ตอนที่ 58 ตั้งใจปล่อยนาง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 58 ตั้งใจปล่อยนาง
ต๭นที่ 58 ตั้งใจปล่อยนาง เสียงฟาดแส้ดังขึ้น ม้าสองตัววิ่งทยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สิ่งที่กำลังดูทำให้จางหาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหยางเฉียนหลิงที่ดูร่างกายอ่อนแอ กลับจะขี่ม้าได้รวดเร็วขนาดนั้น เมื่อกี้นางพูดว่าขี่ม้าได้ เขาคิดว่านางแค่เป็นแบบผิวเผินเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้เลย “ไม่เสียชื่อที่เป็นหญิงที่มีความสามารถ เรื่องอะไรก็ไม่ยากเกินความสามารถของนางจริงๆ” เซี่ยอีอีพูดเสียงเบาๆ เว่ยหมิงยิ้มแล้วมองมาที่นาง ความสามารถในการขี่ม้าของจางชิงเอ๋อใครต่างก็รู้ดี แต่หยางเฉียนหลิงกลับขี่ม้าได้ขนาดนี้ มันนอกเหนือความคาดหมายจริงๆ มองดูหญิงสาวสองคนขี่ม้าไล่ตามกันแบบนี้ ในสายตาของเซี่ยหวินเทียนมีแต่ความชื่นชม แต่ปากกลับบอกว่า: “อิจฉาคนอื่นทำไม น้องสาวคนสวยของข้าเองก็ไม่ได้ด้อยกว่านิจริงไหม? หากเป็นเจ้า ข้าเชื่อว่าจะดีกว่าด้วย” คำชมแบบนี้ก็ทำให้เซี่ยอีอีภูมิใจไม่น้อย เสียงหัวเราะเบาๆลอดออกมาจากปากของเซี่ยอีอี “ท่านพี่ ท่านชมน้องสาวตัวเองต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เลยหรอ ถ้าเกิดมีใครมาหลงรักข้าเข้าจะทำยังไง?” เซี่ยหวินเทียนอึ้งไป จากนั้นจู่ๆก็มองไปที่เว่ยหมิงที่ยืนอยู่ตรงข้าม เมื่อเห็นดังนั้น ปากของเซี่ยอีอีกระตุก นางสาบานได้เลยว่าไม่ได้หมายถึงใคร แต่ว่าพี่ชายของนางไม่มีอะไรทำมองไปที่เขาทำไมกัน มันทำให้คนอื่นเข้าใจผิดรู้หรือเปล่า? เสียงฝีเท้าของม้าใกล้เข้ามาอีกครั้ง เห็นทั้งคู่ควบม้ามาสูสีกัน แต่ว่าด้วยนิสัยของจางชิงเอ๋อ จะยอมให้หยางเฉียนหลิงเสมอกับนางได้ยังไง? ทันใดนั้นเอง นางก็สะบัดมือ ของสิ่งหนึ่งที่เหมือนเป็นประทัดถูกโยนใส่ใต้เท้าม้าของหยางเฉียนหลิง เสียงม้าร้องดังขึ้น ม้าดีดตัวยืนตรงขึ้นสองเท้า หยางเฉียนหลิงรีบดึงเชือกเอาไว้ แต่ม้าตกใจเกินไป ทำให้นางบังคับไม่อยู่ เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนต่างตกใจแล้ววิ่งเข้าไป คนแรกที่พุ่งตัวออกไปคือจางหาย เขากระโดดลอยตัว ดีดตัวไปบนหลังม้ากอดหยางเฉียนหลิงเอาไว้ในอก แล้วดึงหยางเฉียนหลิงลงมาจากม้า แล้วปล่อยม้าให้มันวิ่งไป จางชิงเอ๋อเข้าเส้นชัยไปแล้ว นางหันหลังกลับมา สีหน้าท่าทางเป็นผู้ชนะแล้วเดินมาหาทุกคน แต่ว่าไม่มีใครสนใจนางที่เป็นผู้ชนะเลย “เฉียนหลิง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” เมื่อเห็นแผลที่มือของหยางเฉียนหลิง เซี่ยอีอีก็ขมวดคิ้ว ในใจก็เหมือนจะโมโหอย่างมาก หยางเฉียนหลิงเหมือนจะตกใจมาก นางส่ายหน้า ไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่อยู่บนมือเลย ยิ่งไม่ได้ทันสังเกตุเลยว่าตอนนี้นางอยู่ในอ้อมกอดของจางหาย “จางชิงเอ๋อ เจ้ารู้จักคำว่าเกินไปบ้างไหม?” จางหายตะคอก ทำให้เซี่ยอีอีตกใจ นางหัวไปมองคนที่อยู่บนหลังม้า เห็นท่าทางของนางไม่มีคำว่ารู้สึกผิดเลย “แข่งขันกัน ก็ไม่มีบอกนิว่าห้ามขัดขวางฝ่ายตรงข้าม” เห็นนางดื้อด้านไม่ผ่อนปรน จางหายก็โกรธจนควันออกหู เหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เว่ยหมิงดันพูดขึ้นมาก่อน “ชิงเอ๋อ พอได้หรือยัง” น้ำเสียงของเว่ยหมิงที่ไม่อ่อนโยนไม่โกรธไม่หือไม่อือ มันใช้ได้ผลมากกว่าความโกรธของจางหาย จางชิงเอ๋อเบะปาก ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ท่าทีของนางก็อ่อนลง “ก็ได้ ขอโทษ ข้าไม่ควรทำให้ม้าของเจ้าตกใจ แบบนี้พอใจแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงแบบนี้ พูดก็เหมือนไม่พูด ยิ่งทำให้คนรู้สึกโกรธ เซี่ยอีอีไม่พอใจกับคำขอโทษของจางชิงเอ๋อ แล้วก็จ้องเว่ยหมิงด้วยความไม่พอใจ “คำขอโทษก็ช่างมันเถอะ จะไม่ได้ไม่ต้องมีใครมาอ้อนวอน” พูดแล้ว เซี่ยอีอีก็มองไปที่จางหาย: “ซื่อจื่อมอบหยางเฉียนหลิงกับข้า ข้าจะพานางไปพักเอง” “ให้ข้าดูแลนางดีกว่า นางถูกจางชิงเอ๋อทำจนต้องบาดเจ็บ ให้ข้าดูแลก็เหมาะสมแล้ว” จางหายรู้สึกเสียใจ แต่ว่าคำพูดของเขาเซี่ยอีอีกับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง นางมองหยางเฉียนหลิง เห็นนางไม่ได้พูดอะไร เซี่ยอีอีขมวดคิ้ว ยิ้มแล้วพูดว่า: “ได้ งั้นรบกวนท่านซื่อจื่อด้วย” ในช่วงขณะเดียว จางหายเหมือนจะอึ้งไป ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทันใดนั้นเองจู่ๆก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของเซี่ยอีอีมันคุ้นมาก มันเหมือนรอยยิ้มที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายเดือน ขณะที่สติหลุดไป เซี่ยอีอีก็ยื่นมือไปที่หน้าของแล้วสะบัดไปมา “ซื่อจื่อ?” ความคิดประหลาดของเขาสลายไป เซี่ยอีอีเป็นหมอเทวดา? เป็นไปไม่ได้ ชื่อของเหมียวตู๋เซียนมันมาจากยุทธภพ เมื่อห้าปีก่อนเซี่ยอีอียังเป็นบ้าอยู่เลย ภายในระยะเวลาสั่นๆห้าปีจะกลายเป็นหมอเทวดาไปได้ยังไง? “ท่านหญิงโปรดวางใจ ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี ข้าขอตัวพานางไปหมอหลวงก่อน พวกท่านตามสบายเถอะ” จางหายสติหลุดชัดมาก เซี่ยอีอีจะดูไม่ออกได้ยังไง อาการสติหลุดของเขามันทำให้นางกังวล แต่ว่าเห็นท่าทางของเขาภายหลังคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหามาก เพราะฐานะมันต่างจากนางมาก ต่อให้นางยอมรับ ก็อาจจะไม่มีใครเชื่อ “ท่านพี่ การล่าสัตว์ทางนั้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว จะกลับไปพัก” “ได้ เจ้าคนเดียวก็ระวังตัวด้วย บรรยากาศบนภูเขาไม่ค่อยดีนัก เจ้าอย่าวิ่งไปไหนล่ะ” เห็นนางเดินไป โดยไม่มีสายตาอาวรใดๆ เว่ยหมิงถอนหายใจโดยไม่มีเสียง ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรให้นางไม่พอใจอีก คิดอยากจะตามไปดู แต่ได้ยินเสียงสัญญาณของสนามล่าสัตว์ดังขึ้น ก็จนปัญญา เขาทำได้แค่เดี๋ยวค่อยไปดูนางอีกที ......... ภายในกระโจม กลิ่นกำยานหอมสบายเบาๆ เซี่ยอีอีตื่นมาก็ค่ำแล้ว รู้สึกว่าภายในค่ายนั้นเงียบมาก แสดงว่าการล่าสัตว์ยังไม่จบ “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรอ?” ตงวี่ถือกระต่ายป่ามาหนึ่งตัว เห็นเซี่ยอีอียืนอยู่นอกกระโจม ก็รีบเดินมา เห็นกระต่ายในมือนาง เซี่ยอีอีก็ถามด้วยความแปลกใจ: “กระต่ายนี่มาจากไหนกัน? ท่านพี่เขากลับมากันแล้วหรอ?” “เปล่า คุณชายยังไม่กลับมา กระต่ายนี่พวกขันทีน้อยอยู่ว่างๆก็เลยไปล่ากระต่ายเอาแถวนั้น ข้าเห็นว่าตัวนี้มันอ้วนดี ก็เลยไปขอพวกเขามาตัวหนึ่ง” “ตรงนั้นหรอ?” เซี่ยอีอีมองไปที่ตามที่ตงวี่ชี้ จากนั้นก็พูดว่า: “ไปเอาธนูมาให้ข้าที ข้าจะไปดูตรงนั้น” ต้นไม้ที่เคยถูกดักล่าตอนนี้มันไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีกแล้ว ภายใต้ความเงียบเซี่ยอีอีกำลังงีบอยู่ นางหลับตาแล้วฟังเสียงความเคลื่อนไหวโดยรอบ เสียงฝีเท้าม้าของผู้คนดังขึ้นในค่าย แต่ว่าไม่นานนักก็มีเสียงของฝีเท้าคนค่อยเดินเข้ามาใกล้ แขกไม่ได้รับเชิญสองคนเดินเข้ามาหานาง “เซี่ยอีอี” เสียงเรียกที่ไม่พอใจเป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว แต่ว่าในเมื่อนางมาหาเองมันก็ดีกว่าจะต้องไปหานางก่อน เซี่ยอีอีหันหน้าไป เห็นคนที่เดินมานั้นยิ้มแบบมีเลศนัย “ไม่เจอกันนานเลยนะ น้องสาวเป็นยังไงบ้าง” พูดจบ เซี่ยอีอีก็มองไปที่เฉี่ยวเอ๋อที่อยู่ข้างๆเซี่ยวี่เสวียน เห็นนางไม่ได้ทำอะไร เซี่ยอีอีก็ยิ้ม แล้วพูดว่า: “กลายเป็นนายแล้วก็ลืมฐานะของตัวเองไปเลยหรอ แม้แต่มารยาทก็ลืมไปหมด?” หลายปีมานี่ เฉี่ยวเอ๋ออาศัยการถือหางของเซี่ยวี่เสวียนไม่เคยทำความเคารพเซี่ยอีอีเลย แต่ตอนนี้นางเตือนสติขึ้นมา ทำให้นางก็เขินๆ จากนั้นก็ถอนสายบัว “คำนับท่านหญิงหยงเห๋อ” ถึงแม้จะเป็นการทำแบบขอไปที แต่เซี่ยอีอีก็พอใจ นางพูดว่า: “อืม ตามสบาย เป็นคนฉลาดจริงๆ มิน่าองค์ชายสี่ถึงได้ถูกใจเจ้า” คำพูดที่ยุแยงให้แตกกันแบบนี้มันทำให้เซี่ยวี่เสวียนเจ็บปวดที่สุด เห็นหน้าสีหน้าเปลี่ยน ดวงตาแดงก่ำ “เซี่ยอีอี เจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่? เจ้าไปพูดอะไรกับองค์ชายสี่ เขาถึงได้ทำกับพวกข้าแบบนี้” ได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้มแบบไม่มีพิษภัย “หือ? ข้าคุยกับองค์ชายสี่ตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่รู้ว่าท่านพี่หมายถึงเรื่องไหนล่ะ? หรือว่า เรื่องที่จะให้เขาหย่า?” เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของเซี่ยวี่เสวียนก็ถมึงทึง นางรู้ดีว่าจะต้องเป็นนางแพศยานี้แน่ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่งั้นเว่ยเฉินไม่มีทางบอกว่าจะหย่ากับนางแน่นอน ความโกรธทวีคูณเพิ่มขึ้น เซี่ยวี่เสวียนกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า: “นางแพศยา ข้าขอสู้ตายกับเจ้า” เห็นนางพุ่งตัวเข้ามา เซี่ยอีอีก็ไม่ได้ใส่ใ นางเอี้ยวหลบตัว เซี่ยวี่เสวียนไม่ได้สัมผัสถูกตัวนางแม้แต่ชายเสื้อ ทำให้นางล้มลง เซี่ยอีอีหันไปมองคนที่ล้มลงไม่เป็นท่า จากนั้นก็ยิ้ม “โอ้โห ร้อนใจหรอ? พูดแค่นี้เจ้าก็โกรธขนาดนี้เลยหรอ? หากวันไหนที่เว่ยเฉินหย่ากับเจ้าจริงๆขึ้นมา เจ้าจะเป็นยังไง?” เซี่ยวี่เสวียนรีบลุกขึ้นมา นางโกรธจนไม่มีสติแล้วพูดว่า: “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน เขาไม่มีทางหย่ากับข้าหรอก พระชายาเอกขององค์ชายสี่คือข้า ชาตินี้เจ้าอย่าคิดแย่งมันไป” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้มร้าย สายตาเย็นระเยือกสุด ชิงเอาไปหรอ? หึ ใครเสียดายกัน! “ดูท่าเจ้ายังคงไม่ยอมรับความจริงสินะ บอกเจ้าตามตรง ตำแหน่งพระชายาเอกอะไรนั่นข้าไม่ได้สนใจเลย ข้าอยากจะเห็นเจ้าทรมานมากกว่า เห็นเจ้าพ่ายแพ้หมดรูป เห็นเจ้าใช้ชีวิตอย่างทรมาน ข้ายิ่งมีความสุข ข้าจะให้เจ้ารู้ ผลของการทำให้ข้าโกรธมันเป็นยังไง” เซี่ยอีอีก้มหน้าลงมองไปที่ชายเสื้อของตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่เสวียนก็โกรธ “เซี่ยอีอีนังแพศยา ------” นางพุ่งตัวเข้าหาเซี่ยอีอี เหมือนอยากจะสู้ตายกับนาง แต่เซี่ยอีอีไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับนาง นางดึงคันธนูขึ้นพร้อมกับท่าพร้อมยิงลูกศรออกไป ความเชี่ยวชาญด้านธนูของเซี่ยอีอีทำใหเซี่ยวี่เสวียนไม่ทันได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีหัวลูกศรก็มาอยู่ที่ตรงหน้าของเซี่ยวี่เสวียนแล้ว สีหน้าของเซี่ยอีอีเต็มไปด้วยความได้ใจ จากนั้นเขาก็พูดว่า: “ธนูดอกแรกของวันนี้หากยิงเบี้ยวไป แล้วทำให้เจ้าตายไป องค์ชายสี่จะรู้สึกขอบคุณข้าไหม” เฉี่ยวเอ๋อเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้ามา แต่เหมือนจะไม่ได้คิดจะมาปกป้องเจ้านายของนาง กว่านางจะลืมตาอ้าปากได้ นางไม่อยากมาตายแบบนี้ นางอยู่ห่างจากลูกศรของเซี่ยอีอีมาก แล้วพูดร้องขอ: “คุณหนูสี่เป็นผู้สูงศักดิ์ ปล่อยคุณหนูของเราไปเถอะนะ” เซี่ยอีอีเหลือบไปมองเฉี่ยวเอ๋อ จากนั้นก็มองไปที่หัวลูกศรที่กำลังชี้เป้าไปที่หัวของเซี่ยวี่เสวียน รอยยิ้มของนางทำให้คนเดาไม่ได้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่านางจะพรั้งมือยิงธนูออกมาหรือเปล่า “ทำอะไรกัน?” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้นมา เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่เสวียนก็เหมือนมีเทพมาช่วย ในใจก็เบาใจไม่น้อย ขาของนางอ่อนลง ทรุดลงไปกับพื้น นางชี้ไปที่เซี่ยอีอี แล้วพูดว่า: “ท่านหยงอ๋องท่านมาได้จังหวะพอดี นางจะฆ่าข้า” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามันน่าตลก ผู้หญิงคนนี้ตกใจจนบ้าไปแล้วหรอ นางฟ้องใครไม่ฟ้อง ดันไปฟ้องเขา สมองคงหลวนไปแล้วแน่ๆ เซี่ยอีอีค่อยๆลดคันธนูลง หันไปมองเว่ยหมิง เหมือนไม่ได้สนใจสายตาของเขาเลย ทำให้เว่ยหมิงยิ้ม เขาเดินเข้าไปหาเซี่ยอีอี ไม่ได้สนใจคนที่ฟ้องเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็มองไปที่คันธนูที่อยู่ในมือของเซี่ยอีอี จากนั้นก็พูดเสียงเข้มๆแบบอ่อนโยน “ทำอะไร” เซี่ยอีอีหลบตา ท่าทางกำลังหัวเสียอย่างแรง ใบหน้าเล็กๆของนางตึงมาก จากนั้นก็พูดแบบน่าสงสารว่า: “ท่านพี่รังแกข้า” คำโกหกแบบไม่กระพริบตาของนางทำให้เซี่ยวี่เสวียนกับเฉี่ยวเอ๋ออึ้งไปเลย เมื่อกี้นางเพิ่งจะยกธนูขึ้นมาจะยิงพวกนาง นางคิดว่าท่านหยงอ๋องตาบอดหรือไง ถึงกล้าโกหกแบบนี้ มือใหญ่ๆของเขาจับไปที่ผมที่ปลิวของเซี่ยอีอี ความสนิทแบบนี้ทำให้เซี่ยวี่เสวียนกับเฉี่ยวเอ๋อยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “ใช้ธนูเป็นด้วย?” เซี่ยอีอีทำหน้าตาแบบหงุดหงิด นางส่ายหัว “ไม่เป็น” เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยหมิงก็ไม่ได้ตื้อถามถึงท่าทางการยิงธนูที่สวยงามอย่างเมื่อกี้ เขายิ้ม จากนั้นก็ยกมือของนางพร้อมธนูขึ้น “มาข้าสอนเจ้าเอง” เมื่อพูดจบ แทบไม่มีโอกาสให้ใครได้ทำอะไร คนที่ยืนอยู่หน้าเซี่ยอีอีก็เดินไปอยู่ด้านหลังของนาง เขายกมือของเซี่ยอีอีขึ้นมา ร่างกายสูงใหญ่ของเขามันโอบตัวนางไว้ในอ้อมกอดของเขาทั้งหมด คันธนูที่ถูกลดลงไปถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง แทบไม่ต้องออกแรงดึงมันอีกครั้ง “ถูกคนรังแก ก็รังแกกลับไปสิ จะไปยากอะไร?” เสียงมีเสน่ห์เบาๆ คำพูดของเขาเซี่ยวี่เสวียนได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยวี่เสวียนก็เหมือนเป็นฝุ่นไป เมื่อเห็นนางยกธนูชี้มา นางรู้สึกว่าขาของนางไม่มีแรงเลย แค่เผชิญหน้ากับเซี่ยอีอีคนเดียว ถึงนางจะกลัวแต่นางก็พนันได้ว่านางไม่กล้าลงมือ แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยนเป็นหยงอ๋อง เขาหากยิงธนูออกมา งั้นก็ไม่มีใครห้ามเขาได้แน่ๆ เห็นเซี่ยวี่เสวียนตกใจสุดขีด เซี่ยอีอีก็ยิ้ม แล้วพิงไปพูดกับเว่ยหมิงว่า: “เจ้าอยากจะฆ่าคนอีกแล้วหรอ?” “ไม่ใช่เจ้าอยากทำหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาของเซี่ยอีอีก็มีเลศนัย “มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากทำก็จะได้ทำนี่นาจริงไหม?” เว่ยหมิงยิ้ม ก้มหน้าไปใกล้หูนางแล้วพูดว่า “เพียงแค่เจ้ายอมเป็นชายาข้า เจ้าอยากจะทำอะไรก็ได้” คำพูดนี้มาแบบกะทันหัน เซี่ยอีอีแข็งทื่อไปเลย มือที่ดึงธนูผ่อนแรงลง จากนั้นก็ยิง มันแทบไม่ได้ให้เว่ยหมิงได้ทันคิดอะไรเลย ความเงียบมาเยือน แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่มี เซี่ยวี่เสวียนตกใจตาโตอยู่นาน นางค่อยๆเงยหน้าไปมองลูกศรที่ปักอยู่ที่ผมของนาง มันทำให้นางตัวสั่น ความกลัวมันทำให้นางควบคุมตัวเองไม่ได้ ขาของนางอ่อน จากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้น เซี่ยอีอีทิ้งคันธนู แล้วผลักเว่ยหมิงออก แล้วเดินไปที่นั่งยองๆลงตรงหน้าของเซี่ยวี่เสวียน แล้วพูดเสียงเบาๆว่า: “วันนี้ข้าสั่งสอนเจ้าแค่เล็กน้อย แต่จำเอาไว้ต่อไปถ้าเห็นข้าก็หลบไปซะ ไม่งั้น ข้าไม่รับประกันว่าธนูของข้าจะยิงถูกเป้าหรือเปล่า” เมื่อพูดจบ ก็ไม่ได้สนใจนายบ่าวที่กำลังสติหลุด ลุกขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยหมิง ยิ้มอย่างได้ใจ แล้วก็เดินจากไป ...... แสงแดดอ่อนๆกำลังสาดส่งลงมาทั่วทั้งป่าไม้ เว่ยหมิงค่อยๆเดินตามหลังนางไป สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม: “มันเรื่องอะไรกันทำไมนางถึงได้มาตอแยเจ้าแบบนี้?” “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ถามอะไรข้าแล้วซะอีก” เซี่ยอีอีเดินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้าต่อไป นางรู้ว่าเขาต้องถาม แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทนได้นานขนาดนี้ “ข้ารอเจ้าบอกกับข้าเอง” เว่ยหมิงรู้อยู่แล้ว ความอดทนของเขาเทียบนางไม่ได้ นางสามารถทำทุกอย่างได้โดยทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ไม่มีการพูด หรือ อธิบายใดๆ เซี่ยอีอีค่อยๆยิ้ม แล้วเดินเตะก้อนหินไป แล้วตั้งใจพูดว่า: “ยังจะเพราะอะไรได้อีกล่ะ ก็เพราะองค์ชายสี่น่ะสิ ผู้หญิงสองคนหึงหวงตบตี มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง?” เมื่อพูดจบ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเว่ยหมิง เซี่ยอีอีก็หันหน้ากลับไปด้วยความแปลกใจ เห็นสีหน้าเว่ยหมิงเคร่งเครียด นางก็ยักไหล่แล้วพูดว่า: “อย่าใช้สายตาแบบนี้มองข้าได้ไหม แล้วก็อย่าบอกข้านะว่าที่เจ้าช่วยข้าเจ้าเองไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ข้ามีเรื่องกับเซี่ยวี่เสวียนก็เพียงแค่เว่ยหมิงเท่านั้น คิดว่านอกจากเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าข้ากับนางจะผิดใจกันเรื่องอื่นอีกหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยหมิงก็ถอนหายใจยาวๆ ถูกต้อง เขาเดาได้แต่แรกแล้วว่านางกับเซี่ยวี่เสวียนนั้นเป็นเพราะอะไร แต่เขาก็ยังช่วยนาง ถึงแม้เขารู้ว่าต่อให้เขาไม่ช่วย นางก็จัดการเรื่องนี้เองได้ แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยอยู่ดี “เรื่องที่เว่ยเฉินทูลขอพระราชานุญาตหย่าเจ้ารู้หรือเปล่า” เว่ยหมิงถาม เซี่ยอีอีหยุดเดิน นางหันมามองเว่ยหมิง จากนั้นก็พูดออกไปตรงๆ “รู้ เพราะข้าเป็นคนบอกให้เขาทำ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องถามว่าเพราะอะไร แต่ว่าข้าไม่อยากบอก ความแค้นของข้าข้าจะจัดการเอง หวังว่าเจ้าจะไม่เข้ามาขวาง” คำพูดของนางชัดเจนมาก เว่ยเฉินขอหย่าเกี่ยวข้องกับนาง แต่ว่านางกลับมีเป้าหมายของนางเอง ขอแค่นางไม่ทรยศตัวเอง เว่ยหมิงก็ไม่คิดจะไปยุ่งเรื่องของนาง สายตาเคร่งเครียดแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน เว่ยหมิงพยักหน้า “ระวังตัวด้วยล่ะกัน อย่าให้ตัวเองมีอันตราย หากต้องการให้ข้าช่วยอะไร ก็มาหาข้าได้ตลอด” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเป็นคนลงมือโหดเหี้ยม แค่เรื่องของผู้ตรวจการหงก็เห็นได้ชัดแล้ว หากให้เขาช่วย เรื่องคงจบไปนานแล้ว แต่ว่าสำหรับคนพวกนั้น หากใช้วิธีง่ายๆจัดการ คงใจดีกับพวกเขามากเกินไป? “ได้ รู้แล้ว หากมีอะไรให้เจ้าช่วย ข้าจะไม่เกรงใจ” พูดจบ ก็หันหลังเดินไป เห็นตงหมิงวิ่งมาแต่ไกล เขามองไปที่เซี่ยอีอี จากนั้นก็พูดว่า: “ท่านอ๋อง เด็กสองคนนั้นขึ้นเขาไปแล้ว” ได้ยินดังนั้น เว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็ตะคอกด้วยความไม่พอใจว่า “บอกให้เจ้าส่งคนตามดูไว้ แล้วปล่อยให้ขึ้นเขาไปได้ยังไง?” “ทรงอภัยด้วยท่านอ๋อง กระหม่อมส่งคนตามไปแล้ว แต่คนที่กลับมาบอกว่า พวกเขาสองคนหลอกพวกเขาจนหลง” เซี่ยอีอียืนอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงทำหน้าแบบนี้ เด็กสองคนที่พวกเขาหมายถึงน่าจะหมายถึงเซี่ยวี่ซือกับเซี่ยเฉินวี่ แต่ว่าเป้าหมายที่พวกเขามาที่นี่คือมาล่าสัตว์ไม่ใช่หรอ ตอนนี้ฟ้าก็มืดแค่เล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่มืดสนิทเลย พวกเขาร้อนใจทำไมกัน? เห็นตงหมิงหน้าแทบจะมุดดินอยู่แล้ว เซี่ยอีอีก็พูดขึ้นว่า: “ก็แค่ขึ้นเขาไป ตอนนี้ฟ้าก็ยังไม่มืด เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาเอง” เว่ยหมิงเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ แล้วมองไปที่เซี่ยอีอี “ภูเขาที่ตงหมิงหมายถึงไม่ใช่ภูเขาที่เราไปล่าสัตว์กัน แต่เป็นภูเขาลูกข้างๆที่ชื่อว่าผาเมฆ ที่นั่นมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่เยอะมาก ช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเป็นช่วงเวลาสำคัญ อากาศที่นั่นเต็มไปด้วยพิษ หากไม่ระวังตัวก็จะถูกพิษนี้จนตาย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจอสัตว์ร้ายเลย” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางรีบร้อนอะไร “ภูเขาลูกนั้นอยู่ที่ไหน? ข้าจะไปตามหาพวกเขา” เมื่อได้ยินดังนั้น ตงหมิงก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยอีอี เด็กสองคนนั้นไม่รู้เป็นตาย นางกลับจะเข้าไปตามหาอีก ผาเมฆแม้แต่พรานป่ายังไม่กล้าเข้าไป นางมาครั้งแรกแม้แต่เส้นทางยังไม่รู้เลย แต่จะไปตามหา? “ข้าจะไปกับเจ้า” เว่ยหมิงไม่ได้ขวางเซี่ยอีอี เพราะยังไงนางก็เป็นแม่ของเด็ก เขารู้ว่าต่อให้เขาห้ามนาง นางก็คงไม่ฟัง “ท่านอ๋อง ภูเขานั่นอันตรายมาก ท่านไปไม่ได้นะ” เห็นทั้งคู่จะขึ้นเขาไป ตงหมิงรีบห้าม ในเมื่อเว่ยหมิงตัดสินใจที่จะขึ้นเขา ต่อให้ตงหมิงห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ เขามองตงหมิงแล้วพูดว่า: “พาคนที่ตามหารอบๆผาเมฆ หากเจอ ก็พาพวกเขาไปหาท่านแม่ทัพเซี่ย” “ท่านอ๋อง ......” เห็นตงหมิงคิดจะห้ามอีก ตงหมิงก็จ้องแล้วตะคอกกลับไป: “ยังไม่รีบไปอีก?” เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตงหมิงรู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปก็ไม่เป็นผล เขามองไปที่เซี่ยอีอี แล้วพูดฝืนๆว่า “พะยะค่ะ” 
已经是最新一章了
加载中