ตอนที่ 49 เรียกพ่อ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 49 เรียกพ่อ
ต๭นที่ 49เรียกพ่อ น้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้เซี่ยอีอีหยุดชะงักไป นางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วพูดแถไปว่า“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ เหว่ยหมิง หากเจ้ายังจะทำแบบนี้อยู่ข้าจะไปที่ห้องของเด็กๆแล้วนะ” มือใหญ่ๆของเขาค่อยๆลูบไปที่เอวของนาง เหว่ยหมิงหลุดยิ้มออกมา “ช่างเถอะ เจ้าไม่ยอมรับข้าก็ไม่บังคับเจ้า แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ลืมหรอก ต้องมีสักวันข้าจะทำให้เจ้ายอมรับกับข้าด้วยปากของเจ้าเอง” เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ ในใจของเซี่ยอีอีก็รู้สึกหวั่นไหว ในใจของนางมันเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา นางรีบลงมาจากตัวเขา แล้วนอนขดตัวไปข้างหนึ่ง ในค่ำคืนแบบนี้ มันเงียบจนไม่มีเสียง แต่ว่าทั้งคู่รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเซี่ยอีอีก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะลงจากเขาแล้วใช่หม? รบกวนส่งเฉียนหลิงกลับไปทีนะ แล้วก็เด็กสองคนนั้นด้วย ......” “แล้วเจ้าล่ะ?” เมื่อได้ยินนางวางแผนจัดการให้กับคนอื่นๆ เหว่ยหมิงก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้ายังมีเรื่องที่จะต้องทำให้กระจ่าง อาจจะต้องอยู่อีกหลายวัน” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว หันหน้าไปยังคนที่หลังชนกันอยู่ “ที่นี่อันตรายมาก” “ข้าไม่กลัว” นางไม่กลัว แต่เขากลัว แต่ในเมื่อนางพูดมาแบบนี้ คิดว่าจะให้นางกลับไปพร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้ เขาก็เลยพูดว่า“ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่ล่ะกัน” เขาอยู่เป็นเพื่อน มันอะไรกัน? ต่อให้นางยอม จางชิงเอ๋อก็ไม่น่าจะรับปากมั้ง! เมื่อนึกถึงจางชิงเอ๋อ เซี่ยอีอีก็หงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุ “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าอยู่ได้ เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอก” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ แต่กลับได้ยินเสียงลมหายใจเหมือนคนนอนหลับ เซี่ยอีอีหันหน้าไปมองเขา “ไหนบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนข้าไงตัวเองกลับหลับไปซะงั้น คนอะไร?” ในความมืด ริมฝีปากบางๆยิ้มขึ้นมา แต่ดวงตากับไม่ได้ลืมขึ้นมา นานพอควร เซี่ยอีอีก็เริ่มง่วง ไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปพร้อมกัน วันต่อมา ประตูห้องค่อยๆเปิดออก เด็กสองคนค่อยๆเข้ามาในห้อง เห็นม่านบนเตียงกำลังปิดอยู่ เด็กทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ยังไม่ทันถึงเตียง บนเตียงก็มีความเคลื่อนไหว เด็กทั้งสองก็หยุดเดิน แต่กลับรู้สึกผิดปกติ กำลังสงสัยอยู่ จากนั้นก็เห็นผ้าม่านถูกเปิดออก คนที่ลงมาจากเตียง คือเหว่ยหมิง “ท่านอา?” “ทำไมเป็นท่าน?” เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่พูดพร้อมกัน เด็กทั้งสองต่างยืนตะลึง เหว่ยหมิงหันหน้าไปมองคนที่กำลังหลับสบาย แล้วพูดเสียงเบาๆว่า“เบาๆหน่อย ให้แม่พวกเจ้านอนอีกสักหน่อย” ได้ยินดังนั้น เซี่ยเฉินวี่ขมวดคิ้ว มองเหว่ยหมิงแบบไม่พอใจ “นี่มันห้องของท่านแม่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เซี่ยเฉินวี่ถึงแม้จะไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของชายหญิง แต่อย่างน้อยๆเขาก็รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน เห็นเหว่ยหมิงมาอยู่บนเตียงของแม่ตัวเอง ในใจก็รู้สึกไม่พอใจ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่? คำถามนี้เขาไม่รู้จริงๆว่าควรตอบกลับไปว่ายังไง ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบว่าอะไร ก็เห็นจางฮวายพยุงหยางเฉียนหลิงเดินเข้ามาจากนอกประตู หยางเฉียนหลิงได้ยินว่าเซี่ยอีอีกลับมาแล้วก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ หากไม่ใช่จางฮวายขวางนางเอาไว้ เกรงว่าคนที่อยู่ในห้องอาจจะไม่ใช่เหว่ยหมิง เพียงแต่ว่า เช้าขนาดนี้กลับเห็นอ๋องหยงมาอยู่ที่นี่ แถมยังอยู่บนเตียงด้วย เท้าก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู “ท่าน ท่านอ๋อง ท่าน ......” คำพูดยังไม่ทันได้พูดออกมา มือที่พยุงมือหยางเฉียนหลิงก็จับแน่นขึ้น หยางเฉียนหลิงหันหน้าไปมองจางฮวาย เห็นเขายิ้มแบบร้ายๆแล้วมองมาที่นาง เมื่อเห็นดังนั้น หยางเฉียนหลิงเหมือนจะเข้าใจอะไรสักอย่าง นางเขินแล้วพูดว่า“อีอียังนอนอยู่หรอ? ซื่อเอ๋อ วี่เอ๋อ เราออกไปกันก่อนดีกว่า อย่าไปกวนแม่เจ้านอนเลย” “ทำไม ที่นี่เป็นห้องของท่านแม่ ถ้าจะให้ไปก็ต้องให้เขาออกไปสิ” เซี่ยเฉินวี่พูดอย่างไม่พอใจ เขาขวางทั้งกลางวันกลางคืนแต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่สำเร็จ คนๆนี้กลับขึ้นมาบนเตียงของแม่เขาซะงั้น อีกด้านหนึ่ง เซี่ยวี่ซื่อยิ้ม เช้าขนาดนี้ บนเตียงของแม่แต่มีพ่อเพิ่มมา คิดแล้วก็มีความสุข “พี่เฉียนหลิงพูดถูก ท่านแม่นอนอยู่เราอยู่ตรงนี้รบกวนนางเปล่าๆ เราออกไปกันก่อนเถอะ!” “แต่ว่าเขา ......” เห็นเซี่ยเฉินวี่ไม่ยอมง่ายๆ จางฮวายก็เลยเดินมาจูงมือเขา “นายน้อย เจ้าวางใจเถอะนะ เขาไม่กินคนหรอกนะ แม่ของเจ้าไม่ถูกเขาจับกินแน่นอน” จางฮวายพยายามดึงตัวเด็กน้อยออกไป หยางเฉียนหลิงเดินไม่ค่อยสะดวกตอนนี้ไม่มีจางฮวายที่พยุงแล้ว ก็เลยค่อยๆเดินไป เซี่ยวี่ซื่ออาศัยช่วงที่ไม่มีคนสังเกตเห็น วิ่งเข้ามาที่เตียง ดึงมือเหว่ยหมิงยิ้มแล้วพูดว่า“ข้ายกท่านแม่ให้ ท่านอาสู้ๆนะ” “ซื่อเอ๋อ?” หยางเฉียนหลิงเดินมาที่หน้าประตู หันไปเห็นเด็กน้อยกำลังพูดอะไรกับเหว่ยหมิงไม่รู้ เมื่อได้ยินหยางเฉียนหลิงเรียก เซี่ยวี่ซื่อก็หันหลังวิ่งไป ก่อนออกไปยังหันมาส่งสายตาให้กำลังใจเหว่ยหมิงด้วย เห็นดังนั้น เหว่ยหมิงก็ยิ้ม เห็นประตูปิดอีกครั้ง เขาหันไปมองคนที่หลับสบายอยู่บนเตียง เสีงดังขนาดนี้นางยังไม่ตื่นเลย ดูท่าทางจะเหนื่อยมาก ช่วงบ่าย เหว่ยหมิงไปที่ห้องของจางฮวายแต่ไม่มีใครอยู่ ก็เลยมาที่ห้องของหยางเฉียนหลิง ประตูไม่ได้ปิด คิดว่าเขาน่าจะกลัวข่าวแพร่ออกไปมันจะไม่ดี เหว่ยหมิงเคาะประตู แล้วค่อยเดินเข้าไป “โอ้โห อ๋องหยงของเราไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนสาวงาม แต่มาหาเราถึงที่นี่หรอ?” จางฮวายทำน้ำเสียงหยอกล้อใส่เหว่ยหมิง เขาจ้องไปที่เขา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “พวกเจ้าเก็บของ แล้วกลับลงเขาไปซะ!” คำพูดนี้ฟังแล้วมันแปลกๆ อะไรคือพวกเจ้าลงเขาไปซะ มันควรจะเป็นเราลงเขาไม่ใช่หรอ? “เฮ้เฮ้เฮ้ เจ้าคงไม่ได้มีแผนการอะไรที่ไม่อยากให้เราอยู่ขวางก็เลยไล่เรากลับใช่ไหม ที่นี่เป็นวัดนะอย่าทำอะไรเหลวไหล” ปากของจางฮวายหยางเฉียนหลิงรู้ดี แต่ตอนนี้การที่เขาพูดแบบนี้มันทำให้นางรู้สึกลำบากใจ เพราะมันเป็นบทสนทนาของผู้ชาย นางก็ทนฟังไม่ค่อยได้ “พูดจาเหลวไหลอะไร เราขึ้นเขามาครั้งนี้เพื่อไหว้ขอพรนะ หลายวันแล้วไม่กลับไปคนจะสงสัยเอา นางไม่ยอมกลับ ข้าไม่อยากปล่อยนางไว้ที่นี่คนเดียว” “ท่านอ๋อง อีอีไม่กลับข้าก็ไม่กลับ เรามาด้วยกันข้าคงไม่กลับไปคนเดียว ยังมีซื่อเอ๋อกับวี่เอ๋ออีก ข้าคิดว่าพวกเขาเองก็ไม่ยอมไปแน่ๆ” หยางเฉียนหลิงเป็นห่วงเซี่ยอีอี ถึงแม้ตอนนี้นางจะกลับมาแล้ว แต่นางยังไม่ได้เห็นหน้านางเลย หากให้นางกลับไปแบบนี้ นางทำไม่ได้จริงๆ “ก็นั่นน่ะสิ เรามาด้วยกันทำไมไม่กลับด้วยกันล่ะ? อีกอย่าง นิสัยของจางชิงเอ๋อเจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง จะให้นางกลับเจ้าก็ไปบอกนางเอง เพราะข้าพูดอะไรไปนางก็ไม่มีทางฟังข้า” นางยังอยากจะดูละครต่ออีก จางฮวายจะไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง อีกอย่างน้องสาวเอาแต่ใจของเขาคนนั้น เขาเอานางไม่อยู่จริงๆ เหว่ยหมิงไม่ชอบใช้คำพูดไปกล่อมใคร ตอนแรกคิดว่าสองคนนี้น่าจะพูดได้ไม่ยาก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะล้มเหลว แม้แต่พวกเขาสองคนก็กล่อมไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเด็กสองคนนั้นกับจางชิงเอ๋อ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เซี่ยอีอีนอนหลับสนิทมาก ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เหว่ยหมิงลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดประตูออก ก็เห็นหลวงจีนรูปหนึ่งยืนอยู่นอกประตู “ประสก ท่านเจ้าอาวาสให้อาตมามาดูว่าแม่นางเป็นอะไรหรือไม่ แล้วก็ให้มาถามว่าพิธีไหว้จะให้เปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ไหม” เซี่ยอีอีนอนตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เหว่ยหมิงก็ไม่กล้ารับประกันว่าพรุ่งนี้นางจะตื่น “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสที่เป็นห่วง นางไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกเหนื่อยแค่นั้น เรื่องพิธีไหว้บูชาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปปรึกษากับท่านเจ้าอาวาสอีกครั้ง” เมื่อได้ยินดังนั้น หลวงจีนก็พยักหน้า “ก็ได้ งั้นให้แม่นางพักผ่อนอีกสักสองวัน อาตมาจะกลับไปรายงานกับท่านเจ้าอาวาสก่อน ประสกเชิญพักผ่อนตามสบาย อาตมาขอตัวก่อน” เขาปิดประตูลง สีหน้าของเหว่ยหมิงเหมือนคิดอะไรบางอย่าง สองวันมานี่เพื่อตามหาเซี่ยอีอีแล้วทำให้ในวัดวุ่นวายมาก ถึงแม้จะมีหลวงจีนมาตามหาบ้าง แต่เจ้าอาวาสไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเลย เราเจอนางเมื่อคืน วันนี้เจ้าอาวาสก็ส่งคนมาถามแล้ว ท่าทางกระตือรือร้นแบบนี้มันน่าสงสัยจริงๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่เซี่ยอีอีพูดเมื่อคืน เหว่ยหมิงรู้สึกว่าจะต้องให้คนตรวจสอบวัดนี้ให้ละเอียด ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องคนที่คิดทำร้ายเซี่ยอีอีจะเป็นคนในวัดไหม แค่เรื่องขโมยสมบัติในโลงศพ ก็ควรจะปิดวัดค้นแล้ว วันต่อมา เหว่ยหมิงตื่นมาก็เที่ยงแล้ว เมื่อมองไป ก็เห็นเซี่ยวี่ซื่อยืนทำตาปริบๆมองเขาอยู่ เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว กำลังจะพูดอะไร ก็เห็นเซี่ยวี่ซื่อปีนขึ้นมาบนเตียง “ท่านอาท่านตื่นแล้วหรอ?” เมื่อหันไปมอง กลับไม่เห็นคนที่นอนอยู่บนเตียง เหว่ยหมิงลุกขึ้นนั่งแล้วถามเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า“แม่เจ้าล่ะ?” “ท่านแม่ไปหาท่านเจ้าอาวาสกับท่านพี่ ท่านแม่ให้ซื่อเอ๋ออยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่” อยู่เป็นเพื่อนเขาหรอ? เขาต้องการคนอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่? “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?” “ใกล้ค่ำแล้ว” “ค่ำ?” ปกติเหว่ยหมิงเป็นคนนอนไม่ลึก แค่ใบไม้ใบเดียวก็ทำให้เขาตื่นได้แล้ว แต่วันนี้เขาไม่เพียงไม่รู้ว่าเซี่ยอีอีออกไปตอนไหน ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้หลับจนถึงตอนนี้ “แม่ของเจ้าไปนานแค่ไหนแล้ว?” เซี่ยวี่ซื่อยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นเหว่ยหมิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าเซี่ยอีอีไม่มีทางแค่ไปหาเจ้าอาวาสแน่ๆ “ซื่อเอ๋อรู้ไหมว่าแม่ของเจ้ากำลังมีอันตราย?” เซี่ยวี่ซื่อส่ายหน้า แล้วยิ้ม “ไม่มีอันตรายหรอก ท่านพี่ไปกับท่านแม่ด้วย” เหว่ยหมิงยอมรับว่าเซี่ยเฉินวี่ไปกับเซี่ยอีอีปลอดภัยแน่ๆ แต่ว่า ยังไงซะเซี่ยเฉินวี่ก็เป็นเด็ก หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยของสองแม่ลูกได้ “แล้วทำไมพี่เจ้าไปแล้วเจ้าไม่ไปล่ะ?” “ท่านแม่บอกว่า ให้ซื่อเอ๋ออยู่ที่นี่กับท่านอาก็พอ” ตอนนี้เซี่ยวี่ซื่อเหมือนเซี่ยอีอีมาก ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรนางก็เอาแต่ยิ้มหวานๆให้ ไม่ได้มีท่าทีอะไรมากกว่านั้น “เราไปหาแม่ของเจ้ากันดีไหม?” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง เซี่ยวี่ซื่อถามกลับไปด้วยความจริงจัง“ท่านอาอยากเป็นพ่อของซื่อเอ๋อไหม?” เด็กคนนี้ยิงคำถามมาแบบไม่ทันตั้งตัว เหว่ยหมิงไม่รู้จะตอบไปยังไง เหว่ยหมิงยิ้ม แล้วนั่งลงตรงหน้าของเด็กน้อยแล้วอุ้มนางขึ้นมา “อยากแล้วยังไง ไม่อยากแล้วยังไง?” “หากว่าท่านอยาก ข้าก็จะพาท่านไปหาท่านแม่ หากว่าท่านไม่อยาก งั้นข้าก็จะไม่พาท่านไป” ความคิดของเซี่ยวี่ซื่อง่ายมาก เป้าหมายของนางชัดเจน เหว่ยหมิงรู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยพยายามจะช่วยเขา แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกระตือรือร้นขนาดนี้ “ซื่อเอ๋อรู้หรือเปล่าว่าพ่อแท้ๆของเจ้าเป็นใคร?” เหว่ยหมิงไม่เคยคิดจะถามเรื่องนี้กับเด็กสองคนนี้เลย ก็เหมือนเซี่ยอีอีที่ระวังตัวมาก เขาไม่เชื่อว่านางจะบอกเรื่องนี้ให้ลูกรู้ แต่ตอนนี้คิดๆดูแล้ว จากความฉลาดของเด็ก ไม่แน่นางอาจจะรู้ก็ได้ เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่ซื่อก็เก็บสีหน้ากลับไป นางออกจากอ้อมแขนของเหว่ยหมิง แล้วนั่งไปที่ริมเตียง “ไม่รู้ มันเกี่ยวอะไรด้วย ท่านอาแค่ตอบคำถามของข้าก็พอแล้ว” ปฏิกิริยาแบบนี้ ...... ไม่รู้จริงๆหรอ? เหว่ยหมิงสงสัย แต่เห็นนางเป็นแบบนี้ คิดว่าคงไม่มีทางพูดความจริงแน่ๆ เขาหันหน้าไปหาเซี่ยวี่ซื่อ ยื่นมือไปจับศีรษะของนาง “ข้าจำได้ว่าเคยมีคนเรียกข้าว่าพ่อต่อหน้าคนมากมาย แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาถามคำถามแบบนี้ล่ะหะ?” เหว่ยหมิงไม่ได้บอกว่าอยากหรือไม่อยาก เพราะคำตอบของคำถามนี้ไม่ควรเป็นเขาที่ยืนยัน แล้วผลของเรื่องนี้มันก็ไม่ได้จบที่คำว่า ‘อยาก’ ของเขา แต่จากที่เซี่ยวี่ซื่อได้ฟัง มันกลับกลายเป็นการยอมรับไป ในใจของนาง คาดหวังการมีพ่อมานานมาก ถึงแม้เซี่ยเฉินวี่จะขัดขวางนางไม่ให้รับเขาเป็นพ่อก็ตาม แต่ในใจนางก็แอบยอมรับเขาไปแล้ว จับหน้าเล็กๆที่อ่อนโยน ลูบหน้าที่กำลังได้ใจของนางแล้วพูดว่า “เอาล่ะ คราวนี้ก็พาท่านอาไปหาแม่เจ้ากัน” ............ นอกโบสถ์ เงาเล็กๆยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อเขาเห็นมีคนเดินเข้ามา หน้าเล็กๆก็ขมวดคิ้ว “เซี่ยวี่ซื่อ ใครสั่งให้เจ้าพาเขามา?” สีหน้าของเซี่ยเฉินวี่ดุดัน แต่ก็จนปัญญาเพราะเซี่ยวี่ซื่อไม่กลัวเขา ตอนนี้นางยังมีพ่อแท้ๆให้ท้ายด้วย นางยิ่งไม่กลัวอะไรทั้งนั้น “ท่านแม่บอกว่าให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านอา แต่ไม่ได้บอกนิว่าห้ามออกมา” เห็นเซี่ยเฉินวี่ไม่พูดไม่จา เซี่ยวี่ซื่อก็เงยหน้ามองเหว่ยหมิง “ท่านอาเข้าไปเถอะ เราสองคนจะเฝ้าอยู่ข้างนอก” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเฉินวี่ก็ไม่พอใจ เขายื่นมือออกไปขวางไว้ แล้วพูดว่า“ไม่ได้ ท่านแม่สั่งไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไป” หน้าของเซี่ยวี่ซื่อเริ่มย่น ยิ้ม แล้วดึงมือของเขาออก “เซี่ยเฉินวี่ เจ้าลืมไปแล้วหรอว่าใครช่วยท่านแม่เอาไว้? ท่านแม่เคยสอนเอาไว้ว่ามีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ท่านอามาเพื่อช่วยท่านแม่ เจ้าจะมาห้ามเขาได้ยังไง?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเฉินวี่ก็เงยหน้ามองเหว่ยหมิง “ครั้งที่แล้วเป็นความร่วมมือชั่วคราว วันนี้จะเหมือนกันได้ยังไง อีกอย่างในโบสถ์นี่ก็มีแค่ท่านแม่ไม่มีคนอื่น จะเกิดเรื่องได้ยังไง?” “ครั้งที่แล้วตอนท่านแม่เกิดเรื่องข้างๆก็ใช่ว่าจะไม่มีใคร สุดท้ายท่านแม่ก็หายไปอยู่ดีไม่ใช่หรอ? ท่านแม่ให้เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้เพื่อกันคนอื่น ไม่ใช่คนกันเอง ทำไมเจ้าถึงแยกไม่ออกนะ?” เมื่อได้ยินเซี่ยวี่ซื่อพูดว่า ‘คนกันเอง’ เหว่ยหมิงก็รู้สึกได้ใจ ใช้มือลูบไปที่ศีรษะของนาง แล้วหันไปมองเซี่ยเฉินวี่แล้วพูดว่า“พาน้องสาวของเจ้ากลับไปก่อน ไม่ว่าแม่ของเจ้าคิดจะทำอะไรข้ารับรองว่านางจะกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าเป็นแบบนี้ให้ข้าเข้าไปได้ไหม?” ครั้งที่แล้วที่เซี่ยเฉินวี่ยอมร่วมมือกับเหว่ยหมิง มันแสดงให้เห็นว่าในใจของเขาลดอคติไปมากแล้ว แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับเขา แต่ว่าในตอนนี้เขารับประกัน ทำให้หัวใจเด็กน้อยหวั่นไหวอีกครั้ง เงียบไปครู่หนึ่ง เซี่ยเฉินวี่หันหน้าไปมองเซี่ยวี่ซื่อ “ให้เจ้าเฝ้าคนเอาไว้แค่คนเดียวก็ทำไม่ได้ ยังไม่กลับไปอีก ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเราแล้วไม่รู้หรือไง?” ได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่ซื่อยืนกระพริบตาปริบๆ เหว่ยหมิงยิ้ม แล้วก็สั่งอีกว่า “พวกเจ้าสองคนกลับเข้าห้องเลยนะ อย่าไปวิ่งเล่นที่ไหนเข้าใจไหม?” ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเด็ก แต่เหว่ยหมิงก็วางใจมากกว่าเซี่ยอีอี เมื่อเห็นเด็กสองคนนี้จากไปแล้ว เหว่ยหมิงถึงได้ผลักประตูเข้าไป 
已经是最新一章了
加载中