ตอนที่ 43 หักแขน
1/
ตอนที่ 43 หักแขน
ชายาเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าหนี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 43 หักแขน
ตนที่ 43 หักแขน ณ จวนตระกูลเซี่ย เซี่ยอีอียิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ นางไม่รู้ว่าหมอหลวงในวังหลวงฝีมือขั้นไหน ก็ไม่รู้ว่าไม่มีใครดูออกว่าถูกพิษหัวเราะไส้ขาดจริงๆหรือเปล่า นางลังเลอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเข้าวัง แต่ว่านางจะเข้าวังไปยังไงล่ะ? ถึงแม้นางจะมีตำแหน่งท่านหญิงอยู่บนหัว แต่ว่าคนที่รู้จักนางจะมีสักกี่คนเชียว หากถึงหน้าประตูวังหลวงแล้วเข้าไม่ได้จะทำยังไง มิต้องไปเสียเที่ยวหรอ? ในสถานการณ์แบบนี้เซี่ยหวินเทียนก็ไม่อยู่ไปชานเมือง พ่อของนางก็พึ่งพาไม่ค่อยได้ คิดๆดูแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้คงมีแค่เขาเท่านั้นที่ช่วยนางได้ บรรยากาศบนรถม้ารู้สึกอึดอัดมาก ไม่ใช่เพราะเหว่ยหมิง แต่เป็นเพราะจู่ๆเซี่ยอีอีก็อยากจะหลบหน้าเขาซะงั้น นางไปที่จวนอ๋องหยงให้เหว่ยหมิงพานางเข้าวัง เหว่ยหมิงไม่ถามที่มาที่ไปอะไรเลยก็รับปากทันที ความเด็ดขาดของเขาทำให้เซี่ยอีอีไม่ต้องพูดอะไรมากมาย แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก “ต่อไปจะเข้าวังก็ไปได้เลย ไม่ต้องวิ่งมาหาข้าให้วุ่นวายอีก ทหารหน้าประตูวังจะไม่ขวางเจ้า” นางมาหาเขาได้ เหว่ยหมิงดีใจมากๆ แต่เขายังอยากจะบอกนางว่า ตำแหน่งท่านหญิงของเขาไม่ได้เป็นแค่ในนาม ทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ พูดตอนนี้มันมีประโยชน์อะไรกัน? ถึงแม้เหว่ยหมิงจะหวังดีบอกนาง แต่กลับทำให้นางไม่พอใจ “งั้นเจ้ายังจะตามข้ามาทำไมกัน?” เขาเห็นนางดูไม่ยินดียินร้าย เหว่ยหมิงก็ยิ้ม“นานๆทีเจ้าจะมาหาข้า ก็มาเป็นเพื่อนเจ้าซะหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ?” เหตุผลแบบนี้มันน่าทุบซะจริง แต่ว่าการที่นางไปหาเขามันคือเรื่องจริง นางก็ไม่มีอะไรจะพูด “ทำไมเจ้าถึงไม่ถามว่าข้าจะเข้าวังทำไม?” “เพราะลูกใช่ไหมล่ะ?” เซี่ยอีอีไม่เคยเอ่ยปากขอเข้าวังเอง วันนี้เด็กๆเข้าวังไปเรียนวันแรก นางขอเข้าวังไปตอนนี้ เหว่ยหมิงนึกเหตุผลอื่นไม่ออกจริงๆ ไม่ผิดเลย เรื่องนี้จะโทษก็ต้องโทษสองแสบ ว่างจัดถึงขนาดขโมยยาของนางมาเล่น มันน่านัก เรื่องพระสนมซูเฟยถูกพิษเหว่ยหมิงยังไม่น่าจะรู้ ในเมื่อไม่รู้ นางก็ไม่มีเหตุผลต้องบอก “เด็กสองคนนั้นปกติก็อยู่ไม่นิ่งอยู่แล้ว วันนี้เข้าวังวันแรก ข้าไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่” เหว่ยหมิงพยักหน้า “อยู่ไม่นิ่งจริงๆนั่นแหละ ก็เหมือนเจ้า” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ขมวดคิ้ว หันไม่จ้องเขาด้วยความไม่พอใจ“อะไรคือเหมือนกับข้า? เจ้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง ถ้าพูดดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด” เห็นนางโกรธ เหว่ยหมิงก็หลุดหัวเราะออกมา แล้วเขยิบเข้าไปใกล้“หากเจ้ารับปากข้าว่าต่อไปจะไม่ไปแต่งงานกับใครเล่นๆอีก ข้าก็จะไม่พูดอีก” แต่งงานกับคนอื่น? เล่นๆ? วันนั้นนางแค่ลงโทษคนชั่วแทนสวรรค์เท่านั้น! เซี่ยอีอีกัดฟัน แต่ก็ตอบโต้เขากลับไม่ได้ นางยิ้มแบบแห้งๆ แล้วก็สะบัดหน้าหนีไป ไม่สนใจเขา ------------ ในวังหลวง จางฮวายจัดการทำความสะอาดเลือดที่อยู่บนเสื้อผ้าของเด็กสองคนนั้น ระหว่างนั้นเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องใช้น้ำเสียงแบบนั้นพูดกับเด็กสองคนนี้ “อยากจะพูดอะไรก็พูด ท่านเก็บเอาไว้แบบนี้เราเห็นแล้วก็อึดอัดไปด้วย” เป็นการพูดที่ตรงไปตรงมาดี จางฮวายเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองตายแล้ว เขามองไปที่สีหน้าที่เย็นชาของเซี่ยเฉินวี่ จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มองเด็กสองคนนี้ชัดๆ เมื่อครั้งที่แล้วที่พบกับเด็กผู้หญิงยังไม่ได้รู้สึกอะไรมากขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นหน้าตาที่เย็นชาของเซี่ยเฉินวี่ เขากลับรู้สึกว่ามันเหมือนสายตาของเหว่ยหมิงเวลาจ้องเข้าเลย ความคิดที่น่าตกใจอย่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในสมองของเขา จากนั้นความคิดแปลกๆนั้นก็หายไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ห้าปีที่แล้วเซี่ยอีอีเป็นบ้านะ มันจะเป็นไปได้ยังไง! เมื่อเห็นเขาเหม่อ เซี่ยวี่ซื่อก็แตะไปที่เขาเบาๆ “ท่านลุงดวงซวย ท่านจะพาเราไปหาฮ่องเฮาหรอ? ท่านอย่าบอกเรื่องนี้กับองค์ฮ่องเฮาได้ไหม?” จางฮวายวางผ้าเปื้อนคราบเลือดลง แล้วมองไปที่เซี่ยวี่ซื่อแล้วถามว่า“ทำไมถึงไม่ให้บอกองค์ฮ่องเฮาล่ะ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ากลัวฮ่องเฮาน่ะ?” ไม่ใช่ว่ากลัวแน่นอน แต่เพราะนั่นคือเสด็จย่าของพวกเขาต่างหาก นางกลัวว่าหากบอกฮ่องเฮาไปแล้วนางจะไม่ชอบพวกเขาอีกแล้วจะทำยังไง “เปล่านะ ข้าแค่กลัวว่าพระนางจะตกใจ ท่านลุงดวงซวย ท่านช่วยเก็บความลับให้เราได้ไหม?” เซี่ยวี่ซื่อทำท่าทางน่าสงสาร ร้องขอให้เขาช่วยเหลือ ไม้เด็ดของเซี่ยวี่ซื่อก็คือสายตาพิฆาต มันเป็นสายตาที่ไม่ควรไปมอง จางฮวายถอนหายใจ แล้วพูดว่า“ในเมื่อรู้ว่าองค์ฮ่องเฮาทรงต้องเป็นห่วง แล้วทำไมถึงทำแบบนี้อีก? อีกอย่าง ท่านลุงดวงซวยนี่มันอะไรกัน ไม่น่าฟังเลย ข้าดวงซวยยังไง?” เซี่ยวี่ซื่อกระพริบตา แล้วพูดว่า“ท่านถูกข้าเอาทองคำก้อนปาหัวเลือดออก นั่นมันก็ถือว่าซวยมากแล้วนะ” เมื่อได้ยินดังนั้น จางฮวายยิ้มมุมปาก แล้วยื่นมือไปจับศีรษะเล็กๆของนาง “เรื่องนี้เจ้าลืมมันไปดีกว่า อย่าพูดถึงอีกเลยนะ แค่ต่อไปเจ้ารับปากจะเรียกข้าว่าท่านพี่จาง ข้าก็จะรับปากช่วยพวกเจ้าเก็บความลับนี้ไว้” เซี่ยวี่ซื่อจ้องไปที่เขา โดยไม่กระพริบตา แต่ว่าคำว่า ‘พี่’ ก็ไม่ได้หลุดออกมาจากปากนาง อีกด้านหนึ่ง เซี่ยเฉินวี่ทำปากเหมือนรังเกียจมาก ไม่ได้ไว้หน้าเขาเลย “ท่านแม่บอกว่าคนที่ชอบแกล้งแอ๊บน่ารังเกียจ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ จางฮวายแทบจะกระอักเลือดออกมา มุมปากกระตุก เงียบไปครู่ใหญ่ถึงได้พูดออกมาว่า “เจ้า ...... แม่เจ้าสอนอะไรให้พวกเจ้าบ้างเนี้ย อะไรคือการแกล้งแอ๊บกัน ข้าก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นซะหน่อย” เห็นเขาเหมือนจะตื่นเต้น เซี่ยเฉินวี่ก็รู้สึกจำใจ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีอะไรแสดงออกมา เขาเอ่ยปากว่า“พวกเราปีนี้สี่ขวบ ท่านบอกให้เราเรียกท่านว่าพี่ไม่แอ๊บหรือไง? ต่อให้ท่านไม่แก่จริงๆก็เป็นได้แค่ท่านอาเท่านั้น แล้วจะให้เราเรียกว่าท่านพี่ได้ยังไงกัน?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยว่ซื่อก็พยักหน้า แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า“ถูกต้อง ถ้ายังไงเราเรียกท่านว่าท่านอาจางได้หรือเปล่า? หากเรียกว่าพี่ มัน ......” ยิ่งพูดมันก็เหมือนยิ่งตอกย้ำ จางฮวายเถียงพวกเขาไม่ได้เลย หากเป็นแบบนี้ต่อไปเข้าต้องมุดลงดินแน่ๆ เขาก็เลยรีบพูดว่า“เอาล่ะเอาล่ะ ท่านอาจางก็ท่านอาจาง งั้นก็เอาตามนี้ ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องก้อนทองนั่นอีก” เมื่อตกลงกันได้แล้ว เซี่ยวี่ซื่อก็ยิ้ม แล้วพยักหน้า “อืม ทราบแล้วท่านอาจาง” ณ ตำหนักเฟิ่งหลวน “พวกเจ้าสองคนไปไหนกันมา? เป็นอะไรหรือเปล่า? บาดเจ็บตรงไหนไหม?” ฮ่องเฮารีบออกมารับ ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็เอ่ยปากถามก่อนแล้ว จริงๆนิสัยของฮ่องเฮาเหมือนเหว่ยหมิงมาก เรื่องใหญ่ไม่ร้อนใจ เรื่องเล็กๆยิ่งไม่เดือดร้อนเลย เรื่องเดียวที่จะให้นางเอ่ยปากถามถึงมากสักหน่อย ก็เป็นเรื่องของเหว่ยหมิง แต่ตอนนี้เห็นนางร้อนใจเรื่องของเด็กแสบสองคนนี้มาก จางฮวายรู้สึกแปลกใจมาก “เสด็จป้า เด็กสองคนนี้แค่นึกสนุก ก็เลยวิ่งไปเล่นที่สนามฝึก กระหม่อมพบเข้า ก็เลยพาพวกเขากลับมา ไม่เป็นอะไรหรอกพะยะค่ะ” จางฮวายรับปากเซี่ยวี่ซื่อว่าจะไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮ่องเฮา ดังนั้นก็เลยสร้างเรื่องโกหกให้ ได้ยินดังนั้นแล้ว ฮ่องเฮาก็ถอนหายใจ มือก็จับไปที่หน้าของเด็กสองคนนั้นแล้วมองอย่างละเอียด “พวกเจ้าสองคนทำให้ข้าตกใจมากเลยรู้ไหม ต่อไปห้ามทำแบบนี้อีกนะ ต่อไปจะไปไหนบอกข้าสักหน่อย ข้าจะได้ให้คนไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า ในวังหลวงใหญ่มาก หากเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?” เซี่ยวี่ซื่อทำท่าอ้อนไปเกาะขาขององค์ฮ่องเฮา แล้วพูดว่า“ซื่อเอ๋อสำนึกผิดแล้ว ฮ่องเฮาอย่าโกรธเลยนะเพคะ ต่อไปซื่อเอ๋ฮจะตั้งใจเรียน ไม่ออกไปเล่นแล้ว” เห็นนางทำท่าทางแบบนี้ ฮ่องเฮาต้านทานลูกอ้อนของนางไม่ไหว ยิ้มแล้วค่อยๆลูบไปที่ศีรษะของนาง “เจ้าเนี้ยนะทำให้ข้าอารมณ์ดีได้ตลอดเลย ปากของเจ้าเนี้ยนะเหมือนเอาไปถูกับน้ำผึ้งมาเชียว” เมื่อชมเซี่ยวี่ซื่อแล้ว ฮ่องเฮาก็ไม่ได้ลทมอีกคนนะ นางรู้นิสัยของเซี่ยเฉินวี่ดีว่าจะเฉยชาสักหน่อย ก็เลยไม่ได้บังคับให้เขาพูดอะไร แต่ใครจะคิดว่าเขากลับพูดขึ้นมาเอง“วี่เอ๋อก็จะไม่ทำแล้ว” “ฮ่องเฮาเพคะ ท่านอ๋องหยงกับท่านหญิงหยงเห๋อเสด็จมาเพคะ” “อีอีถวายพระพรฮ่องเฮาเพคะ” เซี่ยอีอีกำลังจะคำนับ ฮ่องเฮาก็รีบพูดว่าตามสบาย เหว่ยหมิงไม่พูดอะไร ยื่นมือไปพยุงนนางขึ้นมา เมื่อเห็นดังนั้น ฮ่องเฮาก็ยิ้มไม่หยุด “พวกเจ้าสองคนมาด้วยกันได้ยังไง?” “ลูกเข้าวังมาเป็นเพื่อนนางพะยะค่ะ” เหว่ยหมิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ กลับทำให้ฮ่องเฮาดีพระทัยจนออกนอกหน้า เซี่ยอีอีไม่ได้ปฏิเสธ เพราะว่ามันคือเรื่องจริง นางเห็นเด็กสองคนอยู่ข้างๆฮ่องเฮา สายตาที่ดุดันมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ความหมายดี ไม่ทันได้พูดอะไรนัก ก็มีขันทีคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาด้านใน “ฮ่องเฮาพะยะค่ะ พระสนมซูเฟยทรงบ้าไปแล้วพะยะค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ฮ่องเฮาก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า“เจ้าเหลวไหลอะไรกัน ใครบ้า? อยู่ดีๆนางจะเป็นบ้าไปได้ยังไง?” เซี่ยอีอียิ้มมุมปาก ถูกพิษชัดๆ กลับบอกว่าเป็นบ้า ความคิดล้ำเลิศมาก หึหึ แล้วเงยหน้ามองไปที่สองแสบ เห็นเจ้าสองแสบแอบหัวเราะกันสองคน เซี่ยอีอีจ้องไปที่พวกเขา ทั้งสองก็รีบยืนเรียบร้อยนิ่งๆทันที “ฮ่องเฮาพะยะค่ะ พระสนมซูเฟยบ้าไปแล้วจริงๆ นางหัวเราะอยู่ในตำหนักเฉียนเห๋อกงมาสองชั่วโมงแล้ว หมอหลวงก็หาสาเหตุของอาการไม่พบ บอกแต่เพียงว่าโดยคุณไสยพะยะค่ะ” โดยคุณไสย? เซี่ยอีอียื่มมือมาปิดปากแอบหัวเราะ หากรู้แค่แรกว่าหมอหลวงจะวินิจฉัยแบบนี้ นางก็คงไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่ ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมเหว่ยหมิงถึงไม่อยู่ถอนพิษในวังหลวง แต่ลำบากเดินทางไปหานางถึงเมืองหวินเฉิง หากเขาอยู่ในวัง สงสัยคงตายไปแล้ว เซี่ยอีอีดึงสติกลับมา ทำท่าทางเหมือนเป็นห่วงมากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ฮ่องเฮาเพคะ ท่านลองไปดูด้วยตัวเองสิเพคะ หม่อมฉันว่างอยู่ ถ้ายังไงหม่อมฉันโดยเสด็จเป็นเพื่อนดีไหมเพคะ?” พิษหัวเราะไส้ขาดมีมีฤทธิ์ต่อเนื่องสิบสองชั่วโมง หลังจากครบสิบสองชั่วโมงไปแล้ว คนที่ถูกพิษจะท้องไส้ปั่นป่วนจนตาย ถึงแม้เซี่ยอีอีจะไม่ได้สนใจว่าพระสนมซูเฟยจะเป็นหรือตาย แต่หากหมอหลวงได้ลองศึกษาพิษหัวเราะไส้ขาดสักสิบชั่วโมง นางเองก็ไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ ฮ่องเฮาเป็นนายใหญ่ของวังหลัง วังหลังเรื่องเล็กน้อยยใหญ่นางต้องเป็นคนจัดการทั้งหมด ในเมื่อมีคนมารายงานแล้ว เรื่องนี้เกรงว่าน่าจะหนีไม่พ้น ในเมื่อเซี่ยอีอีเอ่ยปากจะไปเป็นเพื่อนนางแล้ว นางจะปฏิเสธได้ยังไง “หยูอี้ เจ้าพาเด็กสองคนนี้ไปส่งที่ห้องเรียนทีนะ ต้องให้เห็นว่าเข้าไปนั่งเรียนให้เรียบร้อยล่ะ” “เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว” หยูอี้รับบัญชามา ก็ไม่พูดอะไรให้มากความ เด็กสองคนเองก็ไปกับนางอย่างเต็มใจ เซี่ยอีอีพยุงฮ่องเฮาเดินออกไป เหว่ยหมิงกำลังจะเดินตามไปแต่กลับถูกจางฮวายดึงตัวไว้ “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เขามองเซี่ยอีอีที่เดินออกไปแล้ว เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิด “สำคัญมากหรอ?” จางฮวายสีหน้าจริงจังพยักหน้า “สำคัญมาก” นานๆทีเขาจะมีเรื่องสำคัญ เหว่ยหมิงไม่มีทางปฏิเสธได้ แต่เห็นเซี่ยอีอีเดินไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีความอดทน “มีเรื่องอะไร? เข้าประเด็นเลย” จางฮวายมองไปรอบๆ เห็นในตำหนักไม่มีคนแล้ว ก็พูดเสียงเบาๆว่า“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมใครๆก็เรียกเด็กสองคนนั้นว่าเด็กปีศาจ เจ้ารู้หรือเปล่า เด็กสองคนนั่นเพิ่งจะตัดแขนนายกองอู๋ขุยไปเมื่อกี้นี้” เหว่ยหมิงตกใจ สีหน้าจริงจัง “เหตุผล?” “รายละเอียดข้ายังไม่รู้อะไรมาก แต่ว่าเด็กสองคนนั้นสู้กับอู๋ขุย อู๋ขุยไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ฉวยโอกาสลอบโจมตีเด็กผู้ชายคนนั้นจากข้างหลัง เจ้าเด็กผู้หญิงก็เลยโกรธ ตัดแขนเขาซะเลย แต่ว่ายังไงซะอู๋ขุยก็เป็นถึงนายกองขององครักษ์หลวงนะ เรื่องนี้ข้าไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ข้ากลัวว่าจะปิดได้ไม่นาน เพราะนั่นก็เป็นสนามฝึก องครักษ์ทุกคนเห็นกันหมด ข้ากลัวว่าเรื่องนี้จะแพร่ออกไป” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็นิ่งไป แล้วพูดว่า“เรื่องนี้ต้องปิดเอาไว้ เจ้าเป็นครูฝึกคนใหม่ของทหารองครักษ์หลวงไม่ใช่หรอ เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ หากไม่เรียบร้อยก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก” ขณะที่กำลังจะเดินไป เหว่ยหมิงก็หยุด “จริงสิ นายกองคนนั้นแขนขาดไปข้างหนึ่งใช่ไหม?” “เอ่อ อืม” ไม่รู้ว่าเหว่ยหมิงหมายความว่าไง จางฮวายพยักหน้าแบบงงๆ “เขาควรตายได้แล้วนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีสีหน้าอารมณ์ใดๆ พูดจบ ก็เดินไปเลย เมื่อเห็นเหว่ยหมิงเดินจากไปแล้ว จางฮวายก็ยังยื่นอึ้งอยู่ที่เดิม ปากสั่นไม่หยุด เขาบอกเรื่องนี้ไป ไม่ได้จะให้เขามาสั่งให้ไปฆ่าคนปิดปาก เขาแค่ต้องการให้เหว่ยหมิงรู้ว่าเด็กสองคนนั้นร้ายกาจแค่ไหน แต่ว่าผลกลับเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? แถมยังจะให้เขาเป็นคนลงมือด้วย มันเกินไปแล้วนะ! ใครๆก็บอกว่าหมาป่าจะปกป้องลูกของมัน แต่ลูกก็ไม่ใช่ของเขา เขาจะทำไปเพื่ออะไร! ณ ตำหนักเฉียนเห๋อกง พระสนมซูเฟยหัวเราะนานมาก ทำให้เหงื่อออกจนท่วมตัว สีหน้าเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง หมอหลวงก็ยืนดูอยู่ข้างๆ ไม่มีหาทางจะรักษา “องค์ฮ่องเฮาเสด็จ ท่านหญิงหยงเห๋อเสด็จ” เสียงตะโกนที่ดังขึ้น ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างคุกเข่าลง เซี่ยอีอีเดินเข้ามาสิ่งแรกที่นางเห็นก็คือคนที่หัวเราะอยู่บนเตียงไม่หยุด จากนั้นก็เห็นเหว่ยเฉินเดินเข้ามาต้อนรับ “กระหม่อมถวายพระพรเสด็จแม่” ขณะที่ฮ่องเฮาเดินไปดูพระสนมซูเฟย เหว่ยเฉินก็ลุกขึ้นมาจับมือเซี่ยอีอี เหมือนจะตกใจ แล้วก็รู้สึกดีใจ “อีอี เจ้ามาได้ยังไง? เป็นห่วงท่านแม่หรอ? เจ้ามีน้ำใจจริงๆ ท่านแม่ทำกับเจ้าขนาดนี้เจ้าไม่ถือโทษยังมาเยี่ยมท่านด้วย ลำบากเจ้าจริงๆ” ได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้ม ในใจด่าว่าเจ้าโง่ สถานการณ์แบบนี้ยังทำอะไรไม่ดูกาลเทศะเลย “ท่านพี่เฉินพูดอะไรแบบนั้น ได้ยินว่าพระสนมซูเฟยทรงประชวร อีอีไม่สบายใจ คิดไปคิดว่าคิดว่าน่าจะเข้าวังมาดูสักหน่อย ถึงแม้พระสนมจะไม่ค่อยชอบอีอี แต่ยังไงซะนางก็เป็นแม่ของท่าน อีอีมาเยี่ยมก็ถือว่าสมควรแล้ว” พูดซะจนเหว่ยเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจ เขายื่นมือไปจับมือของเซี่ยอีอี แต่นางกลับผลักมือของเขาออก “ท่านพี่เฉินไปดูพระสนมก่อนเถอะ ไม่งั้นคนอื่นจะเอาไปนินทาได้” คำพูดของนางมีเหตุผล เหว่ยเฉินพยักหน้า แล้วหันเดินไปที่เตียงเพื่อไปเป็นลูกกตัญญูของเขาต่อไป นอกประตู สีหน้าของเหว่ยหมิงนิ่งมาก เขามาได้ทันเวลาพอดี ได้ยินบทสนทนาของเหว่ยเฉินกับนางทั้งหมด เขาค่อยๆเดินมาใกล้ๆ ยืนอยู่ข้างหลังเซี่ยอีอีแล้วถามว่า“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพระสนทซูเฟยทรงประชวร?” จู่ๆด้านหลังก็มีเสียงคนดังมา เซี่ยอีอีตกใจ หันไปมองเห็นเขา เซี่ยอีอีก็ไม่ทันได้สนใจหน้าที่ไม่ค่อยพอใจของเขา จ้องเขากลับไป “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย แล้วเจ้ามาทำไม?” พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก จากนั้นก็เดินไป “กลิ่นอะไรน่ะ? หอมจัง!” กลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งลอยมา ทำให้ทั้งนางกำนัลขันทีรวมถึงหมอหลวงต่างได้กลิ่น กลิ่นหอมกระจายตัวไปทั่วห้อง เหว่ยหมิงขมวดคิ้วหนักมาก บนรถม้าก่อนหน้านี้เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆบนตัวของเซี่ยอีอี ซึ่งเป็นกลิ่นที่ต่างจากปกติที่นางมี แต่เขาก็มั่นใจว่ามันคือกลิ่นนี้แน่นอน แต่ทำไมมันถึงได้กระจายตัวออกมาได้รุนแรงแบบนี้ล่ะ? เซี่ยอีอีค่อยๆเดินมาใกล้ๆพระสนมซูเฟย ยืนอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ถึงแม้นางจะไม่อยากใช้ไม้นี้ก็ตาม แต่นางไม่มีทางเลือก เห็นอาการหัวเราะของพระสนมซูเฟยค่อยๆเบาลง นางถึงได้ปิดขวดยา แล้วก็ทำเหมือนคนอื่นๆที่พยายามดมหากลิ่น ขณะที่เซี่ยอีอีหันตัวกลับมา เสียงหัวเราะของพระสนมซูเฟยก็หยุดลง จากนั้นก็สลบไป เหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมา หมอหลวงนางกำนัลต่างรุมเข้ามากันหมด เซี่ยอีอีแอบถอนหายใจเบาๆ หันหลังไปดูที่หัวเตียง แล้วยิ้มเบาๆ
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 43 หักแขน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A