ตอนที่ 41 ปากไม่ตรงกับใจ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 41 ปากไม่ตรงกับใจ
ต๭นที่ 41 ปากไม่ตรงกับใจ “ท่านหญิงหยงเห๋อเชิญ” เซี่ยีอีอีหยุดเดิน แล้วหันไปมองจางฮวาย “เจ้าว่าอะไรนะ?” จางฮวายมองเซี่ยอีอีแบบตะลึงๆ ไม่รู้ว่านางหมายความว่ายังไง เซี่ยอีอีรับทราบเรื่องการสถาปนาฐานันดรท่านหญิงหยงเห๋อไม่ถึงสองชั่วโมง แล้วนี่ก็เป็นพระราชเสาวนีย์ไม่ใช่พระราชโองการ ต่อให้เขาไปร่วมประชุมเช้าในวังหลวงมา เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นประเด็นให้พูดคุยกัน แต่เมื่อกี้เขากลับเรียกนางว่าท่านหญิง เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน? เมื่อเห็นหน้าจางฮวายดูมึนๆงงๆ เซี่ยอีอีก็ขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองเหว่ยหมิง “เจ้าเองหรอ?” เหว่ยหมิงเหมือนรู้ว่านางกำลังหมายถึงอะไร ก็เลยลุกขึ้นแล้วเดินไปถามใกล้ๆว่า“เจ้าหมายถึงเรื่องการแต่งตั้งเจ้าเป็นท่านหญิงน่ะหรอ?” เขาถามมาแบบนี้ แสดงว่าเรื่องนี้เขาเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ? “ทำไม?” สีหน้าของเซี่ยอีอีจริงจัง เหมือนต้องการจะถามให้รู้เรื่อง อยู่ดีๆก็ให้ตำแหน่งท่านหญิงกับนาง นางคิดไม่ออกจริงๆว่าเป็นเพราะอะไร เหว่ยหมิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า“ก็ไม่ทำไม เป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่ หากเจ้าอยากรู้เหตุผล ก็เข้าวังไปถามท่านเองสิ” การให้ตำแหน่งท่านหญิงกับนางก็เพื่อไม่ให้นางไปเฝ้าศพ แต่เหว่ยหมิงไม่ได้พูดความจริง เพราะเขาไม่รู้ว่าหากพูดความจริงกับนางไปแล้ว นางจะประชดประชันเขาโดยการเก็บข้าวของแล้วขึ้นเขาไปไหม นางมักจะทำกับเขาแบบนี้บ่อยๆ แต่นิสัยแบบนี้ก็เป็นแค่กับเขาคนเดียว ในเมื่อเป็นแบบนี้ สู้เขาโยนทุกอย่างไปที่แม่ของเขาดีกว่า เพราะนางดูเชื่องเหมือนแกะน้อยเวลาอยู่กับเสด็จแม่ คำพูดของเหว่ยหมิงเซี่ยอีอีเลือกที่จะไม่เชื่อ นางคิดว่า นางไม่มีสร้างผลงานอะไรเลย จู่ๆก็ได้ตำแหน่งท่านหญิงมา ยังไงก็ต้องเป็นฝีมือของเขาแน่ๆ ถึงแม้จะไม่รู้เป้าหมายของเขา แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดี แต่ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เขาไม่พูดก็ช่างเขา ดีกว่ารู้ความจริงแล้วยังต้องมานั่งหงุดหงิดอีก เมื่อเห็นคนๆนั้นจากไปด้วยความโกรธ จางฮวายก็ถามด้วยความแปลกใจ“ทำไมเจ้าไม่บอกความจริงกับนางล่ะ?” เหว่ยหมิงยังคงมองไปยังประตูที่ไร้เงาคนๆนั้นแล้ว “นิสัยของนาง ใครจะรู้ว่าพูดความจริงไปแล้ว จะมีผลยังไง” ได้ยินดังนั้น จางฮวายก็ยิ้ม “หึ สหาย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เห็นเจ้าคิดแทนคนอื่น แต่ว่าข้ารู้สึกว่ามีบางเรื่องข้าต้องบอกเจ้า” ปกติแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่จางฮวายพูดว่ามี ‘เรื่อง’ เรื่องนั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก เหว่ยหมิงมองไปที่เขา แล้วรอเขาพูดต่อ “เรื่องแรก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นคนฝึกทหารองครักษ์หลวง ต่อไปข้าก็จะไม่มีเวลาอยู่เที่ยวเล่นกับเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ เห็นสายตาของเหว่ยหมิงค่อยๆเปลี่ยนไปไปแบบมีเลศนัย หลังจากนั้น ก็หันตัวกลับไป คิดว่าเขาจะมีเรื่องสำคัญอะไรสักอีก ประเมินเขาสูงเกินไป เห็นเหว่ยหมิงไม่ค่อยสนใจ จางฮวายก็รีบเดินตามเขามาที่โต๊ะ “นี่ เจ้าอย่าทำหน้าแบบนี้ได้ไหม ข้าไม่อยู่เจ้าไม่เหงาเลยหรอ เจ้าก็จะขาดคนส่งข่าวคนหนึ่งเลยนะ ต่อไปใครจะเอาข่าวของท่านหญิงองค์ใหม่มาให้เจ้าล่ะจริงไหม?” “ไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก ข้าหาคนไปตามนางเองได้ เจ้ารีบบอกเรื่องที่สองของเจ้ามาเถอะ!” เขาไม่อยู่ เหว่ยหมิงกลับรู้สึกว่าจะสบายหูขึ้นเยอะ แทบจะไม่รู้สึกเสียดาย “เจ้ารู้ได้ไงว่าข้ามีเรื่องที่สองอีก?” จางฮวายถามด้วยความแปลกใจ เหว่ยหมิงได้ยินดังนั้น ก็จ้องไป เห็นขจางฮวายกำลังหดคออยู่ “เรื่องที่สองก็คือจางชิงเอ๋อ กำลังจะกลับมาแล้ว เจ้าจัดการเองก็แล้วกันนะ!” เอาล่ะ เหว่ยหมิงยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ยุ่งยากจริงๆ แต่ว่าต่อให้นางกลับมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง “นางเป็นน้องสาวของเจ้า จากเมืองหลวงไปตั้งหลายปี ก็สมควรแล้วที่จะต้องกลับมา” เห็นเขานิ่งๆ จางฮวายก็เบะปาก “ใช่ซิ นางควรจะกลับมาได้แล้ว ถ้ายังไม่ให้กลับมากลัวว่านางจะบ้าตายแน่ๆ” ------------ หน้าประตูเมือง ถึงแม้จะมีคนเก็บศพของเหลียงเหวินถิงกับเจ้าสิ่งนั้นไปแล้ว แต่เสาเข็มไม้ที่ทิ่มอยู่กำแพงเมืองทั้งสามอันยังอยู่ ทำให้คนรู้สึกหดหู่ เซี่ยอีอียืนดูเสาเข็มไม้นั้นอยู่นาน ตอนแรกนางแค่ใช้ก้านไม้ไผ่ปักเข้าไปที่กำแพงเพื่อจะแขวนเจ้านั้นเท่านั้น ทำให้คนหยิบไม่ถึง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเองก็จะเลียนแบบวิธีของนางเช่นกัน เสาเข็มไม้ทั้งสามต้องเสียเวลาและแรงมากในการตอกเขาไปในกำแพง ตอนนี้ก้านไม้ไผ่ของนางถูกคนถอนออกไปแล้ว แต่เสาเข็มไม้ยังอยู่ จากที่ดูแล้ว คงไม่มีใครสามารถดึงมันออกมาได้แน่ๆ “บ้าที่สุด” เซี่ยอีอีด่าเบาๆ แล้วก็เดินจากไป ...... ณ จวนตระกูลเซี่ย “คำนับท่านหญิงหยงเห๋อ” เห็นคนสองคนคุกเข่าอยู่ด้านหน้า เซี่ยอีอีรู้ทันทีว่าพวกเขาน่าจะเห็นหนังสือแต่งตั้งแล้ว นางไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้บอกให้พวกนางลุกขึ้นด้วย ครู่ใหญ่ ทั้งสองไม่เห็นว่าจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ “มองอะไร คิดจะคุกเข่าจนถึงเช้าเลยหรือไง?” เซี่ยอีอีพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก จริงๆก็เป็นเพราะนางได้ตำแหน่งท่านหญิงมา อย่างกระทันหัน ตัวนางเองยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเป็นท่านหญิงมาก่อนเลย แต่สองคนนี้กลับจะมาร่วมวงสนุกด้วยซะอย่างนั้น เซี่ยอีอีมองบน หันหลังแล้วเดินไปที่ใต้ต้นไม้ นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หยางเฉียนหลิงลุกขึ้นแล้วเดินไปถาม“เมื่อกี้เจ้าไปไหนมา เดินรีบร้อนออกไปอย่างนั้น?” เซี่ยอีอีเอนตัวไปที่เปล แล้วพูดว่า“ไปจวนอ๋องหยงมา แล้วก็ไปที่ประตูเมือง” “จวนท่านอ๋องหยง?” เมื่อได้ยินดังนั้น หยางเฉียนหลิงก็ตกใจ เมื่อกี้นางรีบร้อนออกไป เพื่อไปจวนอ๋องหยง แต่ว่านางไปที่จวนอ๋องหยงทำไม? แต่จากที่ฟังจากน้ำเสียง เซี่ยอีอีก็รู้ว่านางรู้สึกแปลกใจ นางยิ้มแล้พูดว่า“หากข้าบอกเจ้าว่าเจ้าเฒ่าลามกนั่นเหว่ยหมิงเป็นคนฆ่า เจ้าจะเชื่อไหม?” หลายวันมานี่ เซี่ยอีอีมีอะไรก็พูดกับหยางเฉียนหลิงหมด ถึงแม้หยางเฉียนหลิงจะดูนุ่มนิ่ม แต่ก็ไม่ใช่คนนิสัยอ่อนแอ เซี่ยอีอีพูดกับคนอื่นน้อยมาก แต่ไม่รู้ทำไม กับหยางเฉียนหลิงนางกับรู้สึกสบายใจ เมื่อได้ยินเซี่ยอีอีพูดดังนี้ ความตกใจของหยางเฉียนหลิงเมื่อครู่ก็หายไปหมด นางนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นนางก็ลองถามกลับไปว่า“เจ้าสนิทกับท่านอ๋องหยงหรอ?” สนิท? เซี่ยอีอีไม่รู้ควรตอบยังไง หากบอกไม่สนิท พวกเขาก็มีลูกด้วยกันแล้ว หากบอกว่าสนิท พวกเขาก็ไม่ได้สนิขนาดนั้น น้อยครั้งมากที่นางจะตอบกลับมาด้วยความเงียบ หยางเฉียนหลิงเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง นางเข้ามานั่งใกล้ๆเซี่ยอีอี แล้วถามด้วยความจริงจังว่า“ท่านอ๋องหยงชอบเจ้าใช่ไหม?” เซี่ยอีอีตกใจ รีบสบัดมือนางออก แล้วรีบพูดว่า“อย่าพูดเหลวไหล ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย” ร้อนตัวขนาดนี้ ยังบอกว่านางพูดเหลวไหลอีก? หยางเฉียนหลิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เหลวไหลหรอ? ข้าทำอย่างนั้นหรอ? จริงๆในวังวันนั้นข้าเห็นสายตาของท่านอ๋องหยงที่มองเจ้ามันไม่ปกตินะ ตอนนั้นข้ายังคิดเลย ทำไมเขาถึงได้จ้องไปที่เจ้าแบบนั้น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ข้างนอกมีข่าวลือว่าซื่อเอ๋อกับวี่เอ๋อเป็นลูกของท่านอ๋องหยง ข้าว่า พวกเขาก็ดูเหมือนอยู่ เจ้าว่ามันเป็นบุพเพวาสนาไหม?” เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เซี่ยอีอีรู้สึกแค่ว่าน้ำเข้าสมอง บุพเพหรอ บุพเพบ้าอะไรกัน! “จริงๆท่านอ๋องหยงก็เป็นคนนิสัยดี นอกจากว่าจะเย็นชาไปหน่อยนอกนั้นก็ไม่มีข้อเสียอะไรอีก แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องฆ่าผู้ตรวจการเหลียงด้วย พวกเขามีความแค้นอะไรต่อกันหรอ? หรือว่า ......” เขาพูดไปครึ่งหนึ่ง หยางเฉียนหลิงเหมือนจะคิดอะไรออกมา นางมองไปที่เซี่ยอีอี พูดด้วยความตกใจว่า“หรือว่า เขารู้เรื่องแล้ว?” พูดมาตั้งนาน กว่าจะเข้าประเด็น เซี่ยอีอีถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก พยักหน้าเบาๆ ทันใดนั้นนางก็อดที่จะหัวเราะออกมา เซี่ยอีอีมองไปที่นางด้วยความไม่พอใจ “เจ้าหัวเราะอะไร?” หยางเฉียนหลิงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่า คนเย็นชาอย่างท่านอ๋องหยง กลับปกป้องคนๆหนึ่งได้ขนาดนี้ ไม่ค่อยอยากจะช่วยสักหน่อย” “ปกป้อง? เจ้าไม่รู้สึกหรอว่าเขากำลังจะทำให้ข้าเดือดร้อน? ฆ่าขุนนางราชสำนัก เกิดเรื่องนี้แพร่ออกไป เขาเป็นท่านอ๋อง ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องเขา แต่ว่าข้าล่ะ เขาตั้งใจจะกดดันให้ข้าลำบาก” พูดมาถึงตรงนี้เซี่ยอีอีก็ของขึ้น นางรู้อยู่แล้วว่าวิธีการแก้ปัญหาของเขาเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้นางพูดอะไรจะปล่อยเขาไปทำไม่ได้ มันบ้ามากๆ! “ทำให้เจ้าลำบากหรอ?” หยางเฉียนหลิงไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของนาง “ก็ถูก ที่ว่าเขาเป็นท่านอ๋อง แต่ว่าเจ้าลืมไปหรือเปล่า ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นถึงท่านหญิง จากฐานันดรศักดิ์ของเจ้าในตอนนี้ใครจะกล้าทำอะไรเจ้า? อีกอย่าง ในเมื่อท่านอ๋องกล้าทำเรื่องอย่างนี้เพราะเจ้า เขาก็ต้องปกป้องเจ้าจนถึงที่สุดอยู่แล้ว ไม่มีทางให้เจ้าต้องเป็นอันตรายหรอก” คำพูดของหยางเฉียนหลิงทำให้เซี่ยอีอีพูดไม่ออก ก็จริงอย่างที่นางว่า ในเมื่อเขากล้าทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีทางทำให้นางเดือดร้อนเด็ดขาด ตอนนี้นางเองก็ไม่ได้จะต่อว่าอะไร แต่แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ มันเป็นความรู้สึกหงุดหงิดใจ เห็นนางไม่พูดไม่จาตอบ หยางเฉียนหลิงก็ตบมือนางเบาๆ “เจ้าล่ะ บอกข้ามาสิว่าเจ้ารู้สึกยังไง?” เซี่ยอีอีอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็บ่นๆว่า“รู้สึกอะไร?” “ก็รู้สึกยังไงกับท่านอ๋องหยง ยังมี รู้สึกยังไงที่เขามาชอบเจ้า!” ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น เซี่ยอีอีมองไปที่นาง แล้วก็เอนตัวลงกับเปล แล้วมองไปที่ท้องฟ้าพักใหญ่ แล้วนางก็พูดขึ้นมาว่า“นอกจากเกลียด ก็ไม่มีความรู้สึกอื่น” หยางเฉียนหลิงเบะปาก นางยังคงเชื่อในความคิดของตัวเองครึ่งหนึ่ง เกลียดหรอ มันก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนที่ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ ใครเขาจะเสียเวลาไปเกลียดกันล่ะ? ยิ่งนางเป็นคนที่ไม่ได้สนใจใครด้วยแล้ว ............ หลังอาหารค่ำ เซี่ยอีอีบอกเรื่องที่เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ต้องเข้าวัง ที่แปลกก็คือ เด็กสองคนตอบรับโดนไม่คิดเลย ผลลัพธ์ที่ได้มาทำให้เซี่ยอีอีรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว ในเมื่อการเข้าวังเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ พวกเขารับปากตกลงก็ดีแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเด็กแสบสองคนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่นางก็ไม่ได้คิดจะไปยุ่งกับพวกเขามาก เพราะมันก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน คนอื่นโชคร้ายก็ต้องดูว่าเพราะอะไรกัน เซี่ยอีอีดึงเซี่ยวเฉินวี่เข้ามา แล้วจับไปที่ข้อมือเล็กๆของเขา หลังจากนั้นก็ยิ้ม “ถือว่าปกติ วันนี้ไม่ต้องฝังเข็ม กลับไปแช่อาบยาสมุนไพรแล้วรีบพักผ่อนซะ พรุ่งนี้เข้าวังห้ามก่อเรื่องให้มาก รู้ไหม?” เซี่ยเฉินวี่พยักหน้า “รู้แล้ว ท่านแม่เองก็รีบพักผ่อนด้วย ข้ากับซื่อเอ๋อกลับห้องก่อน” “ไปเถอะ” เห็นเด็กน้อยสองคนออกไปด้วยความตื่นเต้น เซี่ยอีอีก็เริ่มสงสัย ปกติเด็กสองคนนี้ติดนางจะตายไป ทุกคืนต้องกล่อมกันอยู่นานกว่าจะยอมไป แต่วันนี้กลับดึงเซี่ยเฉินวี่กลับไปเองเลย ถ้าบอกว่าพวกเขาไม่มีแผนการร้ายอะไร ผีก็คงไม่เชื่อ วันต่อมา ณ ตำหนักเฟิ่งหลวน “เสี่ยวอิ่นจื่อ เด็กสองคนนั้นมาแล้วหรือยัง?” หลังจากงานเลี้ยงในวันนั้น ฮ่องเฮาก็คิดถึงเด็กสองคนนั้นตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเรียกตัวพวกเขาเข้าวัง ประจวบเหมาะกับที่เหว่ยหมิงหาทางให้สามแม่ลูกอยู่ในเมืองหลวงต่อไป นางจึงได้สนองความต้องการของตัวเอง “ทูลฮ่องเฮา ให้คนไปรับเข้ามาแล้วพะยะค่ะ คิดว่าตอนนี้น่าจะเรียนอยู่!” ได้ยินดังนั้น ฮ่องเฮาก็พยักหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เด็กสองคนนั้นยังเด็กมาก ไม่รู้ว่าจะคุ้นเคยหรือเปล่า ไป พาข้าไปดู ไม่ได้เจอพวกเขาตั้งหลายวันไม่รู้โตแค่ไหนแล้ว” ในช่วงนี้ฮ่องเฮาจะพูดถึงเด็กสองคนนี้ตลอดเวลาทุกวัน หยูอี้ชินซะแล้ว นางเดินไปพยุงฮ่องเฮา ยิ้มแล้วพูดว่า“เด็กสองคนนั้นก็เข้าวังมาแล้ว หากไม่งั้น พระนางคงต้องคิดถึงจนล้มป่วยแน่ๆ” ฮ่องเฮาลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม ถูกต้อง หากนางไม่ได้พบเด็กสองคนนี้ สงสัยคงได้ออกจากวังหลวงไปเอง แต่ว่ายังดีที่ลูกชายตัวดีของนางยังรู้จักคิดหาวิธีรั้งตัวผู้หญิงไว้ ไม่ต้องให้นางต้องคิดถึงหลานมากนัก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เด็กสองคนนี้ถึงจะเรียกนางว่าเสด็จย่า ............ นอกห้องเรียน ฮ่องเฮาสั่งไม่ให้ใครไปแจ้ง นางเดินมาที่ริมหน้าต่าง แต่ไม่เห็นเด็กน้อยชุดม่วงเลย “เสี่ยวอิ่นจื่อ เด็กสองคนนั้นล่ะ?” เมื่อได้ยินดังนั้น อิ่นกงกงก็เดินเข้าไปดู พอมองเข้าไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กสองคนนั้นจริงๆ เขายื่นหัวออกไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็รีบพูดว่า“ทูลฮ่องเฮา เมื่อครู่กระหม่อมมาส่งพวกเขาเองกับมือ กระหม่อมเห็นพวกเขาเดินเข้าไปก่อนถึงได้กลับไป แต่ แต่ตอนนี้ เด็กๆหายไปแล้ว” หายไป? ฮ่องเฮาเดินอ้อมตัวอิ่นกงกงเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นฮ่องเฮาจู่ๆก็เสด็จมา ทุกคนก็ตกใจ จากนั้นก็รีบทำความเคารพ ฮ่องเฮาไม่พูดให้ลุกขึ้น ก็รีบถามก่อนว่า“เด็กตระกูลเซี่ยสองคนนั้นล่ะ?” เมื่อได้ยินดังนั้น ไต้เท้าที่ดูแลการสอนก็รีบร้อนตอบว่า “ฮ่องเฮาทรงหมายถึงเด็กแฝดสองพี่น้องใช่ไหมพะยะค่ะ?” “ถูกต้อง พวกเขานั่นแหละ” “ทูลฮ่องเฮา กระหม่อมกำลังคิดว่าจะไปบอกท่านเรื่องนี้อยู่พอดี เมื่อวานท่านส่งคนมาแจ้งว่าเด็กสองคนวันนี้จะมาเรียน แต่จนถึงตอนนี้ กระหม่อมยังไม่เห็นพวกเขาเลย กระหม่อมกำลังเตรียมจะไปถามพระนางอยู่ว่า วันนี้เด็กสองคนนั้นไม่ได้เข้าวังมาหรอ” ไม่เห็นคน? เมื่อได้ยินดังนั้น ฮ่องเฮาก็ร้อนใจขึ้นมามาก สีหน้าของนางเปลี่ยนสีแล้วหันไปสั่งว่า“เสี่ยวอิ่นจื่อ เจ้าพาคนไปไหนแล้ว?” เมื่อเห็นฮ่องเฮาพิโรธ อิ่นกงกงก็รีบคุกเข่าลง “ฮ่องเฮาอย่าทรงกริ้ว กระหม่อมพาพวกเขามาส่งที่นี่จริงๆพะยะค่ะ แต่ทำไมตอนนี้ไม่เห็น กระหม่อมไม่รู้จริงๆพะยะค่ะ!” หยูอี้เห็นฮ่องเฮาโกรธจนตัวสั่น ก็รีบขึ้นมาพยุง นางหันไปมองอิ่นกงกงแล้วพูดว่า“แล้วคุกเข่าอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปตามหา ถ้าหาไม่เจอ ระวังหัวของเจ้าด้วย”
已经是最新一章了
加载中