ตอนที่ 61 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม
1/
ตอนที่ 61 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม
ชายาเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าหนี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 61 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม
ตนที่ 61 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เป็นเช้าของอีกวันแล้ว เมื่อมองไปที่กระโจม กระโจมไม่ใช่กระโจมของเขา เหว่ยหมิงฝืนลุกขึ้นนั่งร่างกายรู้สึกหน่วงๆ แต่กลับพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่พื้น ร่างกายเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวปิดกาย เมื่อหันหน้าไป ก็เห็นเซี่ยอีอีกำลังนอนหลับสบายอารมณ์อยู่ที่เตียงไม้ เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่กองเกลื่อนอยู่ที่พื้น เหว่ยหมิงก็นวดไปที่หน้าผากเบาๆ ครู่หนึ่ง ริมฝีปากของเขาก็ยิ้มขึ้นมา ใช้ผ้าห่มพันช่วงล่างแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปที่ริมเตียง มือใหญ่ๆของเขาปัดไปที่เส้นผมบนใบหน้าของนาง เหว่ยหมิงยิ้มแล้วมองไปที่นางครู่ใหญ่ ยิ้มแล้วเรียกนางอย่างอ่อนโยน: “เซี่ยอีอี ตื่นได้แล้ว” เซี่ยอีอีหันตัวกลับมา แล้วบ่นอย่างไม่พอใจว่า “อย่ามากวนได้ไหม ข้าเหนื่อยมาก” เหนื่อย? เมื่อได้ยินดังนั้นเหว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆหันไปมองกองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาเอนตัวไปจูบที่ใบหูของนางเบาๆ จากนั้นก็ถามว่า: “เราไปขอพระราชทานงานแต่งงานกับเสด็จแม่ดีไหม?” ภายใต้ความง่วงนอน เซี่ยอีอีคิดแค่ต้องการปัดเสียงรังควานข้างหูออกไป นางหดตัว จากนั้นก็ผลักตัวเขาออก “ได้ อะไรก็ได้ เจ้ารีบหลีกไป ข้าจะนอน” “คุณหนู คุณชายจะพาคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยขึ้นเขา ท่านจะ ......” เสียงสูบลมหายใจมันเป็นคำตอบสำหรับตงวี่ เหว่ยหมิงมองไปที่คนที่เพิ่งบุกเข้ามา แต่เขาไม่ได้จะหลบหรือจะอธิบายอะไร ทั้งสองมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่ตงวี่กำลังจะออกไปด้วยความตกใจ เหว่ยหมิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า: “ไปเอาเสื้อผ้าในกระโจมของข้ามาให้ทีนะ” ได้ยินดังนั้น ตงวี่ก็หยุดเดิน หันหลังพยักหน้าให้กับเหว่ยหมิง “เอ่อ ได้เพคะ บ่าวจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้” เมื่อออกจากกระโจมไป ตงวี่ลองตรวจดูอีกทีว่าตัวเองเดินเข้ากระโจมผิดหรือเปล่า แต่ว่านางดูแล้วยังไงก็เป็นกระโจมของคุณหนูของนาง แต่ว่าทำไมท่านหยงอ๋องถึงได้เปลือยท่อนบนนั่งอยู่ริมเตียงของคุณหนูล่ะ หรือว่าจะเป็นภาพหลอน? เมื่อหันกลับไปมองผ้าม่านปิดกระโจม ตงวี่ก็อยากจะเดินไปยืนยันอีกครั้ง แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว เกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นางจะอธิบายยังไงเรื่องที่นางย้อนกลับไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจกลับไปเอาเสื้อผ้าให้เขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตงวี่ถือเสื้อผ้าเดินตามตงหมิงออกมาจากกระโจม ขณะที่เดินออกมาก็พบกับจางชิงเอ๋อ สีหน้าของจางชิงเอ๋อดูดุ นางรีบเดินขึ้นหน้ามา แล้วชี้พร้อมตะคอกไปที่ตงวี่ว่า: “เจ้าเป็นใคร แล้วออกมาจากในนั้นได้ยังไง?” ตงวี่ถูกตะคอกอย่างกะทันหันก็ตกใจ ไม่ทันได้สติรับมือ ชุดผ่าวสีดำในมือก็ถูกจางชิงเอ๋อชิงไป “นี่มันชุดของพี่หมิงนี่ ใครให้เจ้าถือ?” ถึงแม้ตงวี่จะไม่รู้ว่านางเป็นใคร แต่นางก็รู้ดีว่า สามารถออกมาล่าสัตว์กับฮ่องเต้ได้ จะต้องเป็นคนที่นางจะมีเรื่องไม่ได้เด็ดขาด นางหันไปมองตงหมิง ไม่รู้ว่าควรจะตอบดีไหม ตงหมิงอยู่กับเหว่ยหมิงมานานหลายปี รู้อยู่แล้วว่าคุณหนูจากคนนี้เป็นคนเอาแต่ใจแค่ไหน เขาให้ตงวี่มาเอาเสื้อผ้าให้ แสดงว่าจะต้องมีเหตุผล เห็นตงวี่กำลังลำบาก ตงหมิงก็เลยช่วยนาง: “นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของท่านหญิงหยงเห๋อ เสื้อผ้านี่ท่านอ๋องสั่งให้นางมาเอา” เช้าขนาดนี้ เหว่ยหมิงกลับให้สาวใช้ของเซี่ยอีอีมาเอาเสื้อผ้าไปให้เขา? จางชิงเอ๋อจ้องไปที่ตงวี่ด้วยสายตาโกรธเคือง นางยัดเสื้อผ้ากลับไปในมือให้ตงวี่ จากนั้นก็ผลักนาง แล้วแหวกผ้าม่านกระโจมออก เมื่อเห็นว่าในกระโจมไม่มีคนอยู่ จางชิงเอ๋อก็รู้หน้าร้อนผ่าว หันไปมองตงหมิงแล้วตะคอกว่า: “คนล่ะ?” คำพูดคำจาที่ไม่เกรงใจแบบนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ตงหมิงเจอ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบเด็กแสบสองคนกับเซี่ยอีอี แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เขาชอบมากกว่าคุณหนูจางที่เอาแต่ใจคนนี้ “เมื่อคืนนี้ท่านอ๋องค้างที่กระโจมของท่านหญิงหยงเห๋อ ก็เลยให้ตงวี่มาเอาเสื้อผ้าที่นี่ หากแม่นางจางต้องการเจอท่านอ๋อง เกรงว่าอาจจะต้องมาสายอีกสักเล็กน้อย” เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของจางชิงเอ๋ออยู่ในอาการตกใจ ตะลึงอยู่นาน นางโกรธมากเอามือสบัดผ้าม่านมั่วซั่วไปหมด กัดปากสาปแช่งตลอด “เหว่ยเฉินเจ้ามันสมควรตาย ทำเรื่องอะไรก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า” ขณะที่กำลังจะจากไป กลับได้ยินเสียงร้องขึ้นมาดังมาก ทำลายอากาศเช้าตรู่ที่อากาศกำลังดี มันทำให้กลุ่มนกที่กำลังหาอาหารจนบินหนีไป ตงวี่มองไปรอบๆเพื่อหาที่มา เห็นตงหมิงกับจางชิงเอ๋อมองไปที่ทางเดียวกัน นางก็รู้ทันทีว่าตรงนั้นเกิดเรื่องแน่นอน “องครักษ์ตง ไปดูไหม?” ตงหมิงเหลือบปมองเสื้อผ้าในมือของนาง กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง กลับได้ยินตงวี่พูดว่า: “คุณหนูของข้ายังไม่ตื่น ท่านอ๋องคงยังไม่รีบ” ได้ยินดังนั้น ตงหมิงเหมือนไม่ค่อยจะเข้าใจ คุณหนูของพวกนางยังไม่ตื่นเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องรีบหรือไม่รีบ? แต่ว่า หากท่านอ๋องค้างที่กระโจมของท่านหญิงจริง เสียเวลาอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างเมื่อกี้มีความเคลื่อนไหวรุนแรง เขาก็อยากจะไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เห็นท่าทีของตงวี่ เหมือนจะมีความคิดเหมือนกัน “ก็ได้ เราไปดูกัน” ทั้งสองลังเลอยู่นาน แต่จางชิงเอ๋อไปนานแล้ว ถึงแม้นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่ามันมีลางสังหรณ์บอกกับนางว่า น่าจะเกิดเรื่องไม่ดี ............. ภายในกระโจมค่ายทหาร เซี่ยวี่เสวียนเปลือยกายหดตัวอยู่ที่มุมๆหนึ่ง ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำเขียว ปากเปื้อนเลือดที่แห้งแล้ว ตรงพื้นมีร่องรอยของชายที่ช่วงล่างถูกตัดจนเลือดไหลไม่หยุด มองที่คนที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นจนตาย นางก็นั่งกอดอกแล้วส่ายหัวอยู่ราวกับคนบ้า แม้กระทั่งมีคนเข้ามานางก็ไม่รู้ตัว ตงวี่แหวกกลุ่มคนเข้ามา เมื่อนางเห็นชายเปลือยกายโดนเจียนนกับเซี่ยวี่เสวียนที่เสียสติ นางก็ตกใจ เสียงร้องยังไม่ทันออกจากปาก ก็หันไปชนเข้ากับตงหมิง นางเงยหน้าแบบแตกตื่น “มี มี มีคนตาย” เมื่อมองดูสถานการณ์ภายในกระโจม ตงหมิงก็ก้มหน้าลง ลากตงวี่พานางออกจากกลุ่มคนตรงนั้น “กลับไปซะ ท่านอ๋องรอเสื้อผ้าอยู่” คำพูดนี้ตรงกับที่นางคิด ตงวี่พยักหน้าอย่างแรง จากนั้นก็ออกไปอย่างแตกตื่น จางชิงเอ๋อยืนมองเซี่ยวี่เสวียนอยู่ภายในกระโจม เหมือนกับไม่ตกใจมากเท่าไหร่ ถูกต้อง นางไม่ตกใจเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมัน เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าเช้าวันนี้เซี่ยวี่เสวียนจะเป็นแบบนี้ เพราะพิษที่เซี่ยวี่เสวียนโดนนั้นนางเป็นคนให้เหว่ยเฉิน เหว่ยเฉินลงมือได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนาง แต่ที่นางไม่เข้าใจนั้นก็คือ เมื่อวานนางให้ยาปลุกไปสองขวด แรกเริ่มเดิมที่คิดจะให้เซี่ยอีอีใช้ จากนั้นก็ใส่ร้ายป้ายสีว่านางมีอะไรกับคนอื่น แต่ว่าทำไมตงหมิงถึงได้บอกว่าเมื่อคืนเหว่ยหมิงค้างที่กระโจมของเซี่ยอีอี ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เหว่ยเฉินอยู่ไหน? หรือว่าฤทธิ์ยานั่นเหว่ยหมิงช่วยนางแก้ไปแล้ว? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของจางชิงเอ๋อก็เครียดหงุดหงิด เหว่ยเฉินเจ้าคนโง่ โง่จนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว เซี่ยอีอีลืมตาขึ้นมา ก็เห็นหน้าปีศาจอย่างเหว่ยหมิง นางยังมีความง่วงอยู่ ก็ค่อยๆขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?” “ก็รอเจ้าตื่นไง” เหว่ยหมิงนอนลงข้างๆนาง น้ำเสียงอ่อนโยนมาก เซี่ยอีอีกระพริบตา แล้วก็สงสัยในท่าทีของเหว่ยหมิง อ่อนโยนขึ้นมากะทันหันแบบนี้ หรือว่าอยากจะขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้? เขาคือท่านหยงอ๋องที่หยิ่งผยองที่สุดในโลก มีอะไรผิดปกติเปล่าเนี้ย? นางขยับตัว เพื่อเว้นระยะห่างของสองคน “ตอนนี้ข้าก็ตื่นแล้ว เจ้าไปได้แล้ว” “ไปหาเสด็จแม่กับข้า” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็กระพริบตา สีหน้ามึนงงแล้วถามว่า: “เพราะอะไร?” เหว่ยหมิงหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะดูสดใส เขาพลิกตัวไปทับบนตัวเซี่ยอีอี แล้วก็พูดว่า: “เจ้าว่าทำไมล่ะ?” เซี่ยอีอียิ้ม แล้วมองเขาด้วยความรำคาญ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นอีก เจ้าลุกออกไปเดี๋ยวนี้ เมื่อคืนนี้เจ้าเกือบบทับข้าตาย ตอนนี้จะทำอีกหรือไง” พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเซี่ยอีอีก็โมโหขึ้นมา อากาศหนาวขนาดนี้ นางก็ทิ้งเขาไว้ข้างทะเลสาบไม่ได้ แต่ว่าเพราะว่าแรงของนางมีจำกัด เส้นทางสั้นๆแค่นั้นก็ทำเอาเกือบตายเหมือนกัน แต่เมื่อเข้าหูของเหว่ยหมิงความหมายมันก็เปลี่ยนไป เขาหัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็กดแขนของนางเอาไว้ “ลำบากเจ้าจริงๆนั่นแหละ ถึงแม้เจ้าจะไม่ยอมรับ แต่ว่าข้ารู้ว่าไม่ว่าจะเป็นเมื่อห้าปีที่แล้วหรือตอนนี้ก็เป็นเจ้านั้นแหละ ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว งั้นเราก็ต้องไปหาเสด็จแม่เพื่อขอพระราชทานงานแต่งให้สิ” เมื่อมีเสียงฟ้าผ่าลงมา หัวของเซี่ยอีอีเหมือนถูกเขาเอาหินทุบลงมา คนของเขา? ขอพระราชทานงานแต่ง? ล้อเล่นหรือเปล่า? นางทำอะไรลงไปถึงได้กลายเป็นคนของเขา? นางก็แค่ลงไม้ลงมือนิดหน่อย ก็ต้องรับผิดชอบงั้นหรอ? ง่ายไปหน่อยไหม! เซี่ยอีอีสะบัดมือออก แล้วเอามือไปแตะที่หน้าผากของเขา “เมื่อคืนนี้คงไม่ตัวร้อนจนเป็นบ้าหรอกใช่ไหม เหลวไหลอะไรกัน ขอพระราชทานงานแต่งอะไรกัน อะไรคือคนของเจ้า บ้าหรือเปล่า?” เหว่ยหมิงจับมือนางอีกครั้ง เหมือนไม่ได้สนใจที่นางแกล้งไม่เข้าใจเลย มือใหญ่ๆของเขาวางอยู่บนหน้าท้องของนาง เซี่ยอีอีตกใจ ตัวสั่นไปทั้งตัว “เจ้าว่า ในนี้จะมีซื่อวี่อีกสักคู่ไหม?” คำพูดนี้ยิ่งทำให้เซี่ยอีอีมึนเข้าไปใหญ่ ต่อให้นางมีสมองอีกสักสิบอันก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อคืนนางใช้มือช่วยจัดการปัญหาให้เขาแล้ววันนี้ในท้องจะมีซื่อวี่ขึ้นมาอีกคู่หนึ่ง นางบ้าไปแล้ว หรือว่าเขาบ้าไปแล้ว? เซี่ยอีอีใช้แรงผลักเขาออกไป นั่งแล้วตะคอกว่า: “จะเป็นบ้าก็ไปเป็นที่อื่น เมื่อคืนข้าช่วยเจ้า ขอบคุณสักคำก็ไม่มี แล้วยังจะมาพูดจาบ้าๆแบบนี้อีก?” เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว เหว่ยหมิงยังคงยิ้ม เขาดึงมือของนางเอาไว้แล้วพูดว่า: “ก็ได้ ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้ เมื่อเป็นอย่างนี้ข้ายิ่งต้องพาเจ้าไปหาเสด็จแม่” ตระกะอะไรกันเนี้ย? เซี่ยอีอีสะบัดมือของนางทิ้ง ขี้เกียจจะไปสนใจเขา “ไม่ไป” เห็นนางไม่ค่อยพอใจ เหว่ยหมิงก็จนปัญหา เขาจับไปที่คางของนาง ดึงหน้าของนางกลับมามองที่ตัวเขา “เอาล่ะตามใจเจ้า เจ้าอารมณ์ดีแล้วยอมไปเมื่อไหร่ เราค่อยไปกัน” อารมณ์ดีงั้นหรอ? รอไปเถอะ ทุบทีเดียวต้องรับผิดชอบ ประหลาดเกินไปแล้ว รู้อย่างนี้ให้เขาทนให้ตายไปเลยดีกว่า ให้นางเปลืองแรงช่วยเขาแล้วต้องมาเจอแบบนี้เพื่ออะไร? “อีอี” ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกดังขึ้น ก็เห็นเหว่ยเฉินบุกเข้ามาในกระโจม เห็นสองคนนั่งอยู่บนเตียงสนิทสนมกัน เขาก็ตกตะลึงไป “พวกเจ้า ......” จางชิงเอ๋อเพิ่งไปโวยวายกับเขามา เมื่อเขารู้เรื่องเหว่ยหมิงไปค้างที่กระโจมของเซี่ยอีอี เขากับจางชิงเอ๋อเป็นพวกต่างคนต่างอยู่ เขายอมร่วมมือกับนางก็เพราะเซี่ยอีอี ในเมื่อเหว่ยหมิงเป็นอุปสรรคสำหรับเขา เขาไม่สนใจว่าเหว่ยหมิงจะเป็นคนที่จางชิงเอ๋อหมายปองหรือเปล่า เพียงแต่เขาไม่คิดว่า แผนการอันแยบยลของเขา มันเกินกว่าที่เขาจะควบคุมแล้ว เห็นเหว่ยเฉินบุกเข้ามาแบบไม่คิด เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว แสดงออกว่าไม่พอใจ เขารีบเอาผ้าห่มคุมตัวเซี่ยอีอีเอาไว้ แล้วจ้องไปที่เหว่ยเฉิน “เจ้าบุกเข้ามาแบบนี้ ไร้มารยาทเกินไปหน่อยไหม?” “แล้วทำไมท่านพี่ถึงมาอยู่ในนี้ได้ล่ะ?” คำพูดที่ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วแบบนี้ เหว่ยเฉินเหมือนจะรู้สึกเสียใจที่ถามออกไป เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมารับรู้ว่าพวกเขาพรอดรักกัน เขาเห็นเซี่ยอีอีที่ไม่แม้แต่จะมองมาที่เขา เหว่ยเฉินรีบพูดว่า: “อีอี นี่มันเรื่องอะไรกัน?” คำถามที่เหมือนสอบสวนแบบนี้ทำให้เซี่ยอีอีถึงกับขมวดคิ้ว กับคนที่หน้าด้านแบบนี้ เซี่ยอีอีอยากจะลุกขึ้นไปต่อยหน้าสักหมัดแล้วบอกกับเขาว่า ‘นับถือ’ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้นางไม่เชื่อหรอกว่าไม่เกี่ยวกับเขา เมื่อห้าปีก่อนใช้วิธีไหนตอนนี้ก็ทำแบบนั้น มีเพียงแค่เหว่ยหมิงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะตกหลุมพรางนั่น คิดจะลงมือกับเซี่ยอีอีหรอ รออีกสักพันปีก่อนเถอะ เซี่ยอีอีหันไปมองเหว่ยเฉิน ทำท่าทีเขินอายหน้าแดง “ก็อย่างที่องค์ชายสี่ทรงเห็น อีอีไม่มีอะไรจะพูด” ตอนนี้เซี่ยวี่เสวียนก็ถือว่าไม่มีประโยชน์แล้ว ส่วนชีวิตของเหว่ยเฉิน นางก็ไม่อยากได้ หากไม่ทำแต่แรก เรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้ จริงๆนางไม่อยากจะเอาถึงชีวิต แต่ว่าพวกเขากลับกัดไม่ปล่อย สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ได้ดี ช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น แต่ว่าหากมีคนรนหาที่ตายเองนางก็แค่ช่วยให้เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น ต่อให้ไม่ถึงเจ็ดชั้น แต่สามชั้นก็น่าจะถึงอยู่! “อีอี ข้ารู้เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ เซี่ยวี่เสวียนไร้ศีลธรรม ข้าจะรีบหย่ากับนาง ข้าไม่รังเกียจเจ้าหรอกนะ ข้าจะไปขอให้เสด็จพ่อรับเจ้าเข้าจวน” เมื่อได้ยินเขาพูดเป็นเรื่องเป็นราว เซี่ยอีอีเกือบกลั่นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเหว่ยเฉินจะเป็นคนให้ค่ากับความรู้สึกขนาดนี้ เห็นเซี่ยอีอีแอบหัวเราะ เหว่ยหมิงก็ไม่ค่อยพอใจ เขาจับมือนางแล้วบีบแน่น เซี่ยอีอีรู้สึกเจ็บ เงยหน้าไปมองเขา สายตาของเขามันเป็นสายตาของการแจ้งเตือน เซี่ยอีอีเก็บสายตากลับไปด้วยความหงุดหงิด ในเมื่อมีคนจะออกหน้าแก้ปัญหาให้นาง นางก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง แต่การนั่งรอแล้วไม่ทำอะไรมันไม่ใช่วิสัยของนาง! “น้องสี่ใจกว้างเป็นแม่น้ำเลยนะ แต่ว่าเจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนะ ข้าชอบผู้หญิงคนี้ ตอนนี้นางเป็นคนของข้าแล้ว ต่อให้เจ้าเอาราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไปคุกเข่าต่อหน้าเสด็จพ่อ เจ้าก็เปลี่ยนความจริงนี้ไปไม่ได้ ดังนั้นคำพูดที่ซึ้งใจแบบนี้ กลับไปพูดกับอนุของเจ้าที่จวนจะดีกว่านะ” คำพูดที่หยิ่งและน้ำเสียงที่เรียบเฉย เหว่ยเฉินฟังจนแทบบ้า ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจฐานะของเขาว่าจะสูงแค่ไหน ชี้หน้าแล้วพูดว่า: “ในฐานะที่เป็นพี่ชาย ชิงชายาของคนอื่น ไม่กลัวคนในไต้หล้าหัวเราะเยอะเอาหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เหว่ยหมิงก็หัวเราะแห้ง หันไปมองเซี่ยอีอี “นางเป็นชายาของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ฮูชายาของเจ้าเป็นคนอื่นอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ผู้หญิงที่ข้าชอบหนึ่งไม่เคยแต่งงาน สองไม่เคยถูกสู่ขอมาก่อน ทำไมต้องกลัวใครหัวเราะเยอะด้วย?” ชอบ นี่เป็นครั้งแรกที่เหว่ยหมิงพูดคำนี้ เซี่ยอีอีมองไปที่ใบหน้าของคนหน้านิ่ง ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก “องค์ชายสี่ทรงกลับไปเถอะ เรื่องระหว่างเราข้าคิดดีแล้ว ท่านพี่เป็นชายาเอกของท่าน ต่อไปท่านก็ใช้ชีวิตกับนางให้ดี ท่านกลัวข้า ข้าก็ไม่ควรจะไปเป็นอยู่กลางระหว่างพวกท่าน ท่านพี่รักท่านมาก อีอีสู้นางไม่ได้เลย เรื่องเมื่อคืนมันได้ตัดสินทุกอย่างไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะนะ!” เหว่ยหมิงบุกเข้ามาในกระโจมของนางโดยไม่กลัวอะไร คิดว่าน่าจะรู้ว่าเหว่ยหมิงอยู่ที่นี่ ในเมื่อเขาเลือกที่จะเข้าใจผิด งั้นนางก็ไม่กลัวจะต้องหลอกใช้เหว่ยหมิง เมื่อคืนนางช่วยเขา แต่ว่าไม่ได้เก็บค่ารักษาเลย ตอนนี้นางจะให้เขาช่วย เขาไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ เห็นนางท่าทีจริงจัง เหว่ยหมิงนับถือความนิ่งของนางมาก เมื่อคืนนางส่งทหารที่โดนยาปลุกเข้าไปในกระโจม ตอนนี้กลับยังบอกให้เหว่ยเฉินใช้ชีวิตกับนางให้ดี หากไม่ใช่ว่าเขารู้จักนิสัยนางอยู่บ้าง ก็คงถูกนางหลอกไปแล้ว เรื่องของเซี่ยวี่เสวียนเหว่ยเฉินได้ยินมาแล้ว คนแพศยาแบบนั้น เขาไม่มีทางพานางกลับไปในฐานะชายาเอกแน่นอน “อีอี ไม่ว่าเจ้าจะยอมแต่งกับข้าไหม ข้าก็ต้องหย่ากับเซี่ยวี่เสวียนอยู่ดี ข้าหวังว่าจะจะลองคิดดูอีกที เพราะว่ายังไงตอนนั้นข้าตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปก็เพื่อเจ้า” เซี่ยอีอีม้วนผ้าห่มไว้แน่น เพื่อนางหรอ? หึ เหตุผลแบบนี้ฝืนทนก็พอไหว หากไม่ได้ใช้วิธีระยำกับนาง เขาจะหย่ากับเซี่ยวี่เสวียนได้ยังไง? “องค์ชายสี่คิดจะทำอะไรไม่เกี่ยวกับข้า ท่านอยากจะหย่าหรือจะแต่งใครก็ช่าง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าทั้งนั้น ข้าตัดสินใจแล้วก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจอีก ข้าเหนื่อยแล้ว ท่านกลับไปดีกว่า!” คำพูดแบบนี้เหว่ยเฉินคิดว่านางแค่สะเทือนใจมากเกินไปเท่านั้น เขาพูดปลอบนางไปตามน้ำ: “ก็ได้ ข้ากลับก่อน เจ้าพักผ่อนให้มาก ไว้เจ้าพักจนพอแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที” พูดจบก็หันตัวกลับไป เห็นเหว่ยหมิงยังคงนั่งอยู่ไม่เคลื่อนไหว “เสด็จพี่ท่านลืมไปหรือเปล่าเราต้องไปถวายพระพรเสด็จพ่อกัน?” ตอนแรกเหว่ยหมิงคิดที่จะไปถวายพระพรอยู่ แต่พอเขาพูดมาอย่างนี้ เขาก็เลยไม่ไป เขาเอียงตัว นอนลงข้างๆเซี่ยอีอี ปิดตาลง แล้วพูดด้วยความขี้เกียจว่า: “ข้าไม่ค่อยสบาย อีกเดี๋ยวจะให้คนไปทูลเสด็จพ่อเอง น้องสี่เป็นห่วงอย่างนี้ ช่างมีน้ำใจจริงๆ” เมื่อห้าปีที่แล้วเป็นเซี่ยอีอี เพราะนางเป็นบ้าเขาก็เลยรังเกียจ เมื่อคืนก็เซี่ยวี่เสวียน เพราะเขาอยากจะหาเหตุผลหย่า หมากชั้นดีของเหว่ยเฉิน ทำให้เขาตกหลุมพรางของตัวเองถึงสองครั้ง แต่ว่า ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะเลือกเดินได้แล้ว เพราะมันรุกฆาตแล้ว
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 61 ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A