ แต่ว่าเขาแค่คิดไม่ถึงว่านางจะยอมเสียสละชีวิตคนมากมายขนาดนั้น เพื่อแก้แค้นเซี่ยวี่เสวียนแค่คนเดียว ก่อนที่เซี่ยอีอีจะทำอะไรไม่ใช่ว่าจะคิดให้ถี่ถ้วน การยื้อให้คนพวกนั้นมีชีวิตแล้วถูกลงโทษ ไม่สู้ให้พวกเขาตายไปก่อนซะจะดีกว่า เพื่อเซี่ยวี่เสวียนแล้ว คนพวกนั้นควรเสียสละชีวิตตัวเอง นางไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจทำอย่างนั้นลงไป หลังจากที่หมอหลวงได้ทำการตรวจแล้ว เซี่ยวี่เสวียนมีอาการทางประสาท ร่างกายมีอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรง ช่วงล่างมีอาการเน่าเปื่อย ต่อไปไม่สามารถร่วมเพศกับใครได้อีก เซี่ยเหวียนฉีออกหน้าขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วขออนุญาตนำตัวของเซี่ยวี่เสวียนลงจากเขากลับไปก่อน เขาเสียหน้าและเกียรติต่อหน้าชขุนนางนับร้อย แต่ก็ไม่อาจจะทิ้งลูกสาวไว้ไม่ดูดำดูดีเลย เมื่อได้ข่าวเรื่องนี้เซี่ยอีอีก็อารมณ์ดีมาก มองออกไปด้านนอกก็สดชื่น ในใจก็รู้สึกเหมือนอยากจะขึ้นเขา เมื่อกำลังจะออกจากกระโจมก็เห็นเหว่ยหมิงเดินตรงมา เขาสวมชุดสีดำปักลายทองมันสะท้อนแยงตามาก เซี่ยอีอีแสบตาจนต้องหรี่ตา เมื่อเขาเดนเข้ามาใกล้ นางทำท่าทางไม่ใยดีแล้วพูดว่า: “เจ้ามาทำไมอีก?” “นานๆได้ออกมาสักที เจ้าคิดจะหลบอยู่ในกระโจมหรือยังไง?” เซี่ยอีอีจ้องไปที่เขา นางไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดเลยแถมยังพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าถามเจ้าว่าเจ้ามาทำไมอีก?” เมื่อเห็นนางท่าทางโมโห เหว่ยหมิงก็หัวเราะ “ก็มาหาเจ้า” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็มองบน แล้วพูดตอบกลับไปว่า: “ขอบใจนะ มีคนอยากจะมาหาข้าเยอะแยะ เจ้ามันคิวที่เท่าไหร่น้า?” เซี่ยอีอีหลบสายตาของเขา จากนั้นก็ทนไม่ได้ที่จะบ่น: ทำคุณบูชาโทษแท้ ไม่มีเงินรักษาใครไม่ได้จริงๆนั้นแหละ ดูสิดู ช่วยแล้วไม่เก็บเงิน ดันถูกเขาตัวติดแจเลยเนี้ย มันอะไรกันนักหนาเนี้ย! ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของนางมันน่าสนใจดีจริงๆเลย เห็นนางไม่พูดอะไร เหว่ยหมิงก็เลยพูดว่า: “ทิวทัศน์บนเขาสวยนะ เจ้าอยากไปไหม?” จริงๆนางคิดจะขึ้นเขาอยู่แล้ว แต่จะไม่ไปเพราะเขาหรอ นางเงยหน้ามองเขา เห็นเหว่ยหมิงยิ้มร้ายๆ “ไปก็ได้ ใครกลัวกันล่ะ” ............ ด้านหน้ากระโจม ม้าสามตัว สี่คน เซี่ยอีอีขมวดคิ้วมองไปที่หยางเฉียนหลิงที่มีแผลที่มือ แล้วพูดว่า: “แล้วยังไงกัน เจ้าไม่ไปแล้วงั้นหรอ? น่าเสียดายนะ” หยางเฉียนหลิงได้มาพร้อมกับขบวนเสด็จล่าสัตว์ถือว่ายากแล้ว แต่ว่าเพราะบาดเจ็บที่มือเมื่อวานนี้ วันนี้อย่าว่าแต่ขี่ม้าเลย จูงม้ายังลำบาก นางมองไปที่มือที่บาดเจ็บ แล้วฝืนพูดว่า: “จริงๆข้าว่าข้าไม่เป็นไรนะ” “ไม่ได้ หมอหลวงบอกแล้วแผลที่มือของเจ้ารุนแรงมาก ของเบาๆยังไม่ให้เจ้าจับเลย จะขี่ม้าได้ยังไงกัน?” จางหายพูดขัดหยางเฉียนหลิงขึ้นมา ไม่แม้แต่จะให้นางมีช่องได้โต้ตอบ ก่อนหน้านี้ก็ตกลงกันไว้แล้วว่านางจะแค่ออกมาส่งเท่านั้น แต่ว่าจางหายคิดไม่ถึงว่า นางจะเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้ อยู่กับนางบ่อยๆเขาพอจะเดาใตได้ นางไม่ใช่ผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวานอย่างที่คนอื่นเห็น นางเป็นเพื่อนกับเซี่ยอีอีได้ มันไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่งกำลังพึ่งใคร แต่เพราะพวกนางมีนิสัยบางอย่างที่คล้ายกัน หยางเฉียนหลิงหันหน้าไปมองจางหาย นางลืมข้อตกลงที่ให้ไว้กับเขาก่อนหน้านี้ไปแล้ว “มือของข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ข้าไปกับพวกเจ้าได้” “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะไม่อยากได้มือข้างนั้นแล้ว” จางหายก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เขารู้อยู่แล้วว่านางอยากจะขึ้นเขาไปพร้อมกับพวกเขา แต่ว่านางบาดเจ็บเพราะจางชิงเอ๋อ เขาจะทำเป็นไม่ใส่ใจไม่ได้ ถึงแม้มือของนางจะดีดพิณไม่ได้ แต่ก็ยังคงเขียนหนังสือสวยๆได้อยู่ ต่อให้นางจะไม่อยากได้มือข้างนั้นแล้วจริงๆ เขาก็จะรักษามันเอาไว้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของนาง จางหายเองก็อดสงสารไม่ได้ “ขี่ม้าตัวเดียวกับข้า ไม่งั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่” เมื่อได้ยินดังนั้น หยางเฉียนหลิงก็ตกใจ แม้แต่เซี่ยอีอีเองจากสีหน้าที่เสียดายก็เป็นสีหน้าแบบคาดไม่ถึง ในความคิดของนางคือ มีเพียงคนที่สนิทสนมกันมากๆจนไม่รู้ต้องสนิทยังไงแล้วถึงจะไม่สนใจเรื่องของชายหญิงขี่ม้าตัวเดียวกัน แม้แต่คนสมัยใหม่อย่างนางยังคิดได้ นางไม่เชื่อว่าจางหายจะไม่รู้! บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง หยางเฉียนหลิงเหมือนรู้สึกลำบากใจ ส่วนเซี่ยอีอีเองก็ไม่สะดวกที่จะเอ่ยปากขัดการตัดสินใจของนาง เพราะเรื่องของชายหญิงมันเป็นเรื่องของคนสองคน “ก็ได้ ข้าจะขึ้นเขา” เสียงอันอ่อนโยนของหยางเฉียนหลิงเปรยออกมาจากปากของนาง เซี่ยอีอีขมวดคิ้ว กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี เสียงอ่อนโยนก็ดังมาจากด้านหลังขัดนาง “ความคิดของฮวายไม่เลว เราก็ขี่ม้าตัวเดียวกันเถอะนะ” เมื่อได้ยินดังนั้น จางหายกับหยางเฉียนหลิงก็ตกใจ แล้วมองไปที่เหว่ยหมิงที่กำลังพูดอยู่ เซี่ยอีอียิ้มแห้ง แล้วพูดว่า: “เจ้าไปไกลๆเลย” “คิคิ” จางหายหลุดหัวเราะออกมา ในโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่กล้าไล่เหว่ยหมิงแบบนี้กัน? มีประโยคหนึ่งพูดไว้ดีมาก ตัวเองทำอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมกันไป เขารักษาพรหมจรรย์ไว้กว่ายี่สิบปี กลับถูกเด็กคนหนึ่งเอาซะตัวไม่รอด ดูท่าแล้วชีวิตนี้เขาคงกลับตัวยากแล้วล่ะ! “ตลกมากนักหรือไง?” สีหน้าของเหว่ยหมิงดูขึงขัง จ้องไปที่จางหาย จางหายเก็บอาการหัวเราะ แล้วพูดว่า: “ไม่กล้าดุผู้หญิงก็มาลงที่ข้า หยงอ๋องของเราเดี๋ยวอดทนเก่งนะเนี้ย” เมื่อเห็นดังนั้น เซี่ยอีอีก็รู้สึกเขิน ยังไงเหว่ยหมิงก็เป็นถึงอ๋อง เวลาอยู่ข้างนอกนางก็จะนอบน้อมให้เกียรติเขาประมาณหนึ่ง แต่การกระทำเมื่อกี้จะโทษนางทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเหว่ยหมิงเอาแต่แหย่นางมาตั้งแต่เมื่อคืน เซี่ยอีอีหันหลังกระโดดควบขึ้นม้าไป ท่าทางการนั่งของนางบนหลังม้ามันดูสง่า “เฉียนหลิง เจ้านานๆจะได้มา ก็ดูบรรยากาศไปนะ ข้าล่วงหน้าไปก่อนนะ เจอกันบนยอดเขา” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็อดหัวเราะไม่ได้ หยางเฉียนหลิงนานๆมาที แล้วนางไม่ใช่หรือไง? “ในเมื่อเจ้าเอาธนูมาด้วย ไปล่าสัตว์กันหน่อยไหม?” คำพูดเหมือนจะเชิญชวน แต่มันเหมือนท้าทายมากกว่า เซี่ยอีอียิ้มร้าย หันไปมองเหว่ยหมิง “ได้ มาดูกันว่าใครจะล่าได้ก่อน ใครแพ้ต้องรับผิดชอบปิ้งมันบนเขา” พูดจบ ก็ไม่ได้รอเหว่ยหมิงตอบตกลง ควบม้าออกตัวไปเลย บนเขา เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่กำลังดีใจและแย่งลากัน ขณะที่ทั้งคู่กำลังเล็งธนูออกไปที่ลาตัวนั้น เหว่ยเฉินก็โผล่ออกมา ทำให้เซี่ยวี่ซื่อถึงกลับทิ้งเป้าหมายอย่างลาไปทันที แล้วจ้องไปที่ตัวของเขาแทน สำหรับเหว่ยเฉิน เซี่ยวี่ซื่ออยากจะสั่งสอนเขามานานแล้ว ในจวนตัวเองวุ่นวายจะตายไป ยังกล้าไปขอพระราชทานงานแต่งงานกับแม่ของนางอีก ฝันเฟื่องชัดๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสจะจัดการเขา แต่ตอนนี้มันเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้ หากพลาดไป นางจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่ๆ เฟี้ยว ------ เฟี้ยว ------ เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่เหมือนจะยิงธนูออกไปพร้อมกัน ลูกธนูมันควรจะไปในทิศทางเดียวกันแต่มันกลับสวนทางกัน ธนูของเซี่ยเฉินวี่ยิงไปถูกคอลาตายทันที ส่วนของเซี่ยวี่ซื่อนั้นแม่นยิ่งกว่าเพราะยิงไปถูก ... “อ๊า ------” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นเขา เซี่ยวี่ซื่อใช้มือปิดปากหัวเราะอย่างมีความสุข เห็นเซี่ยเฉินวี่นิ่ง เห็นคนที่ยืนล้อมเขาเอาไว้ ถึงได้รู้ว่าน้องสาวตัวแสบของเขาก่อเรื่องอีกแล้ว สีหน้านิ่งๆไม่มีท่าทางต่อว่า ยืนมองกลุ่มคนที่เข้ามาล้อมมีมากขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยเฉินวี่ดึงแขนเซี่ยวี่ซื่อแล้วพูดว่า: “ไปเถอะ ไปหาท่านลุงกัน” บรรยากาศบนเขานั้นสวยงามมาก เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตีนเขาเหว่ยหมิงกับเซี่ยอีอีไม่รู้เลย การแข่งขันที่ตกลงกันไว้ ไม่รู้ว่าเหว่ยหมิงอ่อนให้นางหรือว่านางเก่ง แต่ตอนนี้คนที่กำลังปิ้งเนื้ออยู่คือเหว่ยหมิง ส่วนเซี่ยอีอีก็กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงามอยู่ บนยอดเขามีคนสวมชุดงามยืนอยู่ สายลมพัดพลิ้ว ชายเสื้อพัดพาไปตามสายลม เหว่ยหมิงมองดูบรรยากาศนี้โดยไม่ละสายตาเลย ไม่นานนัก เซี่ยอีอีก็กางมือออกแล้วถอนหายใจยาวๆ เสียงถอนหายใจนั้นมันไม่เหมือนกับกำลังชื่นชมบรรยากาศที่สวยงาม แต่มันเหมือนกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ “ระวัง อันตราย” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอียังไม่เดินกลับเข้ามา นางหันไปมองเหว่ยหมิง “ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน” นานแค่ไหน? คิดว่าคงปีหน้าแหละ! นิสัยของจางหาย วันนี้คิดว่าคงไม่ขึ้นมาแน่ๆ หากเขากล้าขึ้นมา ต่อไปเขาคงไม่ได้เหยียบไปที่จวนหยงอ๋องอีก “พวกเขาเดินทางช้า เราไม่ต้องรอพวกเขาหรอก” เซี่ยอีอีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับคำพูดของเขา เพราะพวกเขาขี่ม้ามาตัวเดียวกัน ถึงช้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่างหากระหว่างทางมีอะไร จะกลับไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นางหันมาแล้วเดินมาข้างๆเหว่ยหมิง มองไปที่เนื้อปิ้งที่อยู่ในมือเขา แล้วเบะปาก “มีแต่เนื้อแต่ไม่มีเหล้าเลย กินแล้วไม่ได้อารมณ์” เหว่ยหมิงรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากนาง ปกตินางระวังตัวมาตลอด แต่ในป่าในเขานางกลับบอกเขาว่าอยากกินเหล้า เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า: “เจ้าดื่มเหล้าเป็นด้วยหรอ?” “คนที่ดื่มน้ำเป็นก็ดื่มเหล้าเป็นทั้งนั้นแหละ” มันก็มีเหตุผลอยู่ เหว่ยหมิงถามอีกว่า: “เจ้าคอแข็งมากหรอ?” เซี่ยอีอีนั่งลงไปที่ข้างกองไฟ มองไปที่เขา แล้วถ่อมตัวว่า: “พอได้” ได้ยินดังนั้นเหว่ยหมิงก็ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งปิ้งเนื้อจนสุก เขาหายไปนาน เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ในมือของเขาก็ถือเหล้ามาสองไห เมื่อเห็นเหล้าสองไหมา เซี่ยอีอีก็คาดไม่ถึง เมื่อเขาเดินมาใกล้ นางก็ลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าไปเอามาจากไหน?” เห็นนางตื่นเต้นดีใจ เหว่ยหมิงก็ยิ้ม “จางหายซ่อนเอาไว้นะ แต่ก่อนเขาชอบบอกว่ามีเนื้อไม่มีเหล้ามันกินไม่สนุก ก็เลยซ่อนบางส่วนเอาไว้ที่นี่” “ดูไม่ออกเลย ว่าเขาจะเป็นคนมีรสนิยมแบบนี้ด้วย” เซี่ยอีอีตาเป็นประกาย ชมไม่ขาดปาก “เจ้าเองก็ไม่เลวนิ” ............ เหล้าและเนื้อถูกกินจนหมด เซี่ยอีอีนั่งพิงก้อนหินก้อนใหญ่ มองดูพระอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน แดดยามสนทยาสาดส่องลงมาที่ชุดขาวๆของนาง เมื่อเห็นนางหน้าแดง เหว่ยหมิงก็ยิ้ม แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ข้างก้อนหินใหญ่ “เมาแล้วหรอ?” “ไม่ได้เมาง่ายขนาดนั้นล่ะ?” เซี่ยอีอีไม่ได้มองเขา ยังคงเงยหน้ามองฟ้าอยู่ “น่าเสียดายจัง” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็กระพริบตา แล้วหลุดขำออกมา “เสียดาย? แล้ว เจ้าคิดทำอะไรข้า?” บรรยากาศเงียบไป จู่ๆเหว่ยหมิงก็พูดขึ้นมาว่า: “ใครจะกล้าไปทำอะไรเจ้า ใครจะรู้ว่าของที่เจ้าซัดออกมาจากมือมันจะเป็นอะไรที่ทำให้คนตายว่าสิบคนหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าจะกล้าทำอะไรเจ้าได้?” ในโลกก่อน เซี่ยอีอีเป็นบุคคลที่ใครๆยอมรับว่าทำอะไรเงียบ แต่เมื่อคืนไม่รู้ว่านางไปโดนอะไรมา แม้แต่คนที่ตามนางก็ไม่เห็นนางเลย นางเหลือบตาไปมองเหว่ยหมิง หน้าแดงๆค่อยๆยิ้มอย่างร้ายๆ “เจ้ากลัวหรอ? เจ้าเป็นถึงท่านอ๋องยังต้องกลัวอะไรอีก?” เขามองไปที่ตาของนาง เหว่ยหมิงเหมือนอยากจะครอบครองนางเอาไว้คนเดียว เขายื่นมือไปจับใบหน้าของนาง แล้วพูดเบาๆว่า: “คนอื่นไม่กลัว กลัวแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น” รอยยิ้มของเซี่ยอีอีเหมือนกับถูกแช่แข็งไป นางไม่ได้หลบ แล้วก็ไม่ขัดขืนด้วย นางยอมรับว่าตัวเองแรงสู้ไม่ไหว ความรู้สึกที่มีต่อเขามันก็ไม่ใช่แค่เกลียดเหมือนเดิมแล้ว แต่ว่า เขาเป็นถึงอ๋อง เป็นองค์ชาย และก็อาจจะเป็นเจ้าเหนือหัวของแคว้นเหลียวในอนาคตด้วย ส่วนนาง แน่นอนว่าจะเป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอะไรทั้งนั้น ขอเป็นคนสันโดษที่ทำเพื่อเงินทองของมีค่าไปตลอดชีวิตดีกว่า แล้วแบบนี้นางกับเขาจะอยู่ด้วยกันได้ยังไงล่ะ? นางจะขอให้เขาทิ้งอำนาจทุกอย่างเพื่อนางมันก็ไม่ได้ ส่วนเขาจะขวางอิสระของนางก็ไม่ได้เช่นกัน เมื่อนั้นสุดท้ายแล้วมันก็ต้องจากกันอย่างเจ็บปวดอยู่ดี ไม่สู้ไม่เริ่มต้นไม่ต้องสานต่อจะดีกว่า “เหว่ยหมิง ถ้าข้าบอกเจ้าว่าพ่อของเด็กสองคนนั้นยังไม่ตาย แล้วก็กำลังจะเข้าเมืองหลวง เจ้าจะทำยังไง?” คำพูดเรียบง่ายที่เหมือนมีของหนักทุบลงมาที่หัวของเหว่ยหมิง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเขาคือพ่อของเด็กสองคนนั้น แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาแบบนี้ เขาไม่รู้เลยว่าอันไหนมันคือเรื่องจริงอันไหนมันคือเรื่องเท็จ เห็นเขาไม่พูดไม่จา เซี่ยอีอีก็ยิ้ม นางไม่เคยคิดว่าตัวเองก็จะต้องมาโกหกอะไรแบบนี้ นางคิดว่า นางไม่เคยปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็กๆเลย แต่ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำยังไงถึงจะหักห้ามใจของตัวเองได้ มีเพียงต้องทิ้งเขขาไป นางถึงสามารถยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองไว้ได้ “เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่าพ่อของเด็กไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงอยู่แล้วน่ะ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ตกใจ แต่ไม่นานนักนางก็ดึงสติกลับมาได้ คำพูดของเขามันแสดงให้เห็นถึงข้อสงสัยของเขา หากเขาแน่ใจ เขาจะปล่อยให้นางพูดจาเหลวไหลได้ยังไง ความเงียบของเซี่ยอีอีทำให้เหว่ยหมิงรู้สึกร้อนใจ เขากลัวว่าคำตอบของนางจะเป็นอะไรที่เขาไม่อยากจะได้ยินมัน ต่อให้มันจะเป็นคำโกหกก็ตาม เขาทนไม่ได้อีกต่อไป “ไปกันเถอะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เรากลับกันได้แล้ว” เห็นเขาหันหลังเดินไป เซี่ยอีอีเองก็ไม่นิ่งนอนใจ นางอุตส่าห์ทรยศต่อใจตัวเองพูดคำโกหกแบบนี้ออกไป อย่างน้อยเขาก็ควรจะพูดอะไรบ้าง ไม่ใช่เดินไปแบบนี้ มันเสียแรงที่นางทำไป! “เห้อ ......” นางลุกขึ้นมาจากก้อนหิน กำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเอง คนที่เดินจากไปแล้วก่อนหน้านี้จู่ๆก็มาโผล่ที่ด้านหน้าของนาง นางรู้สึกได้ถึงความโกรธของเขา แล้วก็รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ นางถอยหลังไปชนก้อนหิน ยังดีที่ผิวก้อนหินลื่นและเรียบ ไม่งั้นนางคงโดนทิ่มหลังลายไปแล้ว “เซี่ยอีอีเจ้าฟังข้าให้ดี ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อกี้คือเรื่องจริง ต่อให้พ่อของเด็กสองคนนั่นจะเป็นคนอื่น ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป หากว่าคนที่เจ้าพูดมากล้าพอที่เจ้าเข้าเมืองหลวงมาจริงๆ ข้ารับรองได้เลยว่าข้าจะให้เขาตายอยู่ในเมืองหลวงนี่แหละ เพราะฉะนั้นเจ้าล้มเลิกคิดเรื่องนั้นได้เลย” เส้นเอ็นหน้าผากที่กระตุก สายตาที่ราวกับจะเผานางให้เป็นจุน แรงจากหัวไหล่ที่ส่งมาราวกับจะทำให้กระดูกของนางแหลกละเอียด ในใจของเซี่ยอีอีรู้ดีว่าตอนนี้เขาเกลียดนางแค่ไหน นางไม่เคยเห็นเขาน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ นางไม่ได้กลัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว อยู่แบบนั้นอยู่นาน สายตาที่รางกับกองเพลิงของเหว่ยหมิงก็ค่อยๆคลายลง เซี่ยอีอีถอนหายใจแล้วพูดว่า: “คนบ้า” เสียงด่าทอเบาๆ แต่กลับทำให้เหว่ยหมิงยิ้ม เขายื่นมือไปจับคางของนาง: “ใช่ หลงรักเจ้า มันทำให้ข้าเป็นบ้า” ------------ เมื่อลงมาจากเขา ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ทั้งสองได้ฟังเรื่องของเหว่ยเฉินจากปากของจางหาย ท่ามกลางควมามตกใจเหว่ยหมิงมองไปที่เซี่ยอีอี เซี่ยอีอีก็จ้องกลับไป แล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า: “มองข้าทำไม ข้าอยู่กับเจ้าตลอดตั้งแต่ขึ้นเขาจนกระทั่งลงเขานะ เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่าข้ามีเวทย์มนต์อะไรหรอกใช่ไหม!” คิดๆดูแล้วก็ใช่ นางไม่มีเวลาจะทำเรื่องแบบนี้แน่ แต่ว่านอกจากนางแล้ว ยังมีใครที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อีกล่ะ? “อีอี พวกเจ้าอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันเลยหรอ?” สงสัยอยู่กับจางหายบ่อยเกินไป หยางเฉียนหลิงเองก็เริ่มพูดจามีลับลมคมนัยบ้างแล้ว แต่ว่าเด็กวัดอย่างนางคิดจะมาล้มพระพุทธรูปยักษ์อย่างนาง มันเสียแรงเปล่านะ เซี่ยอีอีลูบคางยิ้มแล้วพูดว่า: “โอ้โห มีคนไปกันทั้งวันก็ยังไปไม่ถึงที่หมายสักที ยังกล้ามาถามคนอื่นอีกหรอ พวกเจ้าไปทำอะไรกันมา? อย่ามาบอกนะว่าพวกเจ้าสองคนหลงป่าน่ะ?” เมื่อได้ยินดังนั้น หยางเฉียนหลิงก็รู้สึกเสียใจที่ถามคำถามนั้นออกไป นางกับจางหายขี่ม้าตัวเดียวกันก็มีคนนินทากันมากแล้ว บวกกับน้ำเสียงของเซี่ยอีอีด้วยแล้ ยิ่งทำให้ความคิดของนางนั้นผิดไปหมด แต่ว่ามันก็โทษนางไม่ได้นี่นา นางจะไปรู้ได้ยังไงว่าจางหายจะควบม้าไปครึ่งทางแล้วก็กลับ นางไม่รู้จักทาง อีกทั้งไม่มีม้า ทำได้แค่ตามเขาไป เห็นหยางเฉียนหลิงพูดไม่ออก เซี่ยอีอีก็พูดต่อว่า: “เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อน เชอะ” นางคิดว่าเซี่ยอีอีโกรธขึ้นมาจริงๆ หยางเฉียนหลิงก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินมา “ไม่ใช่นะ ข้าเปล่า เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน” เซี่ยอีอีค่อยๆเดินไม่หยุด แล้วหันมามองหยางเฉียนหลิง “ได้ ข้าจะฟังเจ้าอธิบาย ตามข้ามา” เมื่อออกจากกระโจมแล้วหยางเฉียนหลิงถึงได้รู้ว่า นางไม่ได้อยากฟังคำอธิบายอะไรเลย แต่ว่าผู้ชายสองคนนั้นตามติดอยู่ ก็เลยแกล้งทำเป็นโกรธ เพื่อหาข้ออ้างเรียกนางออกมา เห็นหมอหลวงกับขันทีนงกำนัลวิ่งเข้าวิ่งออกกระโจมอย่างแตกตื่น ทำให้เซี่ยอีอีคิดหนัก ธนูพุ่งตรงตัดกล่องดวงใจเลย มันไม่ใช่วิชาการยิงธนูธรรมดาทั่วไปแน่ๆแม้แต่นางก็ทำไม่ได้ อีกอย่างคนทั่วเขาไปหมด จะยิงได้แม่นยำขนาดนี้ได้ นอกจากเจ้าเด็กแสบนั่นแล้วนางนึกไม่ออกแล้วจริงๆว่าจะเป็นใครได้ วิชาธนูของเซี่ยวี่ซื่อแน่นอน ไม่งั้นนางก็คงไม่เตรียมยาป้องกันพิษธนูไว้กับนางแน่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่นางยิงธนูออกไปมันจะไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่เซ็นเดียว ดังนั้นเหว่ยเฉิน น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีซะแล้ว 
已经是最新一章了
加载中