ตอนที่ 38 แค้นนี้ต้องเอาคืน
1/
ตอนที่ 38 แค้นนี้ต้องเอาคืน
ชายาเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าหนี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 38 แค้นนี้ต้องเอาคืน
ตนที่ 38 แค้นนี้ต้องเอาคืน จางฮวายยืดตัวขึ้น หัวเราะไปกับหน้าของเหว่ยหมิงที่เหมือนกับว่ากำลังจะระเบิด “ไม่รู้ว่าเจ้าจะได้ข่าวมาแล้วหรือยัง หลายวันก่อนมีคนจะกระโดดน้ำที่สะพานหลันเยี้ย ได้ยินมาว่าคนที่ช่วยขึ้นมาจากน้ำหมดลมไปแล้ว แต่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง ฝังเข็มให้นาง แล้วนางก็ฟื้นขึ้นมาเลย หลายวันมานี่ข้าไปที่ไหนก็พูดกันแต่เรื่องนี้ ฟังจากลักษณะที่บรรยาย เหมือนจะเป็นเซี่ยอีอี คุณหนูเซี่ยคนนั้นข้าไม่ได้รู้จักอะไรมากมาย เจ้ารู้หรือเปล่า นางรู้เรื่องแพทย์ด้วยหรอ?” เหว่ยหมิงขมวดคิ้วเบาๆ เก็บสายตากลับมา “นางจะรู้เรื่องการแพทย์หรือเปล่าข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้แค่ว่านางไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น นางไปจากเมืองหลวงห้าปี นอกจากชาวใช้คนสนิทคนนั้น คงไม่มีใครรู้จักนางดีแล้ว” แม้แต่เขาก็บอกว่าไม่รู้ ดูเหมือนคนๆนี้จะลึกลับเกินไปแล้ว จางฮวายเห็นใจแล้วตบไปที่ไหล่ของเขา “เป็นภารกิจที่แสนสาหัสและยาวไกล ข้าคิดว่า เส้นทางของเจ้า มันอาจจะไม่โรยด้วยกีบกุหลาบน่ะ” เมื่อเห็นเขาพูดแบบนั้นแล้ว เหว่ยหมิงก็ยิ้ม “ภารกิจหนักหนาจริง แต่ว่าข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ภารกิจครั้งนี้มันจะล้มข้าได้ไหม” ความมั่นใจของเหว่ยหมิงนั้นจางฮวายรู้อยู่แล้ว แต่ว่า สำหรับผู้หญิงที่เขาสนใจเป็นคนแรก มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรอ? “นั่นสินะ เรื่องที่อ๋องหยงตัดสินใจจะทำ มีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้ แต่ว่าข้ากำลังกังวลเรื่องอื่นมากกว่า” “ไหนลองพูดให้ฟังซิ” สำหรับเซี่ยอีอีแล้ว เหว่ยหมิงไม่ได้เชื่อมั่น แต่เป็นการตัดสินใจแน่วแน่ การมีความเชื่อมั่นมันเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเปลี่ยนเป็นการตัดสินใจแน่วแน่ ผู้หญิงคนนี้ชาติหนีคงไม่ต้องคิดไปไหนแล้ว จางฮวายยิ้ม แล้วพูดอย่างจริงจังว่า“เจ้าลืมไปแล้วหรือเปล่า ว่าเซี่ยอีอีถูกเรียกกลับมาเพราะอะไร?” เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว ถูกต้อง เขาลืมไปแล้วจริงๆ บวกกับในช่วงนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้นางหวาดกลัวเลย ส่วนด้านตระกูลเซี่ยก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย ทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย “ทางตระกูลเซี่ยมีความเคลื่อนไหวอะไรงั้นหรอ?” “ความเคลื่อนไหวตอนนี้ยังไม่มี แต่ข้าว่าเรื่องนี้ต้องชิงลงมือก่อนถึงจะดี หากว่าตระกูลเซี่ยกำหนดวันที่จะให้นางไปเฝ้าศพแล้วจริง ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะทำอะไรลำบาก” คำพูดเหล่านี้มีเหตุผล เหว่ยหมิงพยักหน้าเบาๆ เซี่ยอีอีเลือกที่จะกลับมา คิดว่าน่าจะเตรียมตัวมาพร้อมกับการไปเฝ้าศพ หากนางปฏิเสธด้วยตัวเอง เรื่องนี้ก็ยังมีโอกาสพลิกแพลง แต่หากนางยินดีที่จะไปเอง เรื่องนี้คงมีแต่เขาเท่านั้นที่ยังหยุดได้ เหว่ยหมิงยิ้มมุมปาก แล้วพูดว่า“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก” มีแผนเร็วขนาดนี้เลยหรอ จางฮวายถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้ามีแผนแล้วหรอ?” เหว่ยหมิงเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้ม “แน่นอน” จวนตระกูลเซี่ย ร่างอันบอบบางเดินอยู่ในเรือนในของจวน นางเล่นผ้าเช็ดหน้าในมือไปมา ดูเหมือนกำลังเครียด “ท่านพี่เฉียนหลิง ท่านเดินไปมาหลายรอบแล้วนะ ไปนั่งดีกว่า” เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่นั่งมองนางอยู่หน้าประตูอยู่นาน สุดท้ายเซี่ยวี่ซื่อก็ทนไม่ไหวต้องเดินไปหา ท่าทางที่ร้อนใจของหยางเฉียนหลิง หันไปมองเซี่ยวี่ซื่อ ยิ้มแล้วลูบไปที่ศีรษะของนาง “ซื่อเอ๋อเด็กดี ข้าไม่เหนื่อยเลย” “ท่านกำลังเป็นห่วงท่านแม่ใช่หรือเปล่า?” เสียงเย็ยระเยือกของเด็กดังขึ้น กลับจี้ไปถูกความคิดของหยางเฉียนหลิง หยางเฉียนหลิงยิ้มด้วยความข่มขื่น ภายในใจรู้สึกสับสนมาก หากเซี่ยอีอีเกิดเรื่องขึ้นเพราะนาง นางจะต้องรู้สึกผิดต่อเด็กสองคนนี้มากแค่ไหนกัน? เซี่ยวี่ซื่อยื่นมือไปจับมือหยางเฉียนหลิงที่เต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วปลอบไปว่า“ท่านพี่เฉียนหลิงไม่ต้องกังวลไป ท่านแม่ไม่เป็นอะไรหรอก ท่านแม่บอกว่าช่วยท่านได้ ก็จะต้องไม่ให้ท่านต้องผิดหวังแน่ๆ ท่านก็รออย่างวางใจเถอะนะ” เมื่อถูกเด็กน้อยคนหนึ่งปลอบใจ หยางเฉียนหลิงก็ไม่รู้ว่าควรจะวางใจหรือกังวลใจต่อไป เพื่อไม่ให้เด็กน้อยสองคนนี้ต้องเป็นกังวล นางถอนหายใจ แล้วพยักหน้าตอบ ก็จริง ต่อให้นางร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์? คนก็ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้มาเสียใจที่หลังก็ไม่ทันแล้ว ------------ จวนของคนทั่วไป ที่ไม่มีบานประตูใหญ่ ไม่มีป้ายทองต่างๆ มีเพียงป้ายไม้ ที่ด้านบนเขียนอักษรไว้ว่าจวนตระกูลหลิน เกี้ยวมงคลหลังหนึ่ง ที่มีขบวนแห่ราวยี่สิบคน ถึงแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย แต่ก็สะเทือนไปรอบๆ สาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงถูกสาวใช้พยุงออกมาจากจวน แม่สื่อเห็นคนเดินออกมาก็รีบไปพยุง แต่ขณะที่ยื่นมือออกไป กลับถูกสาวใช้ผลักออก “ขอโทษด้วย คุณหนูของเราไม่ชอบให้คนอื่นมาแตะเนื้อต้องตัว” แม่สื่อถึงกลับทำอะไรไม่ถูก แล้วจ้องไปที่เจ้าสาวที่กำลังเดินผ่านไปอย่างไม่พอใจ“ชิ ไม่ชอบให้คนอื่นแตะเนื้อต้องตัว แต่คืนนี้ก็ต้องถูกทำอยู่ดี เสแสร้งจริงๆ” เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสาวก็หยุดเดิน แล้วพูดเบาๆว่า “ตงวี่” “คุณหนู” หลังจากตงวี่ตอบรับ ไม่ต้องให้คนใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงพูดอะไร ก็หันหลังไปที่ขบวนรับเจ้าสาว “พี่ชายท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยคุณหนูของเราไปที่จวนท่านผู้ตรวจการ ไปเป็นนายหรือเป็นบ่าว?” คำถามแบบนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกมึนงง เขามองไปที่เจ้าสาวที่ยืนอยู่หน้าเกี้ยวแล้วพูดว่า“แต่งไปที่จวนท่านผู้ตรวจการก็ต้องเป็นนายสิ แม่นางทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?” ตงวี่ไม่ได้ตอบอะไรเขา แค่พยักหน้า “เป็นนายก็ดี งั้นพี่ชายท่านนี้ ตอนนี้คุณหนูของข้ารู้สึกไม่ค่อยพอใจ คำพูดของแม่สื่อเมื่อครู่ท่านคงได้ยินหมดแล้ว คุณหนูของเรายังไมทันจะเข้าพิธีก็ถูกคนขึ้นเล่นหัวแล้ว หากแต่งเข้าไปแล้ว จะไปเหลืออะไรอีกล่ะจริงไหม?” คำพูดแบบนี้มันตั้งใจจะหาเรื่องชัดๆ หัวหน้าขบวนรับเจ้าสาวก็ไม่ใช่คนโง่ ฟังเข้าใจความหมาย “ความหมายของคุณหนูหยางคือ ......?” ตงวี่ยิ้มมุมปาก แล้วพูดอย่างยโสว่า“ตบหน้าห้าร้อยครั้ง ให้นางตบตัวเอง หากเสียงไม่ดังหรือไม่ครบ คุณหนูของเราจะไม่ขึ้นเกี้ยว แน่นอน พวกเจ้ามีสิทธิจะต่อต้าน ขอแค่ไต้เท้าผู้ตรวจการไม่รังเกียจความอัปมงคล แบกคนตายกลับไปงานของพวกเจ้าก็คงไม่ต่างเท่าไหร่” คนของขบวนรับเจ้าสาวได้ยินดังนั้นก็ซุบซิบกัน คนๆนี้ตกลงขึ้นเกี้ยวแล้ว แต่เพราะเรื่องเล็กๆทำให้เจ้าสาวโกรธ หากถูกไต้เท้าผู้ตรวจการรู้เข้า สุดท้ายคนที่จะถูกลงโทษก็จะต้องเป็นพวกเขาแน่ๆ เมื่อเห็นหัวหน้าขบวนรู้สึกลังเล คนที่อยู่ด้านหลังก็เดินขึ้นหน้ามาเตือนที่ข้างหูของเขา หัวหน้าขบวนพยักหน้า แล้วหันไปมองแม่สื่อ “ลงมือเองเถอะ อย่าให้เราต้องลำบากใจเลย” แม่สื่อยื่นตะลึงตาโต นางไม่คิดเลยว่าคำพูดของนางจะเป็นภัยกับตัวเองขนาดนี้ “ไต้เท้า ข้า ......” รู้ว่านางจะต้องร้องขอความเห็นใจ แต่คนๆนั้นก็ไม่ได้ให้โอกาสนางได้ร้องขอความเห็นใจ “ลงมือเถอะ” แม่สื่อรู้ตัวว่าคงไม่มีกาสพลิกสถานการณ์แล้ว นางยกมือขึ้นมาอย่างสั่นๆ เสียงเพี๊ยะดังขึ้น ฝ่ามือสบัดไปที่หน้า ตงวี่มองไปด้วยสายตาเย็นชา หันไปพูดว่า“โย่ว นี่ตบหรือเกาเนี้ย? พี่ชายท่านนี้ ท่านอย่ามาตบตาคุณหนูของข้านะ” เมื่อได้ยินตงวี่พูดดังนั้น คนๆนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แล้วมองไปที่แม่สื่อแล้วตะคอกว่า“เอาใหม่” เสียงเพี๊ยะๆดังติดต่อกันหลายครั้ง ส่วนน้ำหนักก็แรงพอตัวอยู่ ตบไปแล้วประมาณสิบที หน้าของแม่สื่อก็เริ่มบวมแดงขึ้น คิดไม่ ออกเลยว่าหากตบครบห้าร้อยครั้ง คนๆนั้นยังจะมีชีวิตรอดอีกไหม ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง เจ้าสาวยืนอยู่หน้าเกี้ยวโดยไม่ขยับตัว ไม่รีบร้อนอะไร ไม่แม้แต่ขยับตัว คนในขบวนรับเจ้าสาวทั้งหมดต่างตั้งใจนับการตบอยู่นาน แม่สื่อที่ใบหน้าบวมแดงก็เริ่มหมดแรง มือของนางเริ่มห้อยลงมา แล้วก็เริ่มร้องขอความเห็นใจ “ฮูหยิน ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านเป็นคนมีเมตตาอย่าเอาความกับคนอย่างข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ!” เมื่อได้ยินดังนั้น คนใต้ผ้าคลุมไม่เพียงไม่เมตตา แล้วพูดว่า“ตงวี่ สั่งสอนนางซิ เป็นบ่าวต้องเรียกแทนตัวเองว่าอะไร” “บ่าวรับทราบ บ่าวจะไปสั่งสอนนางเดี๋ยวนี้” หันหน้ามา ตงวี่มองไปที่แม่สื่อแล้วยกคางของนางขึ้นมา มองไปที่นางด้วยความยโส “จวนผู้ตรวจการนี่ไม่มีกฎเกณฑ์เอาซะเลย อยู่ต่อหน้าเจ้านายกลับแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ขอถามหน่อยเถอะ เจ้าแทนตัวเองกับนายทุกคนในตัวเลยหรอ หรือว่าเฉพาะเจาะจงกับคุณหนูของข้า?” “ข้า ......” จริงๆก็ไม่ได้อยากจะหาคำตอบอะไร เมื่อแม่สื่อเอ่ยปาก ตงวี่ก็เบือนหน้านี้ ไม่อยากจะฟัง “ไต้เท้า ตบหน้าห้าร้อยครั้งหากไม่ทำต่อ ฟ้าจะมืดแล้วนะ” เมื่อดูเวลาแล้ว ฤกษ์มงคลมันเลยมาแล้ว ตอนแรกคิดว่าคุณหนูหยางจะมีเมตตายอมปล่อยแม่สื่อไป เพราะยังไงนางก็เป็นหญิงมีความสามารถอันดับหนึ่งใครๆก็รู้ คงไม่เอาชีวิตคในวันมงคลหรอก แต่ใครจะคิดว่านางจะเด็ดขาดขนาดนี้ หัวหน้าขบวนหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง “ไป ตบให้เสร็จ สายมากแล้ว อย่าให้เสียเวลาไปมากกว่านี้” “ขอรับ” มีคนๆหนึ่งก็เดินมาตรงหน้าแม่สื่อ เพี๊ยะๆ ตบไปสองที แม่สื่อทนไม่ไหวล้มลงกองกับพื้น ในตอนนี้เอง ก็มีคนอีกสองคนเดินมาดึงแม่สื่อลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วตบหน้านางต่อไป จนกระทั่งนางสลบไป “ไปกันเถอะ!” เมื่อสิ้นเสียงการตบครั้งที่ห้าร้อย เจ้าสาวก็ยื่อยมือไป โบกให้กับตงวี่ ตงวี่หันหลังแล้วเดินกลับมา พยุงนางขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว คนในขบวนรับเจ้าสาวยืนตะลึงไป พวกเขาจ้องแล้วนับยังมีคลาดเคลื่อน แต่ว่านางที่ดูเหมือนยืนไม่ได้ใส่ใจ แต่กลับนับโดยไม่ขาดไม่เกิน เจ้านายคนใหม่ยังไม่ทันได้แต่งเข้าจวน ก็แสดงบารมีให้พวกเขาเห็นขนาดนี้ ต่อไปคงต้องหลบให้ดี “ขึ้นเกี้ยว บรรเลง” เสียงมโหรีดังขึ้น เกี้ยวเจ้าสาวถูกหามแล้วค่อยๆเดินไป ทิ้งแม่สื่อที่เกือบตายเอาไว้ที่เดิม แล้วก็ทิ้งภาพจำที่ครื้นเครงเอาไว้อีกด้วย ............. รับอนุเข้าจวน ไม่จำเป็นต้องเข้าพิธีรีตองอะไรมากมาย อีกทั้งเหลียงอวี้สื่อก็อายุมากแล้วด้วย ไม่มีผู้อาวุโสอีกแล้ว แม้แต่หลานตัวเองก็วิ่งกันเต็มจวนไปหมด หากจะต้องทำพิธีกันอีก เกรงว่าสภาพมันจะดูไม่ดีเอามากๆ! เพราะเรื่องของแม่สื่อ เกี้ยวเจ้าสาวมาช้ากว่าฤกษ์มงคลไปราวหนึ่งชั่วยาม เหลียงอวี้สื่อคิดว่าวันนี้คงไม่ได้เห็นคนที่มีชีวิตแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเห็นเจ้าสาวเดินลงมาจากเกี้ยวตัวเป็นๆ เขาดีใจมาก รีบไปกินเหล้าฉลองกับแขกที่มาร่วมงาน ภายในห้อง หลังจากตงวี่แน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ก็ปิดประตูแล้วพูดเบาๆว่า“คุณหนู คนไปกันหมดแล้ว” คนที่นั่งตัวตรงอยู่ริมเตียง ร่างก็อ่อนยวบลง “สวรรค์ เหนื่อยจะตายแล้วเนี้ย” เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ ตงวี่ก็เดินยิ้มเข้ามาแล้วพูดว่า“ถ้าคุณหนูเหนื่อยก็หลับก่อนได้นะ คิดว่าเจ้าเฒ่าลามกน่าจะไม่น่ากลับมาในตอนนี้” เซี่ยอีอีดึงผ้าคลุมหน้าออก ยิ้มแล้วมองไปที่ตงวี่ “คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่ขี้แงเมื่อก่อนตอนนี้จะรู้จักรังแกคนอื่นด้วย” “ก็เรียนรู้จากคุณหนูมาไม่ใช่หรือไง หลายปีมาเนี้ย ข้าฝึกได้ไม่เท่ากับคุณหนู แต่อย่างน้อยก็ได้มานิดๆหน่อยๆอยู่นะ” แต่ก่อนมักถูกคนรังแก ตอนนี้ถึงคราวนางรังแกคนอื่นคืนได้ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรก แต่นางก็ไม่กลัว แถมทำได้ดีด้วย “อืม ไม่เลวนิ น่าสนใจ ดูท่าต่อไปจะต้องหาเหยื่อมาให้เจ้าลองฝีมืออีก” เมื่อได้ยินดังนั้น ตงวี่ก็ยิ่งได้ใจ “ตอนนี้บ่าวเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงได้ชอบรังแกคนอื่นนัก ที่แท้มันรู้สึกสะใจแบบนี้นี่เอง” เซี่ยอีอีลุกขึ้นมาอย่างขี้เกียจ พิงไปที่หัวนอน ยกมือมาดึงผ้าคลุมหน้าโยนทิ้งไปข้างๆ “ข้าไม่ได้รังแกใครสักหน่อย มีแค้นก็ต้องแก้ บุญคุณความแค้นแยกกันชัดเจน” คนไม่ทำอะไรข้า ข้าก็จะไม่ทำอะไร เซี่ยอีอีไม่เคยหาเรื่องใครก่อน นี่คือเรื่องจริง สายมากแล้ว เซี่ยอีอีงีบไปครู่ใหญ่ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าก็มืดแล้ว เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น หลังจากนั้นเหลียงอวี้สื่อที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสุราเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนที่คลุมผ้าแดงนั่งตัวตรงอยู่ริมเตียง เหลียงอวี้สื่อก็ยิ้มอย่างร้ายๆ “คุณหนู บ่าวขอตัวก่อน” ตงวี่มองไปที่เจ้าสาว หันหลังกลับแล้วเดินไป ขณะที่กำลังปิดประตูก็ยิ้มเบาๆ ตงวี่เฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่มีท่าทีที่จะออกไป นางมองไปรอบๆ เหมือนกำลังจ้องมองใคร ทันใดนั้นเอง ภายในห้องก็มีเสียงกรี๊ดร้องดังมากออกมา ถึงแม้เสียงจะดังแค่ชั่วครู่เท่านั้น แต่ก็ดึงดูดให้คนเฝ้าประตูสองคนวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่ามีคนมา ตงวี่ก็รีบขวางพวกเขาไว้ นางแกล้งทำเป็นเขินอาย “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านคงไม่คิดจะบุกเข้าไปใช่ไหม?” เมื่อเห็นตงวี่เขินอาย ทั้งสองคนก็มองหน้ากันเหมือนจะเข้าใจความหมายที่ตงวี่จะสื่อ “เมื่อกี้นี่เสียงนายท่านร้องใช่ไหม?” ตงวี่จ้องไปที่คนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย แล้วพูดอย่างเขินๆว่า“คนรู้สึกสบายจะร้องไม่ได้เลยหรอ? พี่ชายทั้งสองก็เป็นผู้ชาย คงเข้าใจอะไรมากกว่าสาวใช้อย่างข้าจริงไหม?” เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนก็ยิ้มแบบเขินอายแล้วพูดว่า“เอ่อ ก็จริง เหอะเหอะ งั้นแม่นางก็เฝ้าให้ดีนะ เราไม่เข้าไปแล้ว หากมีอะไรก็เรียกพวกเราได้เลยนะ” ตงวี่พยักหน้า เห็นทั้งสองเดินไปแล้ว นางก็เบะปากมองไปอย่างรังเกียจ เพิ่งจะหันกลับมา ก็เห็นเซี่ยอีอีเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดดำเดินออกมาจากห้อง นางรีบหันไปดู เกรงว่าสองคนเมื่อกี้จะย้อนกลับมา “คุณหนู เราไปกันได้แล้วหรอ?” เซี่ยอีอีพยักหน้า “อืม แต่ว่าเจ้าต้องออกทางประตูใหญ่ ก็บอกไปว่าบ่าวไพร่ที่บ้านมีน้อยข้าไม่สบายใจ ก็เลยให้เจ้ากลับไปรับใช้ท่านพ่อท่านแม่ของข้า คืนนี้เจ้ากลับไปที่บ้านตระกูลหยางก่อน ระวังตัวให้ดีล่ะ” “ทราบแล้วคุณหนู ท่านก็ระวังตัวด้วย” พูดจบ ทั้งสองก็แยกกันไปคนล่ะทาง ช่วงกลางวันสายโง ในห้องหอก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สาวใช้ได้รับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่ของท่านผู้ตรวจการให้มาเรียกที่ห้อง แต่เรียกอยู่นานก็ไม่มีใครตอบ สาวใช้กลัวว่าจะรบกวนคนที่อยู่ข้างใน ก็เลยไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป นางเอาหูแนบฟังไปที่ประตู กลับได้ยินเสียงร้องโอดโอยอยู่ในห้องเบาๆ นางรู้สึกแปลกๆ นางเคาะประตูเรียกอีกครั้ง “นายท่าน ใกล้เที่ยงแล้ว ฮูหยินให้บ่าวมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮูหยินคนใหม่” ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ แต่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น สาวใช้พูดด้วยความลำบากใจอีกครั้ง“นายท่าน บ่าวเข้าไปได้ไหม?” เสียงโอดโอยนั้นมันดูรุนแรงขึ้น สาวใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิดๆแล้ว รู้สึกว่าแบบนี้ไม่มีคำตอบกลับไป ก็เลยรวบรวมความกล้าผลักประตูเข้าไป
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 38 แค้นนี้ต้องเอาคืน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A