ตอนที่ 33 ฉากลามก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 33 ฉากลามก
ต๭นที่ 33 ฉากลามก เพล้ง -- ถ้วยชาบนโต๊ะแตกกระจายเต็มพื้น เสียงหอบอย่างรุนแรงทำให้เซวี่ยวี่เสวียนตกใจมาก นางใช้มือดันด้านหลังโต๊ะเอาไว้ แล้วใช้อีกมือหนึ่งดันตัวของเหว่ยเฉิน ซอกคอของนางถูกเขาดูดจนรู้สึกเจ็บ “องค์ชาย ท่านเป็นอะไรไป? นี่ในวังนะ ท่านปล่อยข้าเถอะ” การเล้าโลมของเหว่ยเฉินควานหาไปยังเสื้อผ้าบนตัวนาง มือใหญ่ๆสอดเข้าไปในเสื้อ เสียงห้ามปรามของเซี่ยวี่เสวียนไม่ได้เข้าหูเลย “ในวังแล้วยังไงล่ะ วางใจเถอะ ไม่มีใครเข้ามาหรอก” พูดจบ เขาก็อุ้มคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาวางไปบนโต๊ะ ตั้งแต่ตั้งครรภ์มา เหว่ยเฉินแทบไม่แตะต้องตัวนางเลย การเล้าโลมของเหว่ยเฉินในตอนนี้ก็เหมือนคบเพลิงที่กำลังจุดลงบนตัวนาง แขนเสื้อบริเวณไหล่ถูกฉีกขาด นางไม่อยากขัดใจเหว่ยเฉิน ก็เลยตอบสนองความชอบของเขาไปตามจังหวะ เหว่ยเฉินกำลังอยู่ในภาวะมีอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรง ร้อนรุมไปทั่วทั้งตัว เขาดันตัวของเซี่ยวี่เสวียนล้มลงไปที่โต๊ะ มือของเขาพยายามจะถอดกางเกงซับในของนางออก “องค์ชาย” เซี่ยวี่เสวียนตกใจในการกระทำของเหว่ยเฉินมาก นางพยายามลุกขึ้น ยื่นมือไปพยายามห้ามเขา “องค์ชาย หม่อมฉันท้องอยู่นะเพคะ ทำไม่ ......” เมื่อพูดจบ เหว่ยเฉินก็จูบปิดปากนางอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็ค่อยๆเลื้อยไปตามซอกคอ หลังหู แล้วก็ไม่หยุดไหลไปตามจุดอ่อนไหวของนาง “ใกล้สามเดือนแล้ว ไม่เป็นไรหรอก นานขนาดนี้แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่อยาก หลายเดือนมานี่ข้าคิดถึงความเร้าร้อนของเจ้ามาก เจ้าไม่คิดถึงข้าหรอ?” เซี่ยวี่เสวียนค่อยๆถูกคำพูดกล่อมจนหลงแล้วค่อยๆหยุดการขัดขืนลง แล้วปล่อยตัวให้ไปตามอารมณ์ นานมากแล้วที่เหว่ยเฉินไม่ได้ใกล้ชิดกับนางแบบนี้ ความเร้าร้อนในร่างกายทวีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงหอบหายใจที่ปะปนเข้ามา ทำให้เซี่ยวี่เสวียนรู้สึกหน้ามืดขึ้นทันทีทันใด หลายปีมานี้ นางใช้ทุกวิถีทางในการรั้งตัวเหว่ยเฉินเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นตอนนี้เขาก็ยังนึกถึงนางอยู่ ในใจของนางก็รู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก ซอกคอขาวที่ราวกับหิมะถูกจูบกัดจนแดงเป็นแทบ สายตาของเหว่ยเฉินสีแดงฉาด เหมือนกับสัตว์ป่า ท่สามารถเผาไหม้ทุกอย่างที่อยู่ ...... นอกประตูทั้งหมด สายตาคู่นั้นมันเหมือนจ้องออกไปด้านนอกอย่างมีอารมณ์ ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็ตบไปที่ไหล่ของนางเบาๆ แต่เพราะทำเบาเกินไป ทำให้รู้สึกเหมือนมันหลุดไป หลังจากนั้นก็ตบไปอีกสองที แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร “เซี่ยอีอี” เสียงเรียกเบาๆดังขึ้น เซี่ยอีอีตกใจจนหัวใจหลุดไปอยู่ตาตุ่ม นางหันหลังไป แล้วใช้มืออุดไปที่ปากของคนๆนั้น เหมือนกลัวว่าเสียงของเขาจะไปทำลายละครฉากดีๆเข้า หลังจากที่นางเห็นว่าคนๆนั้นเป็นใครแล้ว สายตาก็สั่น อยากจะเก็บมือกลับมา แต่กลับถูกจับข้อมือเอาไว้ เซี่ยอีอีมองไปที่ประตูห้องอย่างกังวล แล้วก็ลากเหว่ยหมองออกห่างมาอีกหน่อย นางสะบัดมือทิ้ง แล้วจ้องไปที่เขา แล้วกดเสียงต่ำถามไปว่า“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เห็นนางตื่นตระหนกแบบนี้ เหว่ยหมิงถึงกลับขมวดคิ้ว “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” “ข้าอยากจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ เจ้ายุ่งอะไรด้วย?” เซี่ยอีอีอยากจะกรี๊ดร้องด้วยความโกรธ แต่ก็ต้องกดเสียงให้เบาลง ความรู้สึกที่อยากร้องตะโกนแต่ทำไม่ได้ มันเหมือนกลั้นเสียงของนางจนแทบจะระเบิด เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของเซี่ยวี่เสวียนดังออกมาจากข้างใน เสียงนั้น มันดังออกมาไม่ได้จังหวะเลย คอของเซี่ยอีอีหดลง แล้วบ่นพึมพำ“จะร้องก่อนหรือหลังก็ไม่ทำ มาร้องอะไรตอนนี้!” เหว่ยหมิงได้ยินดังนั้นก็หันกลับมา แล้วถามว่า“ใครอยู่ในนั้น?” เซี่ยอีอียิ้มมุมปาก แล้วก็ยิ้มแบบไม่เป็นธรรมชาติออกมาแล้วพูดว่า“ไม่ ไม่มีใคร อะไรทั้งนั้น ข้ายังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน บ๊าบบาย” เหว่ยหมิงเก็บสายตากลับมา แล้วดึงคนที่กำลังจะหนีไปไว้ เซี่ยอีอีหันกลับมาด้วยความไม่พอใจ เห็นสายตาที่ไม่เหมือนเดิมของเขา เหว่ยหมิงคิ้วสั่น เหมือนกำลังตื่นเต้นหรือโกรธอยู่ เขาจ้องมาที่ดวงตาของนาง ราวกับว่าต้องการจะมองทะลุไปข้างในดวงตาของนาง เปิดเผยความลับของนาง ครู่ใหญ่ เหว่ยหมิงที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ภายในห้องก็มีเสียงครางของผู้ชายดังออกมา เสียงผู้หญิงที่กรี๊ดร้อง เสียงผู้ชายที่ครางเสียงต่ำ เหว่ยหมิงเองก็เป็นผู้ชาย สีหน้าของเหว่ยหมิงเข้มขึ้น เขาโกรธมากแล้วจ้องไปที่เซี่ยอีอี แล้วกัดฟันพูดว่า “เซี่ยอีอี เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่?” เซี่ยอีอีมองไปที่เขาด้วยความขะเขิน ถึงแม้นางจะไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่นางทำมันจะเกี่ยวอะไรกับเขา แต่ในใจของนางเองกลับรู้สึกตกใจและเป็นกังวลไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ทันที่เซี่ยอีอีจะได้อธิบายก่อน ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวออกมาจากในห้องอีกครั้ง “อ๊า เลือด องค์ชาย เจ็บ เลือด อ๊า อ๊า องค์ชายท่านปล่อยข้า อ๊า ช่วยด้วย ช่วยด้วย!” “เหว่ยเฉิน!” เสียงเซี่ยวี่เสวียนร้องด้วยความทรมานอย่างชัดเจน เสียงของเหว่ยหมิงเหมือนกำลังถาม แต่จากน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเมื่อกี้เยอะมาก เซี่ยวี่เสวียนร้องดังขนาดนี้ จะต้องมีคนมาตามเสียงนางแน่ๆ เซี่ยอีอีสลัดมือของตัวเองไม่หยุด ก็เลยพลิกกลับมาจับมือของเหว่ยหมิงแทน “อย่าเพิ่งสนเลยว่าใคร รีบไปก่อน อีกเดี๋ยวก็มีคนมาแล้ว” เหว่ยหมิงไม่ขยับ มองไปที่นางด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรกันแน่?” ยังไม่ยอมจบอีก? ตอนนี้มันใช่เวลามาถามว่านางทำอะไรไหม ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เอาสมองมาจากบ้านเมื่อเช้าหรือไงกัน? เซี่ยอีอีรู้สึกร้อนใจ เงยหน้ามองไป สายตาที่เย็นชาไม่แพ้ของเหว่ยหมิง “ตกลงเจ้าจะไปไหม?” เสียงกรี๊ดร้องในห้องดังไม่หยุด ต่อให้เซี่ยอีอีไม่พูด เหว่ยหมิงก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบหลายเสียงลอยเข้ามา เซี่ยอีอีขมวดคิ้ว ยื่นมือไปจับมือของเหว่ยหมิงที่จับมือนางอยู่ “เจ้ายืนเหม่ออยู่นี่ล่ะกัน ข้าไปล่ะ” เมื่อก้าวไปได้แค่สองก้าว เหว่ยหมิงก็จับนางเอาไว้ ลากนางเดินออกไปตรงทางออกอีกด้านหนึ่ง เดินไปไม่ไกลนัก ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบหลายเสียงลอยเข้ามา และเหมือนดังขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเสียงกลุ่มคนหมู่มากที่ดังเข้ามาใกล้ ตอนนี้ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสม ไม่ว่ายังไงก็ตามจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่านางอยู่ที่นี่ เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นนางกำนัลกับขันทีกำลังเดินเข้ามา เซี่ยอีอีร้อนใจ เลยลากเหว่ยหมิงเข้าไปหลบในซอกภูเขาปลอม ซอกระหว่างภูเขาปลอมสองลูกมันเล็กมาก ถึงแม้จะสามารถยืนได้สองคน แต่ก็อาจจะถูกใครพบเห็นได้ นางพยายามลากเหว่ยหมิงมาบังตัวของนางเอาไว้ เหว่ยหมิงมองไปที่ใบหน้าของคนที่กำลังร้อนรนอยู่นั้น ปล่อยให้นางจับชายเสื้อของเขาเอาไว้ นานอยู่พอควร จนคนเหล่านั้นไปกันจนหมด เซี่ยอีอีถึงได้เบาใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมา กลับถูกสายตาเฉี่ยวๆของเหว่ยหมิงทำให้ตกใจ นางผลักเขาออกไป ถอยหลังเอาตัวไปพิงกับภูเขาปลอม หาได้ยากนะที่นางจะตื่นตระหนกขนาดนี้ เหว่ยหมิงยิ้มมุมปาก ยิ้มแล้วมองไปที่นาง “ตอนนี้จะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าทำอะไร?” “เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่หรอ?” เซี่ยอีอีตอบด้วยความรำคาญ “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?”เขารู้แล้วจริงๆแหละ แต่เขาอยากที่จะเหตุผลจากปากของนางด้วยตัวเอง เซี่ยอีอีพยายามถอยไปพิงภูเขาปลอม มองเขาแล้วยิ้ม“จะแกล้งคนจะต้องมีเหตุผลด้วยหรอ? ถ้ามันจะต้องมี งั้นข้าอารมณ์ไม่ดี อยากแกล้งคน ได้ไหมล่ะ?”พูดจบ ก็หุบยิ้ม แล้วไป แต่กลับถูกเหว่ยหมิงยกมือขวางไว้ เซี่ยอีอีจ้องกลับไป มือข้างหนึ่งที่มีแรงกำลังโอบรัดเอวของนางไว้ เหว่ยหมิงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของเขา มองไปที่หน้าของนาง แล้วถามว่า“เป้าหมายของเจ้าคืออะไร? บอกข้ามาสิ เจ้าไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเหว่ยเฉินเลยใช่ไหม?”คำโกหกของนางมันมีมากเกินไป เขาไม่รู้ว่าเขาควรเชื่ออะไร สายตาที่เปล่งประกายแล้วยิ้มแบบร้ายๆออกมา ค่อยๆยกมือขึ้นมา แล้วเอาไปแตะที่ปากของเขา นางลังเล แต่ในวินาทีนั้นเอง ในสมองของเซี่ยอีอีกลับเกิดความรู้สึกบางอย่างที่นางแทบจะลืมมันไปแล้วตลอดห้าปีที่ผ่านมา ทันใดนั้นเอง นางก็เก็บเอามือที่เปื้อนยากลับไปไว้ที่หน้าอกของเขาแทน “ทำไมท่านอ๋องมักจะถามอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจตลอดเลย? ข้าชอบองค์ชายสี่มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เขาอยากจะแต่งกับข้า ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? หรือว่าท่านอ๋องจะเหมือนกับพระสนมซูเฟย รังเกียจลูกของข้าทั้งสองคน?” ตอนที่นางยกมือขึ้นมาเมื่อกี้ แต่ทำไมถึงเอามันลง เขาเองก็ไม่รู้ เหว่ยเฉินอยากจะแต่งงานกับนาง เรื่องนี้จริงแน่นอน แต่นางอยากจะแต่งจริงไหม? คำพูดของนางไม่ใช่เขาจะไม่เคยฟัง คำพูดแบบนี้มันแทบจะเชื่ออะไรไม่ได้เลย ในตอนนี้เอง เหว่ยหมิงมั่นใจว่านางคือผู้หญิงเมื่อหลายปีก่อนนั้นที่หนีไปแน่ๆ แต่เพราะอะไรถึงรู้หรอ ก็เพราะว่านางหลุดปากมาเองน่ะสิ เมื่อห้าปีที่แล้วนางมีปัญญาที่จะหนีไปจากเขา ห้าปีผ่านไปเขาไม่มีทางให้นางมีโอกาสนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหว่ยเฉินจะแต่งงานกับนางหรือว่านางอยากจะแต่งกับเขา ขอแค่เขายังอยู่ เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น แขนยาวๆโอบรัดนางเข้ามาใกล้และแน่นขึ้น ร่างกายที่นุ่มนิ่มชิดแนบตัวของเขา เหว่ยหมิงพูดแหย่กลับไปว่า“ถ้าอย่างนั้นเจ้านี่ก็ใจกว้างเหมือนกันนะ ถึงขั้นไปยืนแอบดูผู้ชายที่ตัวเองชอบพลอดรักอยู่กับหญิงอื่น เจ้าไม่อิจฉาหรอ?” “อิจฉาอิจฉาซิ ตอนนั้นข้าแทบอยากจะวิ่งเข้าไปแยกพวกเขาออกจากกัน!”เซี่ยอีอีพูดโกหกโดยไม่กระพริบตาเลย คำว่าอิจฉาจากปากของนาง ทำให้เหว่ยหมิงโกรธจนแทบทนไม่ไหว สัมผัสที่อ่อนโยนพุ่งเข้าใส่ ทำให้ริมฝีปากรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เซี่ยอีอีที่ถูกทำโทษด้วยการจูบขมวดคิ้ว นางยื่นมือไปพยายามขัดขืน แต่กลับผลักเขาไม่ออกเลย สีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความโกรธ พักใหญ่ นางเหมือนจะหายใจไม่หันจนสำลัก ตอนนั้นถึงได้อิสระกลับคืนมา ปากที่ได้รับอิสรภาพคืนมายังไม่ทันได้หายใจดี ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความโกรธว่า“เหว่ยหมิงข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอีก ......” พูดยังไม่ทันจบ เหว่ยหมิงก็ยิ้ม แล้วจูบไปที่ปากอีกครั้ง เซี่ยอีอีไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกจูบที่ริมฝีปากอีกครั้งทำให้เสียงที่พูดมันอุดอู้ไม่ชัด ความโกรธกลายเป็นความเจ้าเล่ห์ การขัดขืนก็ค่อยๆหยุดลง นางไม่ตอบสนองใดๆอีก ปล่อยให้เหว่ยหมิงจูบนางไป เมื่อเหว่ยหมิงรู้สึกตัว นางก็ออกแรง ผลักเขาออกไปที่หินด้านหลัง เซี่ยอีอีพุ่งตัวเข้าใส่เหว่ยหมิง ท่าทางเหมือนยั่วยวน เหว่ยหมิงเหลือบมอง ไม่รู้ว่านางจะมาเล่นลูกไม้อะไรอีก เมื่อออกจากการจูบกับนาง เขาก็พูดว่า “คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีกล่ะ?” เซี่ยอีอีกระพริบตา ท่าทางดูยั่วยวน นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า“เปล่า ก็แค่รู้สึกว่าทักษะการจูบของท่านอ๋องไม่เลว อยากจะซึบซับสักหน่อยก็แค่นั้น” เหว่ยหมิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเบาๆ ความร้ายกาจในการคล้อยตามเรื่องของผู้หญิงคนนี้ไม่มีใครเกิน ในสถานการณ์แบบนี้นางยังสามารถพูดจาแบบนี้ออกมาอีก มือใหญ่โอบตัวนางเข้ามา เหว่ยหมิงมองไปที่ดวงตาที่เปล่งประกายของนาง แล้วพูดว่า“เซี่ยอีอี ข้าไม่สนว่าเจ้ากำลังคิดอะไรหรือทำอะไร แต่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าไปยุ่งกับเหว่ยเฉินอีก อยู่ห่างจากเขาเอาไว้ เข้าใจไหม?” เซี่ยอีอียิ้มมุมปากแล้วหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ตอบเขา คนอย่างเซี่ยอีอีไม่เคยฟังคำสั่งของใคร นางอยากจะทำอะไรก็ทำ มันเกี่ยวอะไรกับเขา? รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่บนหน้าของนางนานมาก ร่างกายอันอ่อนนุ่มก็แนบชิดอยู่บนตัวของเขาอยู่นาน นิ้วมือแกว่งไปมาที่เสื้อผ้าของเหว่ยหมิง “ท่านอ๋อง ท่านใชกำลังจูบข้าถึงสองครั้ง ข้าไม่คิดเอาเรื่อง แต่ตอนนี้ท่านกลับมายุ่งเรื่องข้าจะไปมาหาสู่กับใคร ท่านไม่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยหรอ?” ได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปจับคางนางขึ้นมา“ข้าจูบเจ้าจริง แต่ไม่ได้บอกนิว่าเอาเรื่องไม่ได้” “เหอะเหอะ” เซี่ยอีอียิ้มเบาๆ หันหน้าหลบมือของเขา “ท่านอ๋องล้อเล่นได้น่าขันดีนะ ท่านเป็นถึงท่านอ๋องข้าเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ท่านอ๋องคิดว่าจะให้ข้าเอาอะไรไปหาเรื่องท่านล่ะ?” เหว่ยหมิงเหมือนจะคิดไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า“ผู้หญิงทั่วไปถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็จะต้องร้องไห้แล้วก็ยกชีวิตให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ้าก็ลองตั้งเงื่อนไขแบบนั้นดูสิ ลองดูว่าข้าจะรับปากเจ้าไหม?” เซี่ยอีอีหัวเราะออกมาหนักมาก เหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก “ท่านอ๋องกำลังเรียกร้องความสนใจจากข้าหรอ? ยกชีวิตให้อีกฝ่ายหนึ่ง? ท่านอ๋องลืมคำคัดค้านของฮองเฮากับพระสนมซูเฟยตอนที่อยู่ในตำหนักใหญ่แล้วหรอ? อีอีไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์แล้วนี่คือเรื่องจริง ตอนนี้ท่านอ๋องสนใจในตัวอีอีถือเป็นวาสนาของข้า แต่อีอีเป็นคนวาสนาน้อย คงไม่อาจรับเมตตานี้ได้ ดังนั้นเงื่อนไขแบบนี้อีอีคงไม่กล้าร้องขอ” “จริงสิ ข้ามีของชิ้นหนึ่งจะต้องคืนให้ท่าน” พูดจบ เซี่ยอีอีก็ผลักตัวเขาออกเบาๆ แต่เหว่ยหมิงยังไม่ได้ปล่อยมือ แต่เมื่อเห็นว่านางไม่ได้คิดจะหนีก็เลยปล่อย เมื่อออกจากการกักขังของเหว่ยหมิงได้ เซี่ยอีอีก็เดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางหยิบขลุ่ยที่เอวของนางขึ้นมา เงยหน้าไปมองเหว่ยหมิง“ขลุ่ยหลิงเซียวของท่านอ๋องล้ำค่ามาก หลังจากใช้ไปแล้วมันไม่ค่อยคุ้นมือ แต่ว่า ......” เหว่ยหมิงมองไปที่มือของนางที่กำลังเล่นพู่อยู่ หลังจากนั้นก็เห็นนางค่อยๆดึงพู่ออกมา แล้วบีบเล่นในมือ “ท่านอ๋องยกขลุ่ยหลิงเซียวเป็นของชดใช้ให้ข้า อีอีคงต้องรับ แต่ของที่มีการสลักคำว่าหยง เกรงว่าข้าคงไม่มีบุญได้ใช้มัน” พูดจบ ก็หุบยิ้ม แล้วโยนพู่ลงไปที่เท้าของเหว่ยหมิง สีหน้าท่าทางไม่มีเหลือแม้แต่ความอ่อนโยน สีหน้าแบบนี้จะไปเห็นความนุ่มนวลแบบเมื่อกี้ได้ไง “ท่านอ๋องนี่ลงทุนกับข้าจริงๆ แม้แต่ของชดใช้ยังต้องใช้แผนการมากมาย ความคิดของท่านอ๋องล้ำลึกนัก อีอีเทียบไม่ติดเลย แต่ว่าต่อไปท่านอ๋องอย่าทรงทำอย่างนี้อีก ด้วยชื่อเสียงของท่านอ๋อง คงไม่มีใครกล้าว่าอะไรท่าน แต่ชื่อเสียงของเราสามแม่ลูกไม่ดีอยู่แล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะยอมปล่อยพวกเราไป” เหว่ยหมิงมองไปที่พู่ที่เท้า แล้วหัวเราะเบาๆพูดว่า “หากข้าไม่ยอมปล่อยละ?” ปล่อย? เป็นไปไม่ได้หรอก เขาตามหานางมาตั้งห้าปี จะปล่อยนางไปง่ายๆได้ยังไง เซี่ยอีอีเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว สายตาเยือกเย็น “หากไม่ปล่อย ข้ารับรองว่าท่านจะต้องเสียใจ” เสียใจ? ดีนิ ห้าปีก่อนนางก็พูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียใจเลย เสียงหัวเราะดังออกมาจากคอ เหว่ยหมิงค่อยๆจับมือนางเอาไว้ แล้วค่อยๆบีบไปที่ฝ่ามือ ลูบเบาๆเหมือนกับลูบหยกเลย “ได้ ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจยังไง” เมื่อพูดจบ ก็หันหลังลากเดินนางออกมาจากภูเขาปลอม
已经是最新一章了
加载中