ตอนที่ 9 จากลา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 9 จากลา
ต๭นที่ 9 จากลา เป็นเพราะลูก ถึงแม้เซี่ยอีอีจะออกไปรักษาคนป่วย แต่ก็ไม่เคยอยู่ค้างคืนข้างนอกเลย แต่คราวนี้นางไม่ได้กลับบ้านมาเจ็ดวันแล้ว คำพูดนี้จึงดูไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ เนื่องจากเหว่ยหมิงถูกพิษรุนแรงมาก หากใช้วิธีปกติมารักษา อาจจะต้องใช้เวลาเกินครึ่งเดือน แต่ว่าเซี่ยอีอีไม่อาจถอนพิษให้เขาในขณะที่เขาคอยสอดส่องนางอยู่ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องจัดการให้เรียบร้อยในช่วงหลายวันที่เขาสลบไป และเหตุผลเหล่านี้ นางไม่อาจพูดออกมาได้ ขยับมือ แต่กลับไม่สามารถสลัดมือของซูซิงเฟิงหลุดได้ เซี่ยอีอีมองแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “ปล่อยมือ ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าหลับสักสิบวัน” เมื่อได้ยินดังนั้น ซูซิงเฟิงก็เก็บมือไป กระตุกมุมปาก ไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ในตอนนี้เอง ประตูห้องก็เปิดออก ตงวี่พาสาวใช้สองคนยกกะลามังล้างหน้าเข้ามา “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรอ?” ตงวี่มองไปยังเซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่แล้วกวักมือ “คุณชายน้อย คุณหนูเล็ก มากินข้าวได้แล้ว” กลิ่นธูปไม้จันทน์สีแดงกำยานอย่างดีในห้อง ครู่เดียวก็ถูกกลิ่นอาหารกลบจนหมดไป เซี่ยอีอีขมวดคิ้ว “ห้องของข้ากลายเป็นโรงอาหารไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ตงวี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “ใครบอกคุณหนูไม่กลับบ้านตั้งหลายวันล่ะ คุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กบอกว่า พวกเขาจะเฝ้า ดูท่านเอาไว้ เพื่อไม่ให้ท่านไปไหนอีก” เซี่ยอีอีมองเจ้าสองแสบด้วยสายตาประหลาด ปกติก็ไม่เห็นพวกเขาจะติดนางเท่าไหร่ แต่นางแค่ไม่อยู่หลายวัน พวกเขากลับไม่ยอมห่างเลยแม้แต่ก้าวเดียว คิดว่าพวกเขาไม่เหมือนกับเด็กเล็กๆทั่วไป แต่ตอนนี้ดูๆไปแล้ว คิดว่าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เหว่ยหมิงฟื้นมาตั้งแต่สองวันก่อน แต่เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ชุดดำกับดินหยกขาวมีความคมชัดมาก หยกขาวให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่จริงๆแล้วมันทำให้รู้สึกสดชื่น จะไม่พูดก็ไม่ได้ หมอพิษคนนี้รู้สึกจักเสพสุขสักจริงๆ เหว่ยหมิงว่างไม่มีอะไรทำก็เลยเปิดลิ้นชักตู้ยามาดู เห็นขวดยาสีขาวเรียงกันเป็นแถว ทั้งใหญ่ทั้งเล็กเรียงกันเยอะแยะมากมาย แต่ในนั้นกลับมีแผ่นป้ายหนึ่งชิ้นปะปนอยู่กับขวดยา เขาหยิบมันขึ้นมา คิ้วก็ขมวดขึ้น แผ่นป้ายผ่านทาง นี่เป็นของที่มีเพียงแม่ทัพใหญ่ของราชสำนักเท่านั้นถึงจะมี ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้? “ไม่มีใครบอกเจ้าหรอ แตะต้องของส่วนตัวของคนอื่นมันไม่มีมารยาทนะ?” เหว่ยหมิงมองไปตามเสียง เห็นเซี่ยอีอีที่ใส่ชุดสีแดงค่อยๆเดินมา เขาหันไปมองนางแล้วพูดว่า: “เจ้ามีแผ่นป้ายชิ้นนี้ได้ยังไง?” แขนเสื้อสีแดงถลกขึ้น ขณะที่นิ้วมือหยบแผ่นป้ายมาจากมือ ก็ได้ถูกมือของเหว่ยหมิงเบาๆ “ข้าจำเป็นต้องตอบคำถามนี้ของเจ้าหรอ?” ความสัมผัสที่หลงเหลือไว้ ทำให้เหว่ยหมิงอยากที่จะเห็นหน้าของนางที่อยู่ใต้ผ้า เซี่ยอีอียังไม่เงยหน้าขึ้นมา ก็หันตัวเดินไป เดินไปหลังมู่ลี่แล้วก็นั่งลงบนที่รองนั่ง“คุณชายคิดที่จะให้ข้ายืนตรวจชีพจรให้ท่านหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็นั่งลง แล้วก็ถลกแขนเสื้อขึ้น วางมือบนหมอนตรวจชีพจร นิ้วมือเรียวยาวที่เย็นวางบนมือของเขา สักพัก เซี่ยอีอีเหมือนจะถามฆ่าเวลา: “คุณชายเตรียมเงินเอาไว้แล้วหรือยัง?” “ตงหมิงไปเอาตั๋วเงินแล้ว คิดว่าอีกไม่นานคงกลับมา” สีหน้าน้ำเสียงอันเยือกเย็นผ่านไปแล้วห้าปีก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เซี่ยอีอีเงยขึ้นมองหน้าเขาผ่านผ้าที่กั้นหน้าไว้ เก็บมือ แล้วพูดว่า: “งั้นก็ดี ตอนนี้พิษในตัวคุณชายก็ถอนออกไปจนใกล้จะหมดแล้ว วันนี้ฝังอีกแค่เข็มเดียว หลังจากนี้อีกห้าวัน กินยาก็หายแล้ว” นอกเหมียวเฉ่าเก๋อ ซูซิงเฟิงสวมชุดสีขาว การจากไปของเซี่ยอีอี ทำให้เขายิ่งอยากจะรู้ว่าคนป่วยที่นางให้ความสำคัญคนนี้นั้นเป็นใคร เขาค่อยๆเดินเข้าไป แต่กลับพบว่าบริเวณที่รักษาไม่มีใครอยู่เลย เขาค่อยๆเดินผ่านมู่ลี่สีแดงเข้าไปทีละชั้น ซูซิงเฟิงเห็นบนแผ่นรองนั่งมีเงาของคนสองคน เห็นคนที่นั่งอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ชาย ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ม คิ้วและดวงตาของเขาเหมือนเด็กสองคนนั้นอย่างกับแกะ แต่ว่า เซี่ยอีอีบอกว่าพ่อของเด็กสองคนนี้ตายไปแล้ว หรือว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ? เห็นเหว่ยหมองกำลังจ้องมองเซี่ยอีอีที่กำลังฝังเข็มให้กับเขาอยู่ด้านหน้า ซูซิเฟิงรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ เขาไม่สามารถปฏกิเสธได้ว่าชายคนนี้หน้าตาดี แต่แค่นี้ มันก็ไม่มีค่ามากพอที่จะให้นางทิ้งลูก แล้วไม่สนใจเขาแบบนี้? “ทิ้งข้ากับลูกมารักษาคนป่วย หมอเทวดาอย่างเจ้า ใกล้จะทิ้งสามีทิ้งลูกแล้ว” คำพูดเหน็บแนมแบบนี้เซี่ยอีอีฟังจนชินหู แต่ทิ้งสามีมันคืออะไรกัน? นางมีสามีโผล่มาจากไหน? หันข้างไปมองหน้าเขา เซี่ยอีอีให้ความสำคัญกับมันมากจึงถามไปว่า: “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าข้าจะรีบกลับไป!” ระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ เหว่ยหมิงก็หันสายตาไป เขามองไปที่ซูซิงเฟิง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซูซิงเฟิงเองก็กำลังมองเขาอยู่ สายตาของทั้งคู่ประสานกัน โดยไม่มีความเป็มิตรต่อกัน ซูซิงเฟิงยิ่งมองหน้าเขายิ่งรู้สึกว่าเหมือนเด็กน้อยสองคนนั้นมาก ในใจก็รู้สึกไม่พอใจ เดินเข้าไปใกล้ เขานั่งอยู่ข้างเซี่ยอีอี รอยยิ้มที่นุ่มรวลเผยออกมาให้เห็นอย่างตั้งใจ แขนเสื้อถลกขึ้น ค่อยๆเช็ดไปที่หน้าผากของเซี่ยอีอี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “เจ้ามันขี้ร้อน ทำไมไม่ให้คนเอาพัดเข้ามาให้ล่ะ?” การกระทำที่กะโปโลของซูซิงเฟิง ทำให้เซี่ยอีอีกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ นางเหลือบไปมอง หัวเราะแล้วพูดว่า: “หากมีพัดลมสักเครื่องจริงๆ งั้นใครจะมาเช็ดเหงื่อให้ข้าอีกล่ะ? หือ?” คำพูดเย้าหยอกไม่มีการเลี่ยงแบบนี้ ทำให้ใจที่หึงหวงของซูซิงเฟิงเบาลงไป เขายิ้มมุมปากเบาๆ “ข้าไม่กวนเจ้าหรอก รอเจ้ากลับบ้านพร้อมกัน ลูกของเรารอเราอยู่นะ!” เซี่ยอีอีกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วเก็บสายตาไป ไม่ได้ตอบกลับคำของเขาอีก นางไม่ปฏิเสธคำของซูซิงเฟิง เพราะนางรู้ว่าเหว่ยหมิงกำลังจับตามองตัวเองอยู่ ส่วนนางก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขา เพราะว่าเขามักจะคิดว่าเรื่องล้อเล่นเป็นเรื่องจริงได้ง่าย เพื่อจะให้ตัวเองหลุดพ้นจจากบ่อนี้แล้วเอาตัวเองตกลงไปอีกบ่อหนึ่ง เรื่องแบบนี้เซี่ยอีอีไม่มีทางทำ หลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม เซี่ยอีอีดึงเข็มเล่มสุดท้ายออกจากตัวเหว่ยหมิง แต่ก็ยังไม่สบตากับเขา ส่วนเหว่ยหมิงเมื่อได้ยินบทสนทนาหยอกล้อของนางกับซูซิงเฟิงแล้ว ก็ไม่คิดที่จะมองหน้าหาความจริงอีก หลังจากนั้น เมื่อซูซิงเฟิงเห็นตงหมิงยื่นตั๋วเงินมาพับใหญ่มา พริบตาเดียวเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเซี่ยอีอีถึงยอมไม่กลับบ้านเพื่อรักษาเขา เห็นเหว่ยหมิงกับตงหมิงไปแล้ว ซูซิงเฟิงก็ทนไม่ไหวเลยพูดออกมาว่า: “ข้าว่าเจ้านี่มันก็โหดร้ายจริงๆนะ หมื่นตำลึงทอง เจ้าก็กล้าเรียก!” ฟังไม่ออกเหมือนกันว่าเขาอิจฉาหรือริษยา เซี่ยอีอีขี้เกียจสนใจเขา ก้มหน้านับตั๋วเงินแล้วก็บ่นว่า: “ทำไมจะไม่กล้าล่ะ? ข้าไม่ได้ขโมยไม่ได้แย่งใครมา ใช้ความสามารถหาเงิน ข้าก็ไม่ได้บังคับเขา ข้าแค่เรียกราคาไป เขาเองก็ยินดีที่จะทำแบบจิวยี่เฆี่ยนอุยกาย คนหนึ่งยอมถูกตีคนหนึ่งยอมถูกตำหนิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” เซี่ยอีอีอธิบาย ซูซิงเฟิงไม่มีอะไรจะพูด แต่ว่า เขากลับยังรู้สึกแปลกๆอยู่ “เจ้าว่าเขาเป็นใคร? ทำไมออกจากบ้าน ถึงได้พกเงินเยอะขนาดนั้น? ดูจากชุดที่ใส่ คิดว่าน่าจะเป็นคนใหญ่คนโต!” “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ข้าก็ไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้น” เซี่ยอีอีไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คำพูดของซูซิงเฟิงมันอ่อนเกินไป มาเล่นลิ้นต่อหน้านาง ยังห่างชั้นเกินไป 
已经是最新一章了
加载中