ตอนที่ 31 ขอแต่งงาน
1/
ตอนที่ 31 ขอแต่งงาน
ชายาเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าหนี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 31 ขอแต่งงาน
ตนที่ 31 ขอแต่งงาน “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฮองเฮาถึงได้ให้ซื่อเอ๋อกับวี่เอ๋อไปนั่งกับพระองค์ล่ะ?”เมื่อเซี่ยอีอีนั่งลง เซี่ยหวินเทียนก็รีบถามนางด้วยเสียงเบาๆ เซี่ยอีอีส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่อยู่ในตำหนักฮองเฮา องค์ฮองเฮาก็พูดอะไรแปลกๆ ข้ากำลังคิดว่าองค์ฮองเฮาเหมือนจะมองเห็นอะไรหรือเปล่า แต่พอคิดๆดูแล้ว ก็ไม่น่าเป็นไปได้” “แต่ว่า ......” “ท่านพี่อย่าเพิ่งเดาไปเลย ที่นี่คนมาก หากมีใครได้ยินเข้ามันจะไม่ดี ฮองเฮาก็แค่ให้พวกเขาไปนั่งด้วย หากว่านางมองอะไรออกจริง จะต้องไม่แค่ให้พวกเขาไปนั่งด้วยแน่ๆ”การกระทำของฮองเฮามันก็แปลกจริงๆแหละ แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว อาจจะเป็นแผนของเหว่ยหมิงก็ได้ ฮองเฮาอาจจะร่วมมือกับเขา อาจจะปรึกษาหรือวางแผนมาแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ หากว่านางทำตัวไม่ธรรมชาติ แบบนั้นนางก็จะแพ้จริงๆ ในงานเลี้ยง เซี่ยหวินเทียนจับตามองท่าทีของฮองเฮาที่มีต่อเซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่อยู่ตลอด ความใส่ใจแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้กับคำว่าลุงแท้ๆเข้าไปอีกขึ้น ตั้งแต่ได้ยินมาว่าฮองเฮาโปรดปรานเด็กๆ แต่ทำไมนางจะต้องดีกับเด็กสองคนนี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยขนาดนี้ด้วย หรือว่าจะไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ทางสายเลือดจริงๆ? ในงานเลี้ยงมีทั้งดนตรีและการเต้นรำ แต่กลับไม่อาจกลบเสียงหัวเราะขององค์ฮองเฮาเอาไว้ได้ เซี่ยวี่ซื่อเป็นคนปากหวาน แหย่ซะจนฮองเฮาถึงกลับหัวเราะไม่หยุด องค์ฮองเต้ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นฮองเฮาหัวเราะแบบนั้น ก็ยิ้มตาม นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มหัวเราะแบบนี้ แต่ตอนนี้นางหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กสองคนนั้นเก่งจริงๆ ในงานเลี้ยง เซี่ยอีอีพยายามกดตัวเองไม่ให้เป็นที่สนใจ ตั้งแต่เข้าวังมาจนถึงตอนนี้ นางเหมือนถูกจูงจมูกเดินตลอดเวลา จริงๆคิดว่าคำพูดเดียวก็น่าจะแก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้นางแทบไม่มีโอกาสได้พูดเลย เอาจริง นางก็ไม่ได้กลัวอะไร เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเหว่ยหมิง นางก็ไม่คิดจะไปยุ่งให้มากความอยู่แล้ว แต่ว่า นางก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้แหย่ใครไม่ได้หาเรื่องใคร แต่ทำไมกลับเหมือนมีดวงตาสองสามคู่ ที่มักวนเวียนอยู่บนตัวของนาง ทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจ นางอดทนจนแทบทนไม่ไหว เหมือนขีดจำกัดของนางใกล้จะหมดลงแล้ว เซี่ยอีอีเงยหน้าขึ้นไป มอง แล้วมองไปตามทางของสายตานั้นๆ ก่อนอื่นคนแรกเลยคืนคนที่นั่งตรงข้ามกับตัวเองนั่นคือเหว่ยหมิง ที่ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มเบาๆ ที่ทำให้นางแทบอยากจะไปฉีกปากเขาออก อีกคนถัดมาก็คือคนที่อยู่ข้างๆเหว่ยหมิงนั่นคือจางฮวาย ...... เดี๋ยวนะ แต่สีหน้าที่โกรธแค้นแบบนั้นนั่นมันคืออะไรกัน? นางไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจงั้นหรอ? นี่มันอะไรกัน หลายวันก่อนยังเห็นนางเป็นยังเทพเจ้าอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกล้าที่จะจ้องหน้าอย่างนัก มันเกินไปแล้ว เมื่อหันไปอีก ก็เห็นเหว่ยเฉินที่กำลังมองมาที่นางโดยไม่ละสายตา ขณะที่สายตาของนางประสานไปที่ดวงตาของเขา เขาเหมือนจะตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ดีใจของเขา เซี่ยอีอีก็แทบจะอ้วกออกมา นางยิ้มมุมปากอย่างอ่อนหวาน มันกระชากวิญญาณมากเลย เมื่อเห็นดังนั้น สายตาของเซี่ยวี่เสวียนก็แดงก่ำ เหมือนอยากจะไปควักลูกตาของนางออกมาซะเดี๋ยวนั้น เซี่ยอีอีไม่สนใจสายตาที่เคียดแค้นคู่นั้น ส่วนสายตาอีกคู่ เป็นสายตาที่ไม่คุ้นเคยเลย เป็นสายตาที่ดูน่ารังเกียจ ซึ่งมันทำให้เซี่ยอีอีรู้สึกงง นางขยับตัวเข้าไปใกล้เซี่ยหวินเทียนแล้วถามว่า“ท่านพี่ นั่นใครกัน?” เมื่อมองไปตามสายตาของนาง เซี่ยหวินเทียนก็รู้ทันทีว่าทำไมนางถึงได้สนใจคนๆนั้นมาก เพราะสายตามันดูน่ารังเกียจจริงๆ “นั่นพระสนมซูเฟย มารดาแท้ๆขององค์ชายสี่”เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ“อ่อ ที่แท้ก็แม่ของเหว่ยเฉิน มิน่าล่ะ” ถึงได้ใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่นาง โลกใบเล็กๆที่อดทนมานานเริ่มทนไม่ไหวจนระเบิดออก เซี่ยอีอีเหลือบไปมองนางเฉินซื่อ หลายปีมานี้ นางชอบเห็นคนมาท้าทายนางมากๆ ยิ่งเห็นพระสนมซูเฟยมองมาที่นางด้วยความแค้น คิดว่าน่าจะถูกคนเลวๆเป่าหูมาแน่นอน เห็นนางเฉินซื่อมองนางด้วยท่าทางยโส เซี่ยอีอีก็ยิ้มเบาๆ หลังจากนั้นก็เก็บสายตากลับมา “หม่อมฉันหยางเฉียนหลิง ถวายพระพรฝ่าบาท ฮองเฮา” หญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นมาหลังจากได้ร่ายรำเรียบร้อยแล้ว นางมีเรือนร่างที่อ่อนช้อย ท่าทีอ่อนโยน มีมารยาท เหมือนจะเป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ ฮ่องเต้มองนางแล้วพยักหน้า“หยางเฉียนหลิง หญิงผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้พบเจ้าสักทีนะ” “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้มีความสามารถอะไรเลย เกรงว่าจะไม่สมกับฉายาหญิงผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง วันนี้หม่อมฉันจะร้องเพลงถวาย หวังว่าทุกท่านที่นี่จะไม่รังเกียจ”หยางเฉียนหลิงถ่อมตนมาก ยังคงก้มหน้าโดยไม่เงยหน้าเลย พิณชิ้นหนึ่งถูกยกมาตรงหน้าของนาง นางทำความเคารพอีกครั้ง ค่อยๆเข้าสู่ที่นั่ง นิ้วเริ่มบรรเลง เสียงใสเหมือนสายน้ำไหล เสียงกังวานดังนกร้อง เสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน ทำให้คนที่ฟังนั้นเคลิบเคลิ้ม “สมแล้วที่เป็นหญิงผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง บรรเลงได้ดี เสียงร้องก็ไพเราะ สวรรค์ประทานโดยแท้” เมื่อเสียงเพลงดังเข้าหูไพเราะเพราะพริ้ง เซี่ยอีอีก็ชมไม่ขาดปาก เซี่นหวินเทียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า“ได้ยินมาว่าลูกสาวตระกูลหยางมีความสามารถทั้งเล่นหมากรุกดีดพิณตำราภาพวาด ถึงแม้พ่อของนางจะมีตำแหน่งไม่ได้สูงมาก แต่แค่ความสามารถของตัวเอง ก็สามารถได้ฉายาหญิงผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวงมาได้ ถือได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวงคนหนึ่งเลย” “เอ๋?”หาได้ยากที่จะได้ยินเซี่ยหวินเทียนชื่นชมใคร เซี่ยอีอีหันไปมอง ยิ้มแล้วพูดว่า“ทำไมท่านพี่ถึงได้ชมลูกสาวชาวบ้านแบบนี้ล่ะ น้องสาวของท่านก็เก่งเหมือนกันนะ”พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืน ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายตรงนั้น รวมไปถึงลูกสาวของตระกูลหยางด้วย ในเมื่อนางไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาของผู้คนได้ ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องทนทำต่อไป เรื่องอะไรที่ไม่มีประโยชน์คนอย่างเซี่ยอีอีไม่เคยทำ ในเมื่อคนพวกนี้อยากเห็นนางมาก ถ้างั้นก็ให้เห็นกันให้เต็มที่ไปเลย เสียงขลุ่ยที่นุ่มนวล ไพเราะ ทำให้คนที่ได้ฟังเหมือนตกอยู่ในภวังค์ หยางเฉียนหลิงยังคงบรรเลงพิณต่อไปไม่หยุด แต่เสียงเพลงที่ออกมาจากลำคอเริ่มเบาบางลง นั่งเป็นเพราะว่า บทเพลงที่นางเป็นคนแต่งเองทั้งหมดนั้น นางคิดไม่ถึงว่า บทเพลงที่ยังไม่มีใครเคยได้ฟังนั้น จะสามารถมีคนร่วมบรรเลงกับนางได้ มันน่าอัศจรรย์มาก! เมื่อเสียงขลุ่ยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หยางเฉียนหลิงถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า มันยิ่งทำให้นางเริ่มสนใจในตัวผู้หญิงมากขึ้น คนที่สามารถฟังครั้งเดียวก็เล่นได้เลย มหัศจรรย์จริงๆ! เสียงขลุ่ยที่ไพเราะ บวกกับเสียงพิณที่อ่อนหวานมันยิ่งตื่นเต้นนัก คนสวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆหยางเฉียนหลิง ทั้งสองคนร่วมบรรเลงเพลงราวกับซ้อมมาด้วยกันมานาน ทำให้คนดูไม่เห็นช่องโหว่อะไร ครู่หนึ่ง เมื่อสิ้นเสียงดนตรี เสียงพิณก็หยุดลง เสียงขลุ่ยก็หยุดลงเช่นกัน หยางเฉียนหลิงลุกขึ้นมามองเซี่ยอีอี ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม เหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน แปะแปะ ---- แปะแปะ ---- “เยี่ยม สมแล้วที่เป็นหญิงผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นพิณหรือว่าขลุ่ยไพเราะดีจริงๆ” องค์ฮ่องเต้ปรบมือให้ ด้วยความชื่นชอบมากๆ ออกหน้าเสร็จแล้ว เซี่ยอีอีก็หันหลังกำลังจะเดินไป แต่ก็ได้ยินฮ่องเต้พูดขึ้นมาว่า“คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูสี่ตระกูลเซี่ยจะเชี่ยวชาญดนตรีขนาดนี้ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย วันนี้ได้เห็นเองกับตาได้ยินกับหู ถือว่าโชคดีนัก” เซี่ยอีอีหยุดเดิน แล้วหันหลังกลับมา คำนับ“ฝ่าบาททรงชมเกินไปเพคะ อีอีแค่เห็นแม่นางท่านนี้เล่นพิณได้ไพเราะนัก เลยอดที่จะร่วมบรรเลงด้วยไม่ได้ ขอทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วย ที่ทำให้ระคายเคืองพระกรรณของฝ่าบาท” เมื่อได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้ก็หัวเราะยกใหญ่ “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ช่างพูดนะ หากเจ้าทำให้ข้าระคายหู ถ้างั้นในไต้หล้านี้คงไม่มีอะไรน่าฟังแล้วจริงไหม? ท่านเสนาเซี่ย ลูกสาวเจ้านี่เป็นคนเก่งจริงๆเลยนะ อดีตฮ่องเต้ทรงมีพระเนตรกว้างไกลมาก ตอนนั้นที่เด็กคนนี้เกิดมาก็ดูออกทันที ตอนนี้ข้าชักเสียดายแล้วสิ” คำพูดของฮ่องเต้เป็นการพูดเล่น แต่กลับตั้งใจพูดถึงเรื่องในตอนนั้น เซี่ยอีอีถอนหายใจในใจ ตอนนี้นางรู้แล้วว่า ที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี พูดไปพูดมาก็วนอยู่ในอ่าง พูดอะไรแค่ครึ่งเดียว ทำให้คนฟังไม่รู้ที่มาที่ไป มันเหนื่อยจริงๆนะ แต่ว่า ประเด็นหลักตอนนี้คือ ฮ่องเต้องค์นี้ทรงคิดอะไรอยู่? คำพูดของฮ่องเต้ทำให้เซี่ยหวินเทียนตะลึงไป ความหมายของพระองค์ยากที่จะคาดเดาได้ เขาไม่กล้าที่จะไปเดามั่วๆ เขาลุกขึ้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงชมเกินไป น้องสาวกระหม่อมล่วงเกินไป ขอทรงอภัยด้วย” เซี่ยอีอีทำเป็นไม่เข้าใจในคำพูดของฮ่องเต้ ทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ไป เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเซี่ยหวินเทียนพูดดังนั้น ก็ยิ้มเบาๆอีกครั้ง “แม่ทัพเซี่ยพูดอะไรแบบนั้น วันนี้เป็นวันมงคลเป็นวันสนุกสนาน เด็กคนนี้มีความกล้า มีความรู้ ความสามารถ ข้าอยากจะตบรางวัลให้นางซะเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ!” ตบรางวัล? เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีสายตาเปล่งประกายมาก สำหรับเงินแล้ว นางไม่เคยปฏิเสธ “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ขณะที่กำลังเงยหน้า กลับไม่เห็นเด็กแสบทั้งสองคนที่ข้างตัวของฮองเฮาแล้ว ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มก็หุบลง มองหาเงาของเด็กทั้งสองไปทั่ว “อีอีเจ้ากำลังหาเจ้าเด็กน้อยสองคนอยู่ใช่ไหม” เห็นนางไม่สบายใจ ฮองเฮาก็รีบพูดด้วยความอ่อนโยน เซี่ยอีอีมองไปที่ฮองเฮา แล้วพยักหน้า“ทรงอภัยด้วยเพคะ เด็กสองคนนั้นดื้อแล้วก็ซนมาก ทรงทำให้ทรงรำคาญพระทัยใช่ไหมเพคะ?” เมื่อได้ยินดังนั้น ฮองเฮาก็ยิ้มแล้วพูดว่า“เปล่าเลย เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าเห็นพวกเขานั่งเฉยๆแล้วเบื่อ ก็เลยให้พวกเขาออกไปเล่นกัน ข้าให้คนติดตามพวกเขาไปด้วย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ไปเล่น ยังดีที่แค่ไปเล่น คนในวังหลวงไม่มีใครที่ธรรมดาเลย ถึงแม้นางจะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเป็นอะไร แต่ก็เจียมตัวไว้หน่อยก็ดี เซี่ยอีอีพยักหน้า หันกลับไปกลับเห็นเหว่ยหมิงมองมาที่นางโดยไม่มีอาการหวาดกลัวเลย สายตาราวกับอยากจะมองนางให้ออก แล้วมองไปที่ข้างๆ นางอยากจะรีบหาจานไปรองดวงตาของเหว่ยเฉินซะจริงๆ ขณะที่กำลังรังเกียจอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นเซี่ยวี่เสวียนสีหน้าเต็มไปด้วยความแค้น นางยิ้มเบาๆ จริงๆอยากจะทำให้แค่เซี่ยวี่เสวียนคนเดียว แต่เหว่ยเฉินคิดว่านางมองตัวเขาอยู่ ไม่รู้ว่าเอ็นเส้นไหนก็เขามันกระตุก ทำให้เขาลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นมา แล้วคุกเข่าลงไป “เสด็จพ่อ ลูกอยากจะขอให้ท่านพระราชทานสมรส ให้กับหม่อมฉันกับคุณหนูสี่ตระกูลเซี่ย ขอเสด็จพ่อทรงอนุญาตด้วย” เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากเขา เสียงซุบซิบก็ดังขึ้น ด้านนอกกำลังมีข่าวลือเรื่องลูกของคุณหนูสี่บ้านตระกูลเซี่ยเป็นลูกของอ๋องหยง วันนี้หลายคนก็เห็นนางปรากฏตัวมาพร้อมกับอ๋องหยง แม้แต่ฮองเฮาที่ปกติดูเรียบๆ ก็ดูโปรดปรานเอ็นดูเด็กสองคนนั้นเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเห็นนางถือขลุ่ยหยกที่ยังไม่ห่างจากมือเลย เพราะมันเป็นของรักของอ๋องหยง ทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายหญิงและอ๋องหยง แต่ในตอนนี้องค์ชายสี่กลับลุกขึ้นมาขอพระราชทานงานแต่งงาน จริงๆมันเป็นการทำให้ชื่อเสียงของฝ่ายหญิงเสียหาย มันเป็นวิธีที่เหลวไหลมาก เมื่อเห็นเหว่ยเฉินคุกเข่าอยู่ข้างหน้า เซี่ยอีอีตกตะลึงไปครู่ใหญ่ หลังจากนั้นก็ยิ้มแบบไม่ใส่ใจ คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะทนไม่ไหวซะแล้ว หลังจากนั้นก็ยิ้มมุมปาก ผู้ชายแบบนี้ เหมาะกับคำว่า ‘เลว’ จริงๆ เซี่ยอีอีไม่สนใจ แต่เซี่ยหวินเทียนกลับทนไม่ได้ เมื่อได้ยินเหว่ยเฉินพูดจาแบบนี้ออกมา เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าคิดอยากจะลุกขึ้นไปกระทืบเขาให้ตายเดี๋ยวนั้น ตอนนั้นเขาทำเรื่องแบบนั้น ทำให้น้องสาวของเขาเสียความบริสุทธิ์ไป ตอนนี้กลับจะมาขอนางแต่งงาน เขาไม่คิดบ้างหรอว่าเขาจะนำทหารไปถล่มจวนอ๋องหรือไง! อีกด้าน เซี่ยวี่เสวียนก็โกรธจนตัวสั่น มือทั้งสองกำผ้าไว้แน่น อยากจะฉีกให้ขาดซะเดี๋ยวนั้น เรื่องของเฉี่ยวเอ๋อเพิ่งซาลงไม่นานเท่าไหร่ เขาก็วิ่งมาขอพระราชทานงานแต่งต่อหน้าคนมากมาย จะไม่ให้นางแค้นได้อย่างไร? แต่ในสายตาของคนในงาน นางจะต้องนิ่งเพื่อรักษาเกียรติของพระชายาเอาไว้ นางจะโกรธออกมาไม่ได้ ต้องอดทนไว้ “นี่มันอะไรกันเนี้ย? เหว่ยเฉินเป็นคนยกเลิกการหมั่นไปเอง แล้วไปแต่งกับคุณหนูรองของตระกูลเซี่ยเองไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงโดดออกมาขอพระราชทานงานแต่งแบบนี้ล่ะ? เขาขอแต่งงานแบบนี้ เจ้าจะทำยังไง? หมิง ถ้าไงเจ้าไปขอพระราชทานงานแต่งเลยดีไหม เจ้ายังไม่เคยแต่งงาน โอกาสได้มีมากกว่านะ” จางฮวายลากเหว่ยหมิงมาคุยด้วยเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้มองเลยว่าอีกคนมีอารมณ์จะคุยด้วยหรือเปล่า เหว่ยหมิงจ้องไปที่ข้างๆอย่างเย็นชา จ้องไปที่เจ้าคนพูดจาไม่ดูกาลเทสะ เขาอยากจะรีบจับตัวเขาโยนออกไปข้างนอกซะเดี๋ยวนี้เลย ที่เหว่ยหมิงโกรธไม่ใช่เพราะเหว่ยเฉินไปทูลขอแต่งงาน แต่เป็นเพราะเซี่ยอีอีนิ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ หากนางเอ่ยปากปฏิเสธ ต่อให้คนตัดสินใจจะเป็นองค์ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจจะไปบังคับนางได้ เพราะการยกเลิกงานแต่งเมื่อหลายปีก่อนก็เป็นเพราะเขา ตอนนี้ขอแค่นางไม่ยินยอม พวกเยาก็บังคับนางไม่ได้ แต่นางกลับไม่พูดอะไรเลย เงียบก็ไม่ได้ต่างจากยอมรับตรงไหนเลยจริงไหม? ส่วนในตอนนี้ที่เขายังไม่พูดอะไร ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากห้าม แต่เพราะเขารู้ว่า ในตำหนักใหญ่แห่งนี้ จะต้องมีอีกหลายคนที่ไม่พอใจมากในเรื่องี้ เช่น ...... ปึ้ง! พระสนมซูเฟยตบโต๊ะ แล้วตะคอกออกไปว่า“เหว่ยเฉิน เจ้ากลับที่ของเจ้าไปเดี๋ยวนี้ แต่งงานอะไรกัน? งานแต่งของเจ้ากับตระกูลเซี่ยได้แต่งกันไปแล้วไม่ใช่หรือไง? พระชายาเอกของเจ้าก็คือคุณหนูตระกูลเซี่ย แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?” “เสด็จแม่ ข้า ......” เหว่ยเฉินกำลังจะพูดต่อ แต่ฮองเฮาก็ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขา ลูกสะใภ้คนนี้นางเคยเสียนางไปแล้วหนึ่งครั้ง ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ตามนางก็จะไม่ยอมให้แม่ของหลานตัวเองไปอยู่กับคนอื่นเด็ดขาด “เอาล่ะ องค์ชายสี่ แม่ของเจ้าพูดถูกนะ งานแต่งของเจ้ากับตระกูลเซี่ยเกิดขึ้นไปแล้ว หากตอนนี้เจ้ายังจะมาแต่งกับอีอีอีก เจ้าคิดว่าเจ้าจะให้ตำแหน่งอะไรกับนางล่ะ? เจ้าคงไม่คิดจะแต่งนางมาเป็นชายารองของเจ้าใช่ไหม? อดีตฮองเต้ทรงเอ็นดูอีอีมาก พระราชทานนางให้แต่งกับเจ้าเป็นชายาเอก ตอนนี้ชายาเอกของเจ้าก็อยู่ข้างๆเจ้าแล้ว หากเจ้าแต่งอีอีไปอีก เกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่อดีตฮ่องเต้ทรงปราถนาจะเห็น!” ในสถานการณ์แบบนี้ คนที่ดูลำบากใจที่สุดน่าจะเป็นหยางเฉียนหลิง นางยื่นอยู่ข้างๆเซี่ยอีอี จะไปก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่ควร ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง รู้สึกตัวเองไม่ค่อยสบายใจ เซี่ยอีอีหันไปมองนางแล้วยักคิ้วให้ ทำสัญญาณให้นางค่อยๆหลบออกไป หยางเฉียนหลิงเข้าใจความหมายของนาง ยิ้มเบาๆ แล้วค่อยๆถอยทีละก้าวออกไป เซี่ยอีอีเก็บสายตากลับมา แต่ไม่ทันระวังก็ไปสบสายตากับเหว่ยหมิงที่สีหน้าดูแย่มาก เหอะเหอะ เมื่อกี้ยังได้ใจอยู่ไม่ใช่หรอ ตอนนี้ทำไมหน้าเสียแบบนั้นล่ะ? นางยิ้มมุมปากแบบร้ายๆ เหมือนต้องการท้าทาย ต้องการยั่วโมโหเหว่ยหมิงให้ตายตรงนี้ไปเลย เหว่ยหมิงเห็นดังนั้น ก็ขมวดคิ้ว โกรธจนควันออกหู ฮ่องเต้เหลือบไปเห็นเหว่ยหมิงที่สีหน้าดูไม่ดีที่กำลังจ้องไปที่เซี่ยอีอี เห็นทั้งคู่สบตากันอยู่ ก็เหมือนตั้งใจพูดขัดขึ้นมา “แม่หนูตระกูลเซี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้า เจ้าเห็นว่ายังไง?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีรีบมองไปที่ฮ่องเต้ มองแล้วนางก็ยิ้ม เหว่ยหมิงกำหมัดแน่น แค่เห็นท่าทีของนาง เขาก็รู้ทันทีว่านางจะพูดว่าอะไร เหว่ยหมิงสบถอย่างแรง “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีความเห็นเพคะ” ใช่ นางไม่มีความเห็น เพราะนางไม่จำเป็นต้องมี และไม่จำเป็นต้องใส่ใจ สำหรับผู้ชายอย่างเหว่ยเฉินแล้ว นางแค่รังเกียจยังไม่พอเลย อยากจะให้เข้าตาคนอย่างนาง เขาแทบไม่มีสิทธิ แต่เมื่อเข้าหูของคนอื่นๆ กลับเข้าใจผิดคิดว่านางยินดีที่จะแต่งงานกับคนที่เคยทิ้งนางไป เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง เซี่ยอีอียังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มก็ยังไม่ได้หุบกลับไป ในครั้งนี้ นางกำนัลคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในตำหนักใหญ่หน้าตาตื่น นางมากระซิบที่ข้างหูของพระสนมซูเฟย เห็นสีหน้าของพระสนมซูเฟยเปลี่ยนไป แล้วตะคอกว่า“จับพวกเขาเข้ามา” เสียงดังที่เกิดขึ้นทำให้ฮ่องเต้ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขามองไปที่พระสนมซูเฟย แล้วพูดโดยไม่พอใจอย่างแรงว่า“ในตำหนักนี่ มีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าต้องส่งเสียงดังแบบนี้?” พระสนมซูเฟยขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ นางยื่นมือไปชี้เซี่ยอีอีแล้วพูดว่า“ฝ่าบาทเพคะ ลูกสวะสองคนของเซี่ยอีอีขโมยหยกเหวินเห๋อที่เป็นสมบัติติดตัวตอนแต่งงานของหม่อมฉันไปเพคะ” สายตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของเซี่ยอีอี ตอนนี้มันไม่หลงเหลือความอ่อนโยนอีกแล้ว หน้าที่ก้มอยู่ค่อยๆเงยขึ้นมา แล้วมองไปด้วยความเยือกเย็น เหว่ยหมิงได้ยินดังนั้น คิ้วสองข้างก็ขมวดติดกัน“ลูกสวะ”ที่ออกมาจากปากพระสนมซูเฟย มันระคายหูของเขามาก เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยอีอีเปลี่ยนไป เขาเลือกที่จะให้นางแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะได้ให้นางรู้ว่า หากเลือกเหว่ยเฉินจะทำให้นางจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 31 ขอแต่งงาน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A