ตอนที่ 42ทหารหลวงแข่งกัน
1/
ตอนที่ 42ทหารหลวงแข่งกัน
ชายาเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าหนี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 42ทหารหลวงแข่งกัน
ตนที่ 42ทหารหลวงแข่งกัน ณ จวนตระกูลเซี่ย เด็กแสบสองคนไม่อยู่บ้าน เซี่ยอีอีอยู่บ้านรู้สึกเบื่ออยากออกไปเดินเล่น เมื่อเดินออกนอกประตูใหญ่ ก็เห็น ‘แขกสูงศักดิ์’ ที่ไม่ได้พบกันเสียนาน “อีอี เจ้ากำลังจะไปไหนหรอ?” เหว่ยเฉินกำลังลงจากมรถม้าก็ได้พบกับคนที่เขาเฝ้านึกถึงอยู่ตลอดเวลา ในสายตาของเขานี่มันเป็นพรหมลิขิต “เอ่อ ...... ไม่ได้จะไปไหน แค่อยากจะออกไปเดินเล่นน่ะ เจ้ามาได้ยังไง ท่านพี่ดีขึ้นแล้วหรอ?” นานมากแล้ว เซี่ยอีอีแทบจะลืมไปแล้วว่ามีคนอย่างเขาด้วย ก็เลยลืมที่จะแสดงท่าทีใกล้ชิดไป การที่เซี่ยวี่เสวียนแท้งลูกสำหรับเหว่ยเฉินไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างหลายวันมานี้นางเอาแต่ร้องอยากจะตาย ทำให้เขาหงุดหงิดมาก “ร่างกายของนางแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก ทำให้เจ้าเป็นห่วงขอโทษด้วย จริงสิ เจ้ากำลังจะไปเดินเล่นที่ไหนล่ะ ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม?” ให้เขาไปเป็นเพื่อน? นางคงไม่มีอารมณ์จะเดินเล่นต่อแล้วมั้ง? เซี่ยอีอีกำลังเครียดเรื่องหาข้ออ้างหนี ก็เห็นรถม้าอีกคันหนึ่งมาจอดที่หน้าจวน “องค์ชายสี่ กระหม่อมหาท่านแทบแย่” คนที่มาสวมชุดขันที ก็น่าจะมาจากในวัง “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?” นี่เป็นขันทีคนสนิทของพระสนมซูเฟย เหว่ยเฉินจำได้อยู่แล้ว แต่ว่า เขามาที่นี่ได้ยังไง? ขันทีคนนั้นสีหน้าร้อนรนแล้วพูดว่า“องค์ชายท่านรีบเข้าวังไปกับกระหม่อมเถอะ พระสนมทรงเป็นอะไรก็ไม่รู้จู่ๆก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด หมอหลวงไปตรวจแล้ว ก็ไม่มีวิธีรักษาเลย หมอหลวงบอกว่าหากพระนางยังหัวเราะต่อไปแบบนี้อีก เกรงว่าจะมีอันตรายต่อพระชนย์ชีพ!” เมื่อได้ยินว่ามีอันตรายถึงชีวิต เขาก็ร้อนใจขึ้นมา เขาจับคอเสื้อของขันทีขึ้นมาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน จู่ๆจะหัวเราะขึ้นมาได้ยังไง? มันเป็นโรคหรือถูกคุณไสยกันแน่?” “กระหม่อมไม่ทราบพะยะค่ะ องค์ชายรีบตามกระหม่อมเข้าวังไปดูจะดีกว่าพะยะค่ะ!” โอกาสดีๆแบบนี้เซี่ยอีอีจะปล่อยไปง่ายๆได้ยังไง นางยืนอยู่ข้างๆรีบพูดกล่อมว่า“องค์ชายสี่รีบไปดูเถอะ เห็นเขาพูดจาไม่เป็นคำขนาดนี้ ท่านควรจะไปดูให้เห็นกับตาน่าจะดีกว่านะเพคะ” เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูสมเหตุสมผล เหว่ยเฉินก็พยักหน้า “งั้นข้ามาเยี่ยมเจ้าใหม่วันหลังล่ะกันนะ” เมื่อเห็นรถม้าออกไปแล้ว เซี่ยอีอีก็รู้สึกสงสัย นางรู้สึกว่าเด็กแสบทั้งสองเมื่อคืนรับปากจะเข้าวังในวันนี้อย่างเต็มอกเต็มใจน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เป็นไปตามที่นางคาดไว้ เด็กแสบ กล้าขโมยยาหัวเราะไส้ขาดของนางไป ยังดีที่ในวังหลวงไม่มีใครรู้จักยาพิษชนิดนี้ ไม่งั้นฐานะของนางก็จะต้องถูกเปิดเผย ณ สนามฝึกในวังหลวง รู้กันมานานแล้วว่าในวังหลวงนั้นมีสนามฝึกทหารอครักษ์หลวงอยู่ ครั้งที่แล้วเข้าวังมาเดินผ่านไปอย่างรีบร้อนไม่ทันได้ดูดีๆ คราวนี้มีโอกาส พวกเขาจะให้มันพลาดไปได้ยังไง? “เจ้าดูคนนั้นสิ คนที่มีดาบที่เอวคนนั้นน่ะ ข้าสังเกตเขามานานล่ะ วรยุทธ์ของเขาธรรมดามากแต่แรงของเขาใช้ได้เลย สามารถยกคนโดยใช้มือข้างเดียวได้ เจ้าว่าหากเขาสู้กับเจ้า เขาจะโยนเจ้าออกจากที่นี่ไปข้างนอกได้ไหม?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเฉินวี่เหลือบไปมองเซี่ยวี่ซื่อ “มีแรงอย่างเดียวมันจะไปได้อะไร? เจ้าไม่เคยได้ยินหรอที่ว่าสี่ตำลึงยกพันชั่งน่ะ คิดอยากจะโยนข้าออกไป เขาไม่น่าจะมีความสามารถนั้น” “พูดอย่างเดียวมันไม่ได้ เจ้าลองไปสู้ดูไหมล่ะ?” คำพูดของเซี่ยวี่ซื่อทุกคำมีแต่ประชดประชันเซี่ยเฉินวี่ ที่เด็กแสบสองคนเข้าวังมาในวันนี้ ก็ไม่ได้คิดจะอยู่นิ่งๆอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่บนหลังคาอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครเห็นพวกเขาหรือไม่ อีกอย่างตอนนี้ขาของเซี่ยวี่ซื่อเองก็แกว่งไปแกว่งมา เหมือนกลัวว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นยังนั้นแหละ ในที่สุด เด็กแสบก็สามารถทำให้คนสนใจพวกเขาได้สำเร็จ “ท่านนายกองอู๋ ท่านดูนั่น บนหลังคามีเด็กอยู่สองคน” เมื่อได้ยินคนตะโกนบอก ทหารองครักษ์ที่ฝึกซ้อมอยู่ทั้งหมดก็หยุดแล้วมองไปที่หลังคา หลังคาที่สูงแบบนั้นเด็กสองคนนั้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง ขณะที่พวกเขากำลังสงสัยว่าทั้งสองไปอยู่บนนั้นได้ยังไง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงซุบซิบกันว่า“เด็กสองคนั้น ใช่เด็กของตระกูลเซี่ยหรือเปล่า ......” “พวกเจ้าสองคน ใครอนุญาตให้พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้าม ออกไปซะ” นายกองอู๋ขุย ก็คือคนที่เซี่ยวี่ซื่อชี้เมื่อกี้ เขาไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยหรือตระกูลหลิว แต่เมื่อบุกเข้ามายังสถานที่ต้องห้าม เขาก็ไม่มีทางไว้หน้า ได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่ซื่อก็แกว่งเท้าต่อไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดเลย “ท่านลุงหนวดทำไมท่านถึงได้ดุอย่างนี้ล่ะ เราก็แค่นั่งดูอยู่ตรงนี้เอง ก็ไม่ได้รบกวนพวกท่านสักหน่อย ท่านบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้าม แต่ว่าข้ายังไม่ได้ลงไปข้างล่างนั่นเลยนะ บนหลังคานี่คงไม่ใช่ที่ต้องห้ามด้วยหรอกนะ!” คำพูดแบบนี้ทำให้นายกองอู๋ขุยก็พูดอะไรต่อไม่ออก แล้วก็ไม่พอใจกับเด็กน้อยคนนี้เอามากๆ “อย่าพูดมาก บอกให้พวกเจ้าออกไปก็ออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าควรมา” เซี่ยวี่ซื่อจับหยกห้อยพลิกเล่นไปมา ยิ้มแล้วพูดว่า“แล้วถ้าพวกเราไม่ปล่ะ!” “เจ้า......” อู๋ขุยกำลังจะระเบิดอารมณ์ ก็ได้ยินเซี่ยเฉินวี่ก็เอ่ยปากพูดแบบเฉยชา “จะให้เราไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เราแค่อยากได้ดาบที่เอวของท่าน แค่ท่านให้ข้า ข้าก็จะพาน้องสาวข้าไปทันที” ดาบที่อยู่บนเอวของอู๋ขุยถึงแม้จะไม่ได้มีราคาอะไรมากมาน แต่ว่าก็ทำมาจากเนื้อเหล็กชั้นดี มันเหมาะสำหรับคนที่มีแรงเยอะอย่างเขามาก ดาบเล่มนี้ติดตัวเขามานานหลายปีไม่เคยห่างกายเลย ตอนนี้มีเด็กแก่นกับกล้าเอ่ยปากขอดาบจากเขาแบบนี้ เขารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลเลย อีกอย่าง ที่เซี่ยเฉินวี่ขอดาบจากเขาไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบดาบเล่มนั้น แต่ว่าเขารู้ดีว่า คนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีไม่มีทางมอบดาบที่พกติดตัวให้ใครง่ายๆ มันจะต้องสำคัญกับคนๆนั้นมากๆ การที่เขาบอกเงื่อนไขแบบนี้ออกไปก็เพื่อหาเรื่อง “เจ้าเด็กบ้า คิดจะเอาดาบของนายกองอย่างข้าหรอ หากมีปัญญาก็มาเอาเองสิ แต่ว่าข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้ากล้าที่จะลงมาตรงนี้ นายกองอย่างข้าก็จะลงโทษเจ้าด้วยกฎการบุกรุกสถานที่ต้องห้าม เจ้าคิดให้ดีล่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ก็มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกัน เซี่ยวี่ซื่อเก็บป้ายี่เอวเข้าไปในสายเข็มขัดอย่างระวัง แล้วก็มองไปที่อู๋ขุย “ท่านลุงหนวดยักษ์ ท่านไม่ต้องออมมือนะ มีฝีมือเท่าไหร่ก็ปล่อยมาให้หมดเลย วางใจได้ เราจะไม่เหยียบที่พื้นนั่นเด็ดขาด ส่วนท่าน ก็ไม่มีโอกาสได้ลงโทษเราแน่ๆ” พูดจบ เด็กชุดม่วงทั้งสองก็ลอยตัวลอบโจมตีอู๋ขุยรวดเร็วดังสายฟ้า อู๋ขุยไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกเด็กทั้งสองล้อมตัวเอไว้แล้ว ความเร็วของพวกเขาน่าตกใจมาก ทหารองครักษ์หลวงทั้งหมดต่างตะลึง เด็กตัวแค่นี้แต่มีความสามารถขนาดนี้ มันยากที่จะเชื่อได้ ถึงแม้อู๋ขุยจะพูดว่าจะไม่อ้อมมือหรือไว้หน้าพวกเขา แต่ยังไงพวกเขาก็เป็นเด็ก เพื่อไม่ให้ใครมาว่าๆเขารังแกเด็ก เขาก็ยังเก็บแรงเอาไว้สามส่วน จนกระทั่งเซี่ยเฉินวี่ซัดฝ่ามือเข้ามา แขนของเขาถึงกับชาไป เขาถึงได้รู้ว่า เด็กสองคนนี้กล้าที่จะท้าทายเขา จะเป็นเด็กธรรมดาทั่วๆไปได้ยังไงกัน? ทันใดนั้นเอง เซี่ยวี่ซื่อก็ดึงตัวออก เงาม่วงๆห่างออกไป แต่เท้าก็ยังคงไม่ได้แตะพื้น นางลอยตัวมายังโต๊ะใหญ่ด้านหน้าเวที ยิ้มแล้วพูดว่า“สองรุมหนึ่งมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ ข้ากับพี่ชายข้าไม่ใช่คนที่ชอบรังแกใคร ท่านลุงหนวดยักษ์ ข้าถอยมาก่อน ท่านสู้กับท่านพี่ของข้า หากท่านพี่สู้ท่านไม่ได้ข้าค่อยสู้กับท่าน” สองรุมหนึ่งไม่ยุติธรรม? แค่เด็กสองคนที่ยังไม่หย่านม คำพูดโอ้อวดแบบนี้สำหรับอู๋ขุยมันเหมือนคำหยามเกียรติมากๆ อู๋ขุย โกรธมาก จึงตะคอกกลับไปว่า“เจ้าไม่ต้องมาออมมือให้ข้า วันนี้ข้าจะต้องจัดการพวกเจ้าให้ได้” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเฉินวี่ก็ยิ้มมุมปาก ยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้มยังคงเย็นชาเช่นเดิม “ไม่ต้องพูดมาก น้องสาวข้าลงมือโหดเกินไป ข้ากลัวเจ้าจะรับไม่ไหว ให้ข้าสู้คนเดียวจะดีกว่า!” พูดพรางเดินลมปราณเคลื่อนพลังสีดำมาที่ฝ่ามือแล้วซัดออกไป อู๋ขุยยังไม่ทันได้ตั้งตัว อีกททั้งการเดินลมปราณของเซี่ยเฉินวี่รวดเร็วเกินกว่าของคนปกติทั่วไปมาก ด้วยความประมาท เขาก็เลยถูกซัดไปเต็มๆหนึ่งฝ่ามือ อ๊าก ------ อู๋ขุยกระอักเลือด ทุกคนต่างตกตะลึง แต่ว่านี่มันคือการต่อสู้ของชายฉกรรจ์หนึ่งคนกับเด็กน้อยคนหนึ่งน่ะ เด็กคนๆยังรู้ว่าควรหลบไปยืนดูอยู่ข้างๆ พวกเขาชายฉกรรจ์ก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปช่วยจริงๆ อู๋ขุยตกใจ และรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเด็กที่ยังไม่ทันหย่านมโจมตีจนไม่มีแรงที่จะตอบโต้แบบนี้ มันน่าขายหน้ามาก ด้วยความโกรธ ก็เลยชักดาบที่เอวออกมา “เจ้าเด็กบ้า ตรงนั้มีอาวุธ เจ้าเลือกได้ตามใจชอบเลย” เซี่ยเฉินวี่ยืนอยู่ม้านั่งยาว เท้าไม่ได้แตะพื้น เขามองไปที่ทวนที่อยู่ข้างๆ “ข้าไม่ใช่ของพวกนี้ ลงมือได้เลย!” ดาบเหล็กดำของอู๋ขุยมันคมมาก หอกดาบธรรมดาทั่วไปพวกนั้นจะไปสู้อะไรกับของเขาได้? อู๋ขุยก็รู้ว่าการที่ตัวเขาทำแบบนี้มันเป็นการเอาเปรียบ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ไม่อยากให้ใครมาว่าได้ว่าแพ้เด็ก ถึงแม้จะชนะแบบไม่ค่อยองอาจเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับการที่เขาต้องแพ้ เขายอม! เขาเริ่มตวัดดาบ เซี่ยเฉินวี่ไม่หลบ ทันใดนั้นเอง จางฮวายที่กำลังเบื่อๆก็เดินเข้ามา เขาเห็นเซี่ยวี่ซื่อที่นั่งอยู่บนโต๊ะก่อนเป็นอันดับแรก เห็นนางแกว่งเท้าเล็กๆของนางท่าทางเหมือนกำลังรอดูอะไรสนุกๆอยู่ จางฮวายรู้สึกหวั่นใจ ในใจก็สงสัยว่าเด็กคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียง “ฉึก” แสงขาวเส้นหนึ่งสะท้อนขึ้นมา ไม่ทันที่ทุกคนจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นแต่ว่าดาบในมือของอู๋ขุยนั้นหักเป็นสองท่อนแล้ว ส่วนหนึ่งถืออยู่ในมมืออีกส่วนหล่นลงไปที่พื้น “หยุดเดี๋ยวนี้นะ” จางฮวายตะโกน ตกใจคางเกือบตกถึงพื้น เด็กคนนี้ใช้แค่มีดสั่นเล่มหนึ่งตัดดาบของอู๋ขุยจนหัก ดาบในมือ? ยังไม่พูดถึงว่ามีดสั่นเล่มนั้นทำมาจากอะไร ต่อให้ เป็นคนปกติทั่วไปจะใช้แรงใช้มีดสั่นตัดดาบมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว แต่ว่าเขายังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง? เซี่ยเฉินวี่หันไปมองจางฮวาย แล้วเก็บมีดสั้นกลับไป ยิ้มแห้งๆแล้วพูดว่า“ข้าชนะแล้ว” พูดจบ ก็หันหลังเดินไป แล้วบ่ประเมินว่า “คนต่ำชั้น” แขนของเขาถูกจับ อู๋ขุยใช้มือข้างเดียวยกร่างของเด็กน้อยขึ้น จากแรงของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะโยนตัวเขาออกไป เซี่ยเฉินวี่ขมวดคิ้ว กำลังคิดจะตอบโต้กลับไปก็เห็นก้อนหินก้อนหนึ่งลอยมา ลอยเข้าหัวของอู๋ขุยเต็มๆ เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนต่างตกใจ จางฮวายหดหัว แล้วมองไปที่เซี่ยวี่ซื่อ ในใจก็คิดว่า ครั้งที่แล้วนางแม่นแบบนี้ หัวของเขาไม่แตกไปแล้วหรอ เขาสะบัดหัส อนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เขาเพิ่งออกไปครู่เดียว เด็กสองคนนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? เขายังไม่ได้จัดการอะไรเลย เซี่ยวี่ซื่อลุกขึ้นยืน ก็ดีดตัวลอยขึ้นมาจากโต๊พ แล้วก็มาโผล่ตรงหน้าของอู๋ขุย ไม่มีใครมองทันว่าดาบอีกส่วนหนึ่งที่อยู่บนพื้นมันไปอยู่ในมือของนางได้ยังไง แต่เห็นว่าเศษดาบที่อยู่ในมือนั้น ------ มีเลือดหยดราวกับน้ำตก แล้วก็เห็นแขนข้างหนึ่งตกอยู่บนพื้น จางฮวายช็อกมาก ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคนข้างนอกถึงได้เรียกเด็กสองคนนี้ว่าเด็กปีศาจ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลย เด็กตัวแค่นี้ แต่กลับลงมือเหี้ยมโหดมาก “หากแพ้ไม่เป็นก็อย่าสู้ ท่านพี่อุตส่าห์ยอมให้เจ้าแล้ว เจ้าลอบแทงข้างหลัง เจ้าไม่ควรมีชีวิตอยู่อีก” สีหน้าของเซี่ยวี่ซื่อไม่เหลือความอ่อนโยนเหลืออีกแล้ว มือเล็กๆที่จับเศษดาบที่หัก กำลังยกขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ถูกเซี่ยเฉินวี่ขวางไว้ “ท่านแม่สั่งไว้ ห้ามก่อเรื่องจนบานปลาย” เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ตกใจหนักกว่าเก่า อย่าก่อเรื่องจนบานปลาย ตอนนี้นางตัดแขนคนทิ้งไปข้างหนึ่ง นี่ยังไม่ใช่เรื่องบานปลายใหญ่โตอีกหรอ? ในสายตาของพวกเขาแค่ไหนถึงเรียกว่าเรื่องใหญ่? “ไต้เท้าจาง” มีเสียงตะโกนขึ้นมา ทหารองครักษ์นายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา “ไต้เท้าจาง ฮ่องเฮามีรับสั่ง ให้ขอทหารบางส่วนไปตามหาเด็กสองคน เป็นพี่น้องฝาแฝด อายุสี่ปี ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง สวมชุดสีม่วง ทั้งสองหายตัวไปจากห้องเรียนหนังสือ องค์ฮ่องเฮาทรงเป็นห่วงมาก ไต้เท้าจางรีบจัดคนไป ......” เห็นจางฮวายกำลังตะลึงอยู่ คนๆนั้นก็ตามสายตาที่เขามองไป เมื่อเขาเห็นเลือดที่นองพื้นอยู่ คำพูดที่เหลือก็พูดไม่ออกแล้ว กลุ่มทหารองครักษ์หลวงต่างมองไปที่สองพี่น้อง ในใจนอกจากเขาว่ากลัวก็ไม่มีอย่างอื่นเลย คนที่องค์ฮ่องเฮาจะทรงรับสั่งให้ตามหาด้วยพระองค์แล้ว เด็กสองคนนี้มีความสามารถอะไร ทั้งที่ปกติฮ่องเฮาทรงเฉยชากับคนอื่นๆมาก แต่กลับใส่ใจกับเด็กสองคนนี้มากขนาดนี้? ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ เหมือนจะมีเพียงจางฮวายเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไรองค์ฮ่องเฮาถึงทำเช่นนี้ เหว่ยหมิงชอบเซี่ยอีอี รักฉันก็ต้องรักลูกของฉันด้วยหลักการนี้เขารู้ดี เห็นเหล่าทหารต่างตะลึงจนไม่ขยับตัว จางฮวายก็ตกไปที่ไหล่ของเขาแล้วพูดว่า“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ บอกพวกเขาว่าเจอตัวพวกเขาแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะพาพวกเขาไปส่งให้องค์ฮ่องเฮาเอง” ทหารองครักษ์พยักหน้าด้วยความตะลึงอยู่ ไม่ทันได้ขอตัวก็เดินกลับไปแล้ว ดูท่าทางจะตกใจเอามากๆ จางฮวายมองไปที่เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ ถอนหายใจ “พวกเจ้าสองคนตามข้ามานี่” เห็นจางฮวายเดินออกไป เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ก็มองหน้ากัน คนๆนี้พวกเขาเคยเจอในร้านอาหารอันดับหนึ่ง ตอนนั้นเขาอยู่กับเหว่ยหมิง อยู่กับเหว่ยหมิงได้ ความสัมพันธ์คงไม่ธรรมดา ดูท่าจะหนีไม่ได้ซะแล้ว ก็เลยเดินตามเขาไปแต่โดยดี เดินไปพรางจ้องไปพราง!
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 42ทหารหลวงแข่งกัน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A