ตอนที่ 34 ต้นเหล็กมีดอกไม้ออก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 34 ต้นเหล็กมีดอกไม้ออก
ต๭นที่ 34 ต้นเหล็กมีดอกไม้ออก “เจ้าบ้าไปแล้วหรอ? เดี๋ยวใครก็เห็นเข้าหรอก”เซี่ยอีอีตกใจในการกระทำของเขา อยากี่จะผลักมือของเหว่ยหมิงออก แต่ทำยังไงก็แงะมือไม่ออกสักที “เจ้ายิ่งดิ้นมันก็จะเป็นที่สนใจได้ง่ายนะ”เหว่ยหมิงดึงมือของนางแล้วเดินไป มือใหญ่ที่จับนางไว้แน่น แทบจะไม่มีโอกาสให้นางได้สลัดมันทิ้ง เซี่ยอีอีคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดเมื่อเข้ามายังวังหลวงไว้แล้ว แต่เรื่องเดียวที่นางคิดไม่ถึงก็คือเรื่องที่เหว่ยหมิงจะเข้ามาวอแวนาง ผู้ชายคนนี้เหมือนคนบ้า นี่มันวังหลวงนะ เขากลับจับมือนางเอาไว้โดยไม่สนใจอะไรเลย วันนี้คนเข้าวังหลวงมามากซะด้วย เดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอคนกลุ่มใหญ่ที่ยืนตะลึงมองมาที่พวกเขา มันทำให้รู้สึกเขินแปลกๆ เซี่ยอีอีดึงชายแขนเสื้อมาปิดมือข้างที่ถูกเหว่ยหมิงจับเอาไว้ เห็นท่าทีของนางเริ่มปกติ เหว่ยหมิงก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ มือที่จับข้อมือของนางก็ค่อยๆผ่อนแรงลง เมื่อออกจากประตูวัง เหว่ยหมิงพานางไปที่รถม้าจอดอยู่ เซี่ยอีอีหยุดเดิน ไม่ยอมเดินตามไป นางไม่อยากนั่งรถม้าไปกับเขาสองต่อสอง ขามา อย่างน้อยก็มีเด็กน้อยสองคนนั่งมาด้วย ตอนนี้มีแค่นางคนเดียว นางไม่โง่ ที่จะเอาตัวเองส่งเข้าปากเสือแบบนี้หรอก “ทำไมไม่เดินล่ะ?” เซี่ยอีอีจ้อง แล้วกัดฟันพูดว่า“เหว่ยหมิง ความอดทนข้ามีขีดจำกัดนะ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” เหว่ยหมิงยิ้มเบาๆ เหมือนไม่ได้สนใจคำว่าความอดทนที่ออกมาจากปากนางเลย แล้วใช้แรงดึงมือนาง เซี่ยอีอีจึงต้องเดินตามการเดินของเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เซี่ยอีอีแค้นจนทนไม่ไหว มืออีกข้างที่ว่างอยู่หยิบเข็มเงินขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะลงมือ กลับได้ยินเสียงอันรีบร้อนเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง เรียกให้เหว่ยหมิงหยุด ทำให้นางต้องหยุดไปด้วย “ท่านอ๋อง” ทั้งสองหันหลังกลับไป เห็นกงกงคนหนึ่งวิ่งมาด้วยความเหนื่อยหอบ“ท่านอ๋อง กระหม่อมตามหาท่านแทบแย่” “มีเรื่องอะไร?” เหว่ยหมิงถามกลับไปเรียบๆ กงกง(ขันที)กำลังจะเอ่ยปากพูด กลับชะงักไปเพราะมือของทั้งคู่ที่จับกันไว้ เขารีบหันหนีไปทางอื่น “ท่านอ๋อง องค์ฮองเฮาให้กระหม่อมมาทูลเชิญเสด็จ พระนางกล่าวว่า พระนางทรงมีเรื่องที่ยังไม่ได้รับสั่งกับท่าน ท่านอ๋อง จะให้กระหม่อมไปก่อนแล้วท่านค่อยตามมาหรือเปล่า?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ถึงขั้นถอนหายใจ ยิ้มแล้วพูดไปว่า“ในเมื่อองค์ฮองเฮาทรงมีเรื่องจะพบท่านอ๋อง งั้นอีอีก็ไม่รบกวนให้ท่านไปส่ง หม่อมฉันทูลลา” อยากจะสลัดมือกลับมา แต่เหว่ยหมิงไม่ยอมปล่อยมือ แล้วก็พูดต่อหน้ากงกงที่นำรับสั่งมาแจ้ง ทั้งคู่ดึงกันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายนางก็ถูกเหว่ยหมิงลากมาที่หน้ารถม้า “ขึ้นรถ ให้ตงหมิงไปส่งเจ้า แม่ทัพเซี่ยพาเด็กสองคนกลับไปแล้ว ตอนนี้ท่านเสนาเซี่ยก็น่าจะกลับไปแล้วเช่นกัน เหลือเจ้าคนเดียวก็อย่าปฏิเสธอีกเลยนะ” คิดๆดูแล้ว เซี่ยอีอีก็ไม่ได้ปฏิเสธ ขอแค่ไม่ต้องนั่งกับเขาสองคน นางก็ไม่เป็นไร นางสะบัดมือออก แล้วจ้องไปที่เขาด้วยความไม่พอใจ หลังจากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป ณ ตำหนักเฟิ่งหลวน องค์ฮองเฮากำลังยกชาขึ้นดื่ม พรางมองไปที่เหว่ยหมิงที่สีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่เป็นระยะ เป็นเช่นนี้อยู่นานพอควร ในที่สุดนางก็เอ่ยปากหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูท่า ต้นไม้เหล็กของเราจะออกดอกแล้ว ไม่ใช่เพราะยังไม่ถึงฤดู แค่เพราะลมฝนยังไม่มา” คำพูดนี้มันย้ำไปที่กระดูกเลย แต่เหว่ยหมิงไม่คิดที่จะยอมรับ“เสด็จแม่หมายความว่าไง? ลูกไม่เข้าใจ” เมื่อได้ยินดังนั้น ฮองเฮาก็ยิ้มอีกครั้ง นางวางถ้วยชาลง แล้วค่อยๆมองไปที่หน้าของเหว่ยหมิง“ไม่เข้าใจ? เมื่อครู่แม่กลับได้ยินมาว่า อ๋องหยงของเราจูงมือลูกสาวของคนอื่นออกไป แค่ครู่เดียวเท่านั้น ก็มีคนแกล้งโง่ซะแล้วหรอ?” เหว่ยหมิงยิ้มมุมปาก“ข่าวคราวในวังหลวงนี่แพร่ไปเร็วนัก ครู่เดียวเท่านั้น ก็มาเข้าหูเสด็จแม่แล้ว” เห็นเขายอมรับโดยไม่ปฏิเสธแบบนี้ ฮองเฮาก็ยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็เริ่มมีท่าทีร้อนใจขึ้นมา“บอกแม่มาเร็ว เจ้าคิดยังไงกับเด็กคนนั้น? หากว่าเจ้าคิดจริงๆ แม่จะรีบจัดการจับคู่ให้เจ้า” เหว่ยหมิงไม่เข้าใจความหมายที่นางเอ่ยมา ในฐานะคนเป็นแม่เหมือนกัน พระสนมซูเฟยคัดค้านเหว่ยเฉินไม่ให้แต่งงานกับหญิงหม้ายลูกสอง แต่เสด็จแม่ของตัวเองกลับจะจับคู่ให้เขา มันไม่ค่อยปกตินัก เหว่ยหมิงมองไปฮองเฮาด้วยสีหน้าแปลก แล้วถามไปตรงๆว่า“เสด็จแม่ไม่รังเกียจเด็กสองคนนั้นหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วฮองเฮาก็โก่งขึ้น เหมือนจะยิ้ม “ทำไมต้องรังเกียจด้วยล่ะ? เด็กสองคนนั้นน่ารักดีออก ข้าชอบมาก หากเจ้ากับเด็กคนนั้นได้กันจริงๆก็ดี ข้าก็จะได้หลานที่น่ารักมาเลยทีเดียวสองคนจริงไหมล่ะ?” เหว่ยหมิงขมดคิ้วเบาๆ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าแม่ของเขาไม่ค่อยจะจุกจิกเรื่องมากเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวเนื่องถึงสายเลือดของราชวงค์ นางกลับยอมรับได้อย่างปกติ ซึ่งมันแปลกมากจริงๆ “เสด็จแม่คิดว่าเด็กสองคนนั้นน่ารักจริงๆหรอ? หรือว่าเสด็จแม่ทรงไม่ได้ยินข่าวลือนอกวัง?” แม่ของตัวเองเหว่ยหมิงก็พอจะรู้จักนิสัยของนางอยู่พอสมควร เขาไม่เชื่อว่าเรื่องการจับคู่จะไม่มีเบื้องหลังอะไร ฮองเฮาเหมือนรู้ว่าเขาอยากจะถามอะไร แต่นางไม่อยากจะอธิบายให้มันชัดแจ้งมากนัก ลูกใครก็ให้ไปรับกันเอาเอง นางเชื่อว่าลูกชายของนางมีความสามารถมากพอ ฮองเฮายังคงยิ้มเหมือนเดิม “เจ้าก็พูดอยู่ว่าข่าวลือ ในเมื่อเป็นข่าวลือเชื่อได้หรอ? ข่าวลือนอกวังว่าเจ้าเป็นพ่อของเด็กสองคนนั้น หรือว่าคือเรื่องจริงหรือไง? หากเป็นอย่างนั้นจริง ข้าคงไม่ต้องมาเหนื่อยแบบนี้” คำพูดของฮองเฮาทำให้เหว่ยหมิงตอบอะไรไม่ได้ เห็นเขาเงียบไป ฮองเฮาก็ถามกลับไปอีกว่า“เจ้าบอกความจริงแม่มาซิ เจ้าถูกใจเด็กที่ชื่ออีอีนั่นใช่ไหม? ข้าเห็นเหว่ยเฉินก็ดูจะถูกใจนางมากเหมือนกัน หากเจ้าชอบนางจริงๆ อย่ายอมให้เขาแย่งนางไปนะ” แย่งงั้นหรอ? เมื่อได้ยินคำนี้ เหว่ยหมิงอยากจะหัวเราะดังๆออกมา หากให้เสด็จแม่ของเขารู้ว่าเมื่อกี้เซี่ยอีอีทำอะไรไปบ้าง คิดว่านางคงไม่ต้องกังวลแบบนี้แน่ๆ “คำว่าถูกใจของเสด็จแม่ ลูกฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าลูกก็ไม่ได้รังเกียจเซี่ยอีอี เรื่องนี้เสด็จแม่ไม่ต้องทรงกังวลพระทัย หม่อมฉันจัดการเองได้” เซี่ยอีอีก็เหมือนมวป่าตัวหนึ่ง หากไม่ฝึก ใครจะบังคับนางได้? ต่อให้เอาราชโองการมาบังคับนาง ไม่ได้หมายความว่านางจะทำตาม ดังนั้น เรื่องนี้เขาจะต้องลงมือด้วยตัวเอง จะพึ่งคนอื่นไม่ได้เลย “แค่ไม่รังเกียจหรอ?” เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ สีหน้าของฮองเฮาก็นิ่งไป “เจ้าเนี้ยนะ เมื่อไหร่จะสนใจเรื่องของตัวเองบ้าง? หากว่าเจ้าจัดการเรื่องชายๆหญิงๆได้ครึ่งหนึ่งเหมือนตอนจัดการราชกิจจัดการเรื่องทหาร แม่จะต้องมาห่วงแบบนี้ไหม? แม่ว่า เด็กที่ชื่อีอีดีนะ เจ้าใช้ใจให้มากหน่อย อย่าเอาแต่ทำหน้านิ่ง ไปหานางบ่อยๆหน่อย” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็เงียบเหมือนที่เคยทำกับฮองเฮา เขาก้มหน้าดื่มชา ไม่ตอบอะไร ฮองเฮาบ่นเขาอยู่นานถึงยอมปล่อยเขากลับไป หลังจากเหว่ยหมิงเดินออกไปแล้ว ฮองเฮาถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง เหว่ย เฉินมีราชโองการการแต่งงานของอดีตฮ่องเต้ ถึงแม้นางกับพระสนมซูเฟยจะคัดค้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฮ่องเต้อาจจะตอบตกลง อีกอย่างเซี่ยอีอี นางก็เดาความคิดว่าเด็กคนนั้นไม่ออก คำขอแต่งงานของเหว่ยเฉินนางไม่ได้ปฏิเสธ หากนางต้องแต่งไปยังตำหนักขององค์ชายสี่จริงๆ งั้นหลานสองคนของนางก็จะต้องไปเรียกคนอื่นว่าพ่องั้นสิ เรื่องแบบนี้จะให้เกิดขึ้นได้ยังไงกันจริงไหม? ไม่ได้ เรื่องนี้จะปล่อยให้เหว่ยหมิงก่อเรื่องไม่ได้ นางจะต้องจับตาดูอีกสักนิดค่อยจัดการ! “ฮองเฮาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ” “เกิดอะไรขึ้นทำไมหน้าตาตื่นแบบนั้น” มองคนที่วิ่งเข้ามา ฮองเฮาขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความไม่พอใจ “ได้ข่าวมาจากตำหนักเฉียนชิงกงเพคะว่า พระชายาองค์ชายสี่ทรงแท้งแล้วพะยะคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ฮองเฮาก็ชะงักไป แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย “อยู่ดีๆทำไมถึงแท้งได้ล่ะ?” “ทูลฮองเฮา กระหม่อมได้ยินมาว่า เมื่อครู่ที่หอสวี่หลันแก๋อองค์ชายสี่กับพระชายาทนความเปลี่ยวไม่ไหว ก็ ...... ก็เลยร่วมห้องกัน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้อง ก็เลยมีคนวิ่งไปดู ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่อง หมอหลวงแจ้งว่าหมดหนทางช่วยแล้วพะยะคะ” เมื่อเห็นขันทีมาแจ้งดังนั้น ฮองเฮาก็ถอนหายใจเหือกใหญ่ “เหลวไหลจริงๆ ท้องอยู่ก็ไม่รู้จักอยู่เฉยๆกันบ้าง กลางวันแสกๆกลับมาทำเรื่องแบบนี้ ขายหน้าจริงๆ ไป ข้าจะไปดู” ที่ตำหนักเฉียนชิงกง เซี่ยวี่เสวียนเสียงลูกไปร้องไห้จนน้ำตาแทบหมด นางซบอยู่ในอ้อมกอดของนางเฉินซื่อ หลังจากเหว่ยเฉินได้สติก็ไม่พูดอะไรเลยอ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนั้น ที่ถึงแม้เซี่ยวี่เสวียนจะตกเลือดแล้วยังใช้แรงบังคับขืนใจนางจนถึงที่สุดอีก หากหยุดให้เร็วกว่านั้น ก็คงไม่เสียลูกไป เหว่ยเฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะนี่ก็ไม่ใช่ลูกคนแรกของเหว่ยเฉินและก็ไม่ใช่ลูกคนสุดท้ายของเหว่ยเฉิน นางไม่ขาดแคลนหลานแน่ๆ ดังนั้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมาย พระสนมซูเฟยก็แค่ต่อว่าตำหนิเหว่ยเฉินนิดหน่อย คำพูดที่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดใจแบบนั้น มันก็เหมือนกำลังพูดให้นางฟังมากกว่า ฮองเฮาในฐานะผู้นำของวังหลัง ถึงแม้นางจะไม่อยากจะยุ่งเรื่องของเหว่ยเฉินนัก แต่ยังไงเขาก็เรียกนางว่าเสด็จแม่ ในเมื่อเป็นแม่ก็ต้องมีสั่งสอนกันบ้าง เมื่อเห็นเซี่ยวี่เสวียนที่สีหน้าซีดเซียว ฮองเฮาก็ต่อว่าไปว่า“ตัวเองกำลังท้องอยู่ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่ระวังตัวเลย? องค์ชายสี่ไม่รู้จักคิด เจ้าก็ปล่อยเขาทำหรอ ร่างกายเป็นของเจ้า เจ้าไม่รู้สถานการณ์ของตัวเจ้าเองหรือไง?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่เสวียนก็น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง ก็ถูก ร่างกายเป็นของนาง นางก็รู้สถานการณ์ของตัวเองดี แต่จะให้นางทำยังไงล่ะ ปฏิเสธ? แล้วให้เขาไปหาเฉี่ยวเอ๋อแทนงั้นหรอ? “เอาล่ะ อย่าร้องอีกเลย คำพูดของข้าไม่ได้อยากจะทำให้เจ้าต้องเสียใจ เจ้าเพิ่งเสียลูกไปร่างกายอ่อนแออย่าต้องร้องไห้จนล้มป่วยไปอีก พวกเจ้าอายุยังน้อย ลูกยังมีด้วยกันได้อีก ต่อไปก็ระวังกันให้ดีก็แล้วกัน” พูดจบ ฮองเฮาก็หันไปหาเหว่ยเฉิน แล้วส่ายหน้า “เจ้าเนี้ยนะ ก่อเรื่องใหญ่ให้แล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งวังหลวงรู้กันหมด หลังจากนี้ก็หยุดหาเรื่องสักระยะหนึ่ง อยู่บ้านเป็นเพื่อนนาง นางเสียลูกไปเป็นเพราะเจ้า ยังไงนางก็เป็นเมียแต่งของเจ้า ทำไมถึงได้ทำเรื่องไม่คิดแบบนี้!” พูดจบ ก็ไม่ได้อยู่ต่อ เดินกลับออกไปเลย แต่จะว่าไปแล้ว พวกเขาก่อเรื่องแบบนี้มันเหมือนจะทำให้แผนของฮองเฮานั้นสำเร็จ เซี่ยวี่เสวียนแท้งลูก ช่วงนี้ยังไงเหวยเฉินก็คงไม่ไปหาเซี่ยอีอีแน่ๆ ตอนนี้หวังว่าลูกชายของนางจะพยายาม ใช้ช่วงเวลานี้ในการเอาชนะใจนางได้ ------------- ช่วงกลางดึก เหว่ยหมิงนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีพู่ที่เซี่ยอีอีดึงทิ้งเอาไว้ ไม่นานนัก เขาปล่อยวางถ้วยชาแล้วยิ้มเบาๆ แล้วหยิบพู่ที่มีเม็ดหยกอยู่ขึ้นมา “ท่านอ๋อง”ไม่รู้ว่าตงหมิงมาอยู่ที่นอกประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเรียกแล้วก็เดินเข้ามา มองเหว่ยหมิงด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ท่านอ๋อง มีคนบุกเข้ามาในจวนพะยะคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว“บุกเข้ามาก็ไปจับสิ ทำไมต้องมารายงานข้าด้วย?” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ หากเป็นคนทั่วไปแค่จับก็ได้แล้ว แต่ว่าคนที่บุกเข้ามาคราวนี้ ...... ตงหมิงรู้สึกลำบากใจ“แต่ว่าท่านอ๋อง คนที่บุกเข้ามาไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเด็กน้อยสองคนของบ้านตระกูลเซี่ย” เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว เงยหน้ามองไปที่ตงหมิง“พวกเขา?” ตงหมิพยักหน้า“ใช่พะยะคะ เด็กสองคนนั้น กระหม่อมไม่รู้จริงๆว่าควรจัดการยังไงก็เลยสั่งให้คนจับตาดูเอาไว้ แล้วก็เลยมาถามท่านอ๋องก่อนว่าจะให้จับพวกเขาไหม” ดึกขนาดนี้แล้ว เด็กสองคนนั้น จู่ๆก็บุกเข้ามาในจวน คงไม่ใช่เพราะเบื่อจนไม่มีอะไรทำแค่นั้นแน่ๆ เหว่ยหมิงคิดครู่หนึ่ง “พวกเขาเข้ามาทำอะไรบ้าง?” เมื่อพูดถึงลักษณะการเข้ามาของพวกเขา ตงหมิงก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ“พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไร แค่เข้าไปดูตามเรือนต่างๆ ตอนแรกกระหม่อมคิดว่าพวกเขาคงกำลังหาอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่เห็นพวกเขาเข้าห้องไหนสักห้อง เหมือนกำลังหาใครอยู่มากกว่า” นิ้วที่เรียวยาวยื่นไปลูบเม็ดมุก สายตาดูสงสัย “หาคนหรอ?” ............ ภายในซีเซียงเหวี่ยน เซี่ยวี่ซื่อยืนอยู่กลางเรือน ใช้มือโบกแผ่นหยกไปมา “ทหารรักษาการณ์จวนอ๋องน้อยไปไหมเนี้ย ตั้งนานแล้วกลับไม่มีใครเห็นเราเลย” เซี่ยเฉินวี่หันหน้าเล็กๆกลับมา แล้วพูดว่า“ระวังตัวดีๆไว้เป็นดีที่สุด” เซี่ยวี่ซื่อปีนขึ้นไปดูตามประตูเรือนห้องต่างๆ แล้วหันหน้ากลับไป “เป็นไงบ้าง ข้าบอกแล้วไม่มีผู้หญิงหรอก ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยัง?” เมื่อเห็นหน้าที่ได้ใจของเซี่ยวี่ซื่อ เซี่นเฉินวี่ไม่ได้มีสีหน้าท่าทางอะไรแค่เหลือบไปมอง“ที่นี่ไม่ดีไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลย” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่ซื่อก็เดินกลับมาจากประตู แล้วพูดว่า“ได้ งั้นตอนนี้ไปดูกัน” เห็นนางกำลังจะเดินไป เซี่ยเฉินวี่ดึงนางเอาไว้ แล้วก็ขมวดคิ้ว “ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป เราสู้เขาไม่ได้ เกิดถูกจับได้จะทำยังไง?” เซี่ยวี่ซื่อขยับหัวไปมา “ทำไมต้องสู้กันด้วย? เราก็แค่ไปดูเอง” เซี่ยเฉินวี่ไม่ปล่อยมือ ยังคงลากมือนางเอาไว้ เขาพูดว่า“ช่างเถอะ ข้ารับปากเจ้า” “รับปากจริงๆหรอ?” เซี่ยเฉินวี่ถึงแม้จะไม่ค่อยยินยอมนัก แต่ก็ยังคงพยักหน้า“อืม” วันนี้ที่พวกเขาบุกเข้าจวนอ๋องหยงมา ก็เพราะช่วงบ่ายพวกเขาได้ยินเซี่ยอีอีกับเซี่ยหวินเทียนคุยกัน เซี่ยหวินเทียนตำหนิว่าทำไมเซี่ยอีอีถึงไม่ปฏิเสธคำขอแต่งงานของเหว่ยเฉินไป แล้วก็บ่นต่อว่าเหว่ยหมิงอีกด้วย เมื่อทั้งสองได้ยินคำนี้ ในใจก็ต่างคนต่างมีประเมินของตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็ตาม เหว่ยหมิงก็ยังคงเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา ส่วนเหว่ยหมิงก็แค่คนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย พวกเขาไปที่ตำหนักขององค์ชายสี่มาก่อนแล้ว ในตำหนักนั้นมีแต่ผู้หญิงเต็มไปหมด ดังนั้นเซี่ยวี่ซื่อก็เลยเสนอให้มาดูที่ตำหนักอ๋องหยงด้วย ดูสิว่าที่นี่จะเหมือนกับตำหนักองค์ชายสี่ไหมที่เต็มไปด้วยหมู่มวลดอกไม้ ถึงแม้การมาสำรวจที่จวนอ๋องหยงจะเป็นความคิดของเซี่ยวี่ซื่อ แต่นางก็ยืนอยู่ข้างเหว่ยหมิง นางกับเซี่ยเฉินวี่พนันว่าที่นี่ไม่มีผู้หญิง เซี่ยเฉินวี่ไม่เชื่อ นางก็เลยต้องพามาดูเพื่อพิสูจน์ ส่วนคำท้าพนันในครั้งนี้คือ“จะไม่ต่อต้านเหว่ยหมิง แล้วกำจัดเหว่ยเฉินไปก่อน” เมื่อชนะพนัน เซี่ยวี่ซื่อก็ได้ใจมาก ดึงแขนที่เซี่ยเฉินวี่ดึงเอาไว้ออก แล้วก็เดินไป เห็นนางเดินไปเดินมา เซี่ยเฉินวี่ก็รู้สึกแปลกใจ“เจ้าจะไปไหน?” “ไปดูว่าในห้องเขามีผู้หญิงหรือเปล่า” 
已经是最新一章了
加载中