ตอนที่ 57 หายาสิบปี   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 57 หายาสิบปี
ต๭นที่ 57 หายาสิบปี เซี่นอีอียิ้ม เหมือนรู้อยู่แล้วว่า กูสวีจะต้องจับชีพจรเพื่อหยั่งเชิงนาง นั่นแสดงให้เห็นว่าเขารู้เรื่องการแพทย์ เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาถามอะไรแบบนั้นออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก “ก็ผ่านอะไรมามากพอควร แต่ว่าดูเหมือนท่านตาจะรู้อะไรที่ข้าไม่รู้อีก ไม่ทราบว่าท่านตายินดีที่จะบอกให้ข้ารู้ไหม?” กูสวีท่องเที่ยวแปดปี ก็เพื่อตามหาวิธีแก้คำสาปในร่างกายของเซี่ยอีอี เด็กคนนี้ถึงแม้เกิดมาก็เป็นบ้า แต่ว่ายังไงซะนางก็เป็นหลานแท้ๆ เป็นแก้วตาดวงใจของเขา เขาเรียนรู้วิชาแพทย์ตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่สามารถถอนคำสาปเลือดในตัวของนางออกไปได้ เด็กตัวแค่นี้ต้องมาทนทรมานแบบนี้ เขาเองก็ทนไม่ได้ แต่ในวันนี้นางไม่ต้องทนถูกคำสาปเลือดควบคุมอีกแล้ว กูสวีตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไร ในกระท่อม กาน้ำชาสแตนเลสกับใบชาหยาบๆกาหนึ่ง เซี่ยอีอีไม่เคยเห็นชาที่คุณภาพต่ำขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยเห็นอุปกรณ์คุณภาพต่ำขนาดนี้มาก่อน ขณะที่กูสวีกำลังพูด นางก็มองกาน้ำชาด้วยความใจลอย เหมือนฟังที่กูสวีพูดจบ เซี่ยหวินเทียนก็อึ้งไป หลายปีมานี้เขาไม่รู้เลยว่าในร่างของน้องสาวมีคำถูกคำสาปที่ไม่สามารถแก้ได้ เขามองไปที่เซี่ยอีอี เห็นนางกำลังตื่นเต้นกับกาน้ำชาอยู่ เขาก็ถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วก็เรียนว่า: “อีอี” เมื่อได้ยินดังนั้น คนใจลอยนั้นก็มองไปที่กูสวี “ท่านตาหมายความว่า หากต้องการถอนพิษเลือดนี้จะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายดูสักครั้งงั้นหรอ แต่ว่าใครจะรับประกันได้ว่าหากข้าตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาอีก หากไม่รอดข้าก็ตายอย่างไม่เป็นธรรมน่ะสิ?” จะพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด กูสวีรู้อยู่แล้วแบบนี้มันอันตราย “ในเมื่อต้องถอนคำสาปเลือดของเจ้า ตาก็จะไม่มีทางให้เจ้าตายเด็ดขาด บนโลกใบนี้มีคนๆหนึ่งรับประกันได้ว่าเจ้าจะรอด แต่ว่าเขาเป็นคนหยิ่ง เห็นแก่เงิน แต่ไม่เห็นแก่ใคร” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของกูสวีก็ลำบากใจ เซี่ยอีอีเองก็ขมวดคิ้ว ในใจก็เริ่มสงสัยคนที่เขาเอ่ยถึง “คนที่ท่านตาหมายถึง อย่าบอกนะว่าหมอเทวดาในยุทธภพที่ชื่อว่าเหมียวตู๋เซียน?” กูสวีเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองนางอย่างตกใจ “เจ้าเคยได้ยินชื่อนางด้วยหรอ?” พูดจบ กูสวีก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วพยักหน้า: “เจ้าได้ยินชื่อของนางก็ไม่แปลก เพราะเจ้าก็ไปอยู่เมืองหวินเฉิงตั้งห้าปี” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้มเขินๆ “ท่านตาเคยพบนางหรอ?” เห็นกูสวีสีหน้านิ่งไป เหมือนจะอายๆหน่อย เขาไอเหมือนอยากจะปกปิดอะไรบ้างอย่าง เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้จิบเข้าปาก “จริงๆก็ไม่ถือว่าได้เจอ หมอเทวดาคนนั้นนิสัยแปลกๆ หลายเดือนก่อนข้าไปหานางมา แต่พอนางได้ยินว่าข้าไม่มีเงินก็เลยไล่ข้าออกมา เห้อ ท่านตาไม่เอาไหน ไปท่องเที่ยวตั้งหลายปีสืบมาได้แค่นี้ แม้แต่หมอเก่งๆสักคนก็ไม่มีเลย” ‘เป็นหมอ ไม่ควรเห็นแก่เงินเพื่อช่วยชีวิตใคร เจ้าใช้เงินซื้อชีวิตคนเจ้ามันไม่คู่ควรเป็นหมอเทวดา’ ประโยคนี้ที่ได้ยินเมื่อหลายเดือนก่อน เหมือนมันจะย้อนกลับมาให้เซี่ยอีอีได้ยินอีกครั้ง มิน่าทำไมนางถึงได้รู้สึกคุ้นหูชื่อของกูสวี ที่แท้เขาก็คือคนที่ไม่มีเงินแล้วยังเถียงกับนางด้วยหลักการอีกมากมาย สุดท้ายนางก็เขวี้ยงถ้วยชาไล่เขาออกไป! เซี่ยอีอีเงยหน้าขึ้นมา เห็นกูสวี ยิ้มแล้วพูดว่า: “เหอะๆ ท่านตาลำบากเพื่อข้ามาหลายปี อีอีรู้สึกไม่สบายใจเลย แต่ว่าตอนนี้อีอีไม่เป็นอะไรแล้ว ในเมื่อคำสาปเลือดยังอยู่ในตัวข้า แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับข้าในการทำอะไร ในเมื่อมันไม่เป็นอุปสรรคเก็บมันไว้ก็ได้ เพราะข้ายังไม่อยากรนหาที่ตาย” หากนางตาย งั้นเหมียวตู๋เซียนก็คงต้องตายด้วย ใครจะมาช่วยนางล่ะ? ล้อเล่นหรือเปล่า! เห็นนางไม่เป็นอะไรมากแล้ว คำพูดของนางก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ในเมื่อคนไม่เป็นไร ก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยง เพราะมันก็เป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยง กูสวีพยักหน้า แล้วก็นึกถึงตอนที่นางรู้จักสมุนไพรที่อยู่นอกบ้าน จึงถามว่า: “เมื่อกี้เหมือนเจ้าจะรู้จักคุ้นเคยมันดี เจ้ารู้เรื่องการแพทย์ด้วยหรอ?” เซี่ยอีอีไม่กล้าบอกเขาว่ารู้ ยิ่งไม่กล้าบอกเขาด้วยว่านางคือเหมียวตู๋เซียน หากเขารู้ว่าคนที่ไล่เขาเป็นหลานของเขาเอง เขาจะรู้สึกยังไง! นางยิ้ม ส่ายหน้า “ไม่รู้ แค่หลายปีมานี้ไม่มีอะไรทำ เห็นอะไรในหนังสือแพทย์แปลกๆมามากเท่านั้นเอง” กูสวีเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย คิดแค่ว่านางก็อายุขนาดนี้แล้ว แถมยังถูกตระกูลเซี่ยทอดทิ้งมานานหลายปี คงไม่มีใครสอนเรื่องการแพทย์กับนางอยู่แล้ว เขาตบมือของนางเบาๆ แล้วพูดว่า: “พริบตาเดียวเจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว หากข้ารู้เร็วกว่านี้ว่าเจ้าต้องลำบากแค่ไหนที่อยู่ตระกูลเซี่ย ข้าจะรีบกลับมารับเจ้าไป” เซี่ยอีอีเห็นท่านตาคนนี้ดูจะรักและเอ็นดูนางมาก ไม่งั้นคงไม่ออกเดินทางไปหาวิธีรักษานางตั้งแปดปี แต่ว่านางอยากจะพูดว่า เขาเดินทางมาตั้งหลายปี จนมากขนาดกาน้ำชาก็ซื้อไม่ได้ขนาดนี้เลย ยังคิดจะมารับนางมาอยู่ด้วย ถ้าเป็นยังนั้นจริงตอนนี้นางจะเป็นยังไง?! ตอนนี้เองเซี่ยหวินเทียนที่มีความคิดเหมือนกับเซี่ยอีอี อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วพูดว่า: “ยังดีที่ท่านไม่ได้มารับอีอีไปอยู่ด้วย ไม่งั้นนะ น้องสาวคนสวยของข้าคนนี้ตอนนี้บนหัวอาจจเปื้อนแต่ดินก็ได้” คำพูดของเซี่ยหวินเทียนทำให้เซี่ยอีอีหัวเราะ กูสวีเองก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา “ก็ใช่ เด็กนี่หน้าตาดีเลยทีเดียว หากข้ารับนางไปกับข้าด้วย สงสัยแย่แน่” “ท่านตาอย่าพูดแบบนั้น ไม่ได้ไปกับท่านเพราะอีอีไม่มีวาสนา อีอีคิดอยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวให้ทั่วเลย แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที ท่านตากลับมาครั้งนี้คงไม่ไปไหนแล้วใช่ไหม ท่านคนเดียวอย่าอยู่ที่นี่อีกเลยนะ กลับไปในเมืองพร้อมกับเราเถอะ” “ใช่ ท่านตาอายุมากแล้ว อย่าออกไปไหนอีกเลยนะ อีอีเองก็ไม่เป็นไรแล้ว ท่านเองก็ไม่ต้องออกไปหาสมุนไพรอะไรอีกแล้ว ตามเรากลับเมืองเถอะนะ!” เซี่ยหวินเทียนเดิมไม่รู้เป้าหมายที่กูสวีออกไปท่องเที่ยว แต่ตอนนี้รู้แล้ว มันทำให้เขารู้สึกเหงื่อออกมาก แต่ในเมื่อเซี่ยอีอีไม่เป็นอะไรแล้ว ชายแก่อย่างเขาก็ไม่ต้องออกไปเสี่ยงแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น กูสวีก็ลูบหนวดแล้วยิ้ม ท่าทีการตามพวกเขากลับเมืองไม่ชัดเจนมากนัก เซี่ยอีอียิ้มแล้วถามว่า: “ท่านตาไม่คิดจะตามเรากลับไปหรอ?” “เด็กดี ความคิดของพวกเจ้าข้าเข้าใจ แต่ว่าข้าท่องเที่ยวคนเดียวมานานหลายปี หากตอนนี้ให้ข้าอยู่ในบ้านใหญ่โตไม่ออกไปไหนเลย ข้าคงบ้าตาย ตอนนี้ร่างกายของนางก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าเองก็ถือว่าไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว ต่อไปจะได้ออกไปท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ แผ่นดินกว้างใหญ่ จะจบง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง?” คำพูดของกูสวีสองพี่น้องเข้าใจดี เขาไม่เพียงไม่อยากกลับไปพร้อมพวกเขา แม้แต่บนเขาเฟิ่งหวงนี่เขาก็ไม่ได้อยากจะอยู่ เซี่ยอีอีเบะปาก “ท่านตานี่ดื้อเหมือนเด็กเลย” เมื่อได้ยินดังนั้น กูสวีก็หัวเราะร่า ใช้มือใหญ่ๆของเขาลูบหัวของนาง “เจ้าเด็กนี่ ปากคอเลาะร้ายจริง ตอนนี้ตาก็ไม่ต้องห่วงว่าใครจะมารังแกเจ้าอีกแล้ว” เห็นเขาเป็นแบบนี้ เซี่ยอีอีก็รู้สึกเจ็บปวด เขาอายุมากขนาดนี้แล้ว แต่กลับออกเดินทางเพื่อนาง ตอนนี้ไม่ยอมกลับเมืองไปพร้อมพวกเขาอีก ดูผิวเผยเหมือนอยากจะเดินทางต่อไป แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า ยิ่งไม่อยากให้พวกเขาพี่น้องต้องเป็นห่วง “ท่านตาท่านวางใจเถอะ อีอีจะไม่ถูกใครรังแกอีก หากท่านตาต้องการจะไป อย่าไปเหมือนครั้งที่แล้วอีก จำไว้ว่าต้องกลับมาหาข้ากับท่านพี่บ่อยๆ หากท่านเหนื่อย ท่านกลับมาพึ่งเราได้ตลอดเวลา!” ณ ร้านเหล้า “นางพูดแบบนั้นจริงหรอ?” มีเสียงๆหนึ่งเหมือนจะโกรธมาก จางชิงเอ๋อกำหมัดแน่น เว่ยเฉินพยักหน้าเบาๆ “ใช่ นางบอกให้ข้าหย่ากับเซี่ยวี่เสวียน ไม่งั้นนางจะไม่สนใจข้าอีก” เมื่อได้ยินดังนั้น จางชิงเอ๋อรู้สึกโกรธจนหายใจไม่ออก ไม่สนใจเขา งั้นนางอยากจะสนใจใคร? เว่ยหมิงหรอ? นางทำอะไรมากมายขนาดนี้ ก็เพื่อดันเซี่ยอีอีไปให้กับเว่ยเฉิน หากล้มเหลว ที่นางทำไปมันจะมีประโยชน์อะไร? จางชิงเอ๋อจ้องไปที่เว่ยหมิง สายตาดูถูกเหยียดหยามเขามาก “ผู้หญิงคนเดียวก็ง้อไม่ได้ ทำไมไร้น้ำยาแบบนี้ เจ้ายังหายใจอยู่ไปทำไม?” “เจ้า .......” น้ำเสียงอันเลวร้ายแบบนี้ทำให้เว่ยเฉินรู้สึกโกรธมาก เขามาหานางเพื่อให้นางคิดหาวิธี ไม่ได้ให้นางมาตำหนิเขา “เจ้าอะไร ข้าพูดอะไรผิด? นางบอกให้เจ้าหย่ากับเซี่ยวี่เสวียนแต่ไม่ได้บอกไม่แต่งกับเจ้าซะหน่อย หากเจ้าอยากได้นางจริงๆ หย่ากับผู้หญิงสักคนจะเป็นอะไรไป? เพราะยังไงนางก็เป็นพระชายาของเจ้ามาห้าปีแล้ว” คำพูดนี้พูดออกมาได้ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เซี่ยวี่เสวียนถึงแม้แต่งเข้าจวนไปในฐานะของเซี่ยอีอี แต่ก็เป็นการยินยอมจากฮ่องเต้ ตอนนี้เขาอยากจะหย่าเกรงว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้น “เจ้าพูดง่าย นางไม่ได้ทำอะไรผิด ต่อให้จะหย่ากับนางจริงๆก็ต้องมีเหตุผล!” เขาพูดแบบนี้แสดงว่ามีใจคิดจะหย่าจริงๆ เพียงแค่ว่าไม่รู้จะทำยังไง ดังนั้นเว่ยเฉินถึงมานั่งเครียดอยู่ตรงนี้ “ไม่ได้ทำอะไรผิดก็คิดวิธีให้นางทำผิดสิ เรื่องแค่นี้จะไปยากอะไร?” จางชิงเอ๋อพูดด้วยความไม่พอใจ เกิดและโตในวังเห็นอะไรมาก็มากไม่มีแผนอะไรบ้างเลยหรอ? แค่นี้ก็คิดไม่ได้ เป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ “คิดวิธี? คิดวิธีอะไร?” จางชิงเอ๋อทนไม่ไหวจ้องไปที่เขาด้วยสายตารุนแรง หากไม่ใช่เพราะเซี่ยอีอี ทำให้นางต้องออกห่างจากเว่ยหมิง นางก็ไม่มีทางร่วมมือกับคนอย่างนี้เด็ดขาด นางรู้สึกอึดอัด แต่ก็พูดด้วยความใจเย็นว่า: “จะว่าไปแล้ว เซี่ยวี่เสวียนแต่งเข้าจวนเจ้าห้าปีแล้วไม่มีลูกเลย แค่นี้เจ้าก็หย่ากับนางได้แล้ว” เมื่อพูดแบบนี้ออกมา เว่ยเฉินรีบปฏิเสธ “เรื่องนี้ไม่ได้ ครั้งที่แล้วนางตั้งครรภ์แล้วแท้งลูกไป มันเป็นความผิดของข้า” เมื่อได้ยินดังนั้น จางชิงเอ๋อก็ยิ้ม “เหอะ ดูไม่ออกเลยนะ ว่าเจ้าเป็นคนมีน้ำใจขนาดนี้” เว่ยเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบน้ำเสียงหยิ่งยโสของนาง หากไม่ใช่ว่านางบอกว่านางช่วยเขาได้ เขาไม่มีทางมาข้องเกี่ยวกับคนอย่างนางแน่นอน เห็นเว่ยเฉินรู้สึกโกรธ แล้วยังไง จางชิงเอ๋อเหลือบไปมองเขาแล้วพูดว่า: “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า หากเจ้าอยากแต่งกับเซี่ยอีอีจริงๆ เก็บความมีน้ำใจของเจ้าเอาไว้ก่อน ไม่งั้นเทพเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ในเมื่อเจ้าบอกว่าใช้เรื่องลูกมาเป็นข้ออ้างกับเซี่ยวี่เสวียนไม่ได้ งั้นก็หาเหตุผลหาวิธีที่ทำให้หย่ากับนางได้สิ ความหมายของข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ เพียงแต่ว่าจะลงมือยังไงก็อยู่ที่ตัวเจ้า” ความหมายของจางชิงเอ๋อเว่ยเฉินเข้าใจดี เรื่องสร้างเรื่องใส่ร้ายคนอื่นมีมานานในวังหลวง เว่ยเฉินกำลังก้มหน้าคิด เสี่ยวซือจู่ๆก็บุกเข้ามา เว่ยเฉินตะคอกออกไปด้วยความหัวเสีย: “เสียมารยาท ประตูก็ไม่เคาะก็เปิดเข้ามาแบบนี้ได้หรอ?” เสียงของเสี่ยวซือตกใจ แล้วรีบคุกเข่าลง จากนั้นก็รีบพูดว่า: “องค์ชายทรงอภัยด้วย บ่าวยอมรับการลงอาญา แต่ว่าองค์ชายจะต้องกลับจวนเดี๋ยวนี้ พระชายารองหวีทรงแท้ง ตอนนี้เอาแต่คิดจะฆ่าตัวตาย” ได้ยินดังนั้น เว่ยเฉินก็รีบลุกขึ้น “แท้ง? เพราะอะไร? เมื่อคืนหมอหลวงบอกว่าครรภ์ของนางดีไม่ใช่หรอ แล้วทำไมจู่ๆถึงได้แท้งล่ะ?” เสี่ยวซือส่ายหน้าด้วยความลำบากใจแล้วพูดว่า: “ไม่ใช่จู่ๆก็แท้ง แต่เป็นเพราะพระชายาเอกกับพระชายารองหวีทะเลาะกัน นางพลาดตกจากบันไดลงมา ดังนั้น ......” “ฮ่าฮ่า” เสี่ยวซือพูดยังไม่ทันจบ จางชิงเอ๋อจู่ๆก็หัวเราะออกมา เว่ยเฉินมองไปที่นางด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่านางหัวเราะทำไม จางชิงเอ๋อเก็บยิ้มกลับไป แล้วมองไปที่เสี่ยวซือ “กำลังเครียดอยู่เลยว่าจะใช้วิธีอะไร แต่นางกลับราหาที่เองซะงั้น ดูท่าวิธีของจ้าคงจะไม่ได้ใช้ เรื่องนี้อยู่ที่เจ้าแล้ว” คำพูดของจางชิงเอ๋อทำให้เว่ยเฉินรู้สึกขึ้นมาว่านี่มันคือโอกาส เขามองไปที่จางชิงเอ๋อ ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เดินออกไป ............ พริบตาเดียว อากาศก็ใกล้เขาฤดูใบไม้ผลิแล้ว การล่าสัตว์ที่หนึ่งปีมีครั้งกำลังจะมาถึง เซี่ยอีอีสวมชุดขี่ม้า แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการขี่ม้า ชุดของนางทำให้นางต้องยืดตัวตรง หยางเฉียนหลิงได้รับเทียบเชิญให้มาด้วยกัน แน่นอนว่า ได้ขออนุญาตจากฮ่องเฮาแล้ว แต่ว่าหลังจากนั้นนางถึงได้รู้ว่า ต่อให้นางไม่ไปขอพระราชทานอนุญาต ก็มีคนเตรียมจะให้นางมาด้วยกันอยู่แล้ว เห็นจางหายตัวติดกับหยางเฉียนหลิง หยางเฉียนหลิงยิ้มไม่หุบ จากนั้นก็บังเอิญไปสบตากับเซี่ยวี่เสวียนที่กำลังโกรธ เซี่ยอีอีเหลือบไปมอง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เรื่องที่เว่ยเฉินจะหย่าเข้าหูเซี่ยอีอีมาแล้ว แต่นางไม่ได้สนใจ แต่ว่าตระกูลเซี่ยยังมีนางเฉินซื่ออยู่ นางโวยวายขึ้นมา ต่อให้ไม่อยากรู้ก็ได้รู้ แต่ว่า เรื่องการแต่งงานยังไงก็เป็นพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ เซี่ยวี่เสวียนแต่งงานแทนก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าบอกว่าจะหย่าก็จะหย่า ดังนั้นเรื่องนี้เลยลากยาวมาจนถึงตอนนี้ “อีอีเจ้าขี่ม้าเป็นไหม?” เซี่ยหวินเทียนถาม เขารู้จักน้องสาวของเขาคนนี้น้อยมากๆ ในความทรงจำของเขาน่าจะไม่เป็น แต่ว่าตั้งแต่นางกลับเมืองหลวงมามีเรื่องให้เขาได้ประหลาดใจเยอะมาก เขาไม่รู้ว่านางทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง เซี่ยอีอีมองไปที่ฝูงม้า แล้วพยักหน้าเบาๆ “จะว่าเป็นก็เป็น แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ล่าสัตว์มันเป็นเรื่องของผู้ชาย ข้ารอกินอย่างเดียวดีกว่า” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยหวินเทียนก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาพบว่า เจ้าเด็กคนนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดในตัวของนางก็คือขี้เกียจขึ้น ทำอะไรก็ได้ให้ง่ายที่สุด หากนางไม่ขยับได้นางก็จะไม่ทำอะไรเลย “ก็ได้ ตลอดทางขึ้นเขามาเจ้าก็เหนื่อยมากแล้ เดี๋ยวทางนี้กลับกันแล้วเจ้าก็กลับไปพักที่กระโจมเถอะ” เซี่ยอีอีเพิ่งพยักหน้า นางคิดอยากจะกลับกระโจมไปเดี๋ยวนี้เลย เมื่อหันหลังกลับไปก็เห็นเว่ยหมิงกับจางชิงเอ๋อยืนอยู่ไม่ไกล สายตาของเว่ยหมิงเซี่ยอีอีตั้งใจไม่สนใจ แต่ว่าจางชิงเอ๋อกลับ ...... “ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นหญิงที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ขี่ม้าคงเป็นใช่ไหม งั้นเรามาลองแข่งกันไหม?” เสียงที่ดูเหย่อหยิ่งแสดงให้เห็นว่าจางชิงเอ๋อไม่พอใจหยางเฉียนหลิงมาก นางทำอะไรเซี่ยอีอีไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่นางแพศยาอย่างนางก็มายืนข้างๆพี่ชายของนางได้ มันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี เมื่อได้ยินดังนั้น คนที่อยู่ใกล้ๆทั้งหมดก็มองมาที่จางชิงเอ๋อ หยางเฉียนหลิงกำลังจะเอ่ยปากพูด จางหายกลับแย่งพูดขึ้นมาก่อน “จางชิงเอ๋อเจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก? วันนี้ออกมาล่าสัตว์ ไม่ใช่งานแข่งม้า เจ้าอยู่เฉยๆได้ไหม” จางชิงเอ๋อผลักจางหายออก แล้วเดินหน้าขึ้นไป มองไปที่หยางเฉียนหลิงด้วยความท้าทาย “ทำไม เจ้าไม่กล้าหรือไม่เป็น? หากเจ้าไม่กล้า งั้นก็ยอมแพ้กับข้า หากไม่เป็น งั้นหญิงความสามารถอันดับหนึ่งฉายานี้ก็ไร้ความหมาย” “ข้าจะแข่งกับเจ้า” ถึงแม้หยางเฉียนหลิงไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเซี่ยอีอี แต่ว่าก็ไม่ใช่คนนุ่มนิ่ม นางเองก็ไม่ชอบจางชิงเอ๋อเหมือนกับที่จางชิงเอ๋อไม่ชอบนางนั่นแหละ ในเมื่อนางไม่มีอะไรทำอยากจะแข่ง งั้นนางก็ไม่มีเหตุผลที่จะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าของนาง คำตอบของหยางเฉียนหลิงทำให้ใครหลายคนคาดไม่ถึง แม้แต่จางชิงเอ๋อเองสีหน้าก็เปลี่ยนไป จางหายมองนางแล้วค่อยๆขมวดคิ้ว ถามด้วยความเป็นห่วงว่า: “เจ้าไหวหรอ?” สำหรับหยางเฉียนหลิงขี่ม้าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ว่า นางไม่เคยแข่งกับใครมาก่อน ถึงแม้นางจะพูดออกไปด้วยความโกรธ แต่ในความเป็นจริงในใจก็ไม่ได้มั่นใจนัก เซี่ยอีอีรู้นิสัยของนางดี แต่ว่านางคิดไม่ถึงว่านางจะรับปากจางชิงเอ๋อง่ายขนาดนี้ นางเดินมาแล้วมองไปที่จางชิงเอ๋อ จากนั้นก็เดินไปจับมือของหยางเฉียนหลิง “เจ้าขี่ม้าเป็นจริงๆใช่ไหม? อย่าอวดเก่ง” เห็นนางขมวดคิ้ว หยางเฉียนหลิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “เจ้าวางใจได้ ข้าขี่ม้าเป็นจริงๆ” นางบอกว่าขี่ม้าเป็น เซี่ยอีอีเชื่อนางอยู่แล้ว แต่ว่าอีกฝ่ายคือจางชิงเอ๋อ นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี “แพ้ชนะไม่สำคัญ เจ้าจะต้องปลอดภัยนะ” เห็นเซี่ยอีอีเป็นแบบนี้น้อยมาก หยางเฉียนหลิงก็หลุดยิ้ม แล้วจับมือนาง “ข้ารู้แล้ว” มีหลายคนออกจากตรงนั้นไป แต่ก็ไม่ได้กระทบต่อคนกลุ่มมาก ไม่ไกลจากที่ตั้งค่ายเท่าไหร่ ระยะทางเหมาะมากกับการแข่งขี่ม้าไปกลับ หลังจากหยางเฉียนหลิงขึ้นม้าไปเซี่ยอีอีก็ย้ำอีก เมื่อเห็นดังนั้น จางชิงเอ๋อก็ยิ้มไม่หยุด แล้วก็ไม่พูดอะไร แล้วก็ดึงบังเหียนม้าแล้วเดินไป เซี่ยอีอีเดินไปข้างๆเซี่ยหวินเทียน แล้วจ้องไปที่เว่ยหมิงด้วยสายตาที่รุนแรง เรื่องนี้ถึงแม้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่ว่าหากไม่ใช่เพราะเขา พวกนางจะไปทำให้จางชิงเอ๋อโกรธได้ยังไง ใครก็บอกผู้หญิงเป็นภัย แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ดีเท่าไหร่
已经是最新一章了
加载中