ตอนที่ 67 ข้ามีแต่เจ้า   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 67 ข้ามีแต่เจ้า
ต๭นที่ 67 ข้ามีแต่เจ้า จู่ๆซูซิงเฟิงก็ทำแบบนี้ ถึงแม้เหว่ยหมิงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ไม่ได้สนใจ แต่ว่าท่าทางของจางหายก็ทำให้เขาแปลกใจ เห็นจางหายพูดติดๆขัด ซูซิงเฟิงก็รีบพูดว่า: “ข้าชื่อซูเฉี่ยน เป็นผู้ชายของเหมียวเอ๋อ” “อุบ!” เสียงหัวเราะที่หลุดออกมาทำให้ทุกคนหันมามอง เซี่ยอีอีกระแอมไปแก้สถานการณ์ไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมา เหมียวเอ๋อ เขาคิดมาได้ ไปดูจากละครเรื่องไหนมาเนี้ย! เมื่อเห็นดังนั้น เหว่ยหมิงก็ขมวดคิ้ว ท่าทางการเก็บอาการหัวเราะไม่อยู่ของนางเหมือนกับเซี่ยอีอีมาก ก่อนหน้านี้ที่เมืองหวินเฉิงเขาก็รู้สึกว่าตาของนางเหมือนมาก ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ แต่ว่า คนๆนั้นวันๆทำอะไร เขาไม่กล้าคิดเอานางไปเทียบกับหมอเทวดาเหมียวตู๋เซียนเลย อีกอย่างนางก็ไม่น่าจะมีความกล้าพอ พอที่จะอยู่กับผู้ชายอีกคนต่อหน้าเขา บรรยากาศข้างนอกดูกันพอแล้ว จางชิงเอ๋ฮหันหน้าไปมองหยางเฉียนหลิงแล้วยิ้มแห้งๆแล้วพูดว่า: “เจ้าดูซิ พี่ชายข้ากระตือรือร้นแค่ไหนกับผู้หญิงคนนั้น ดูท่าผู้หญิงที่เขาหมายถึงน่าจะเป็นนางไม่ผิด เหอะเหอะ ไม่เหมือนก็คือไม่เหมือน ดูพี่ข้าซิตื่นเต้นซะ เหมือนโดนนางดูดวิญญาณไปเลย ส่วนเจ้า หึ ส่วนเจ้า ต่อให้เสนอตัวให้พี่ข้าก็คงไม่เอา” เมื่อพูดจบ หยางเฉียนหลิงก็ล้มลงกองตรงเท้าของจางชิงเอ๋อ เมื่อเห็นดังนั้น จางชิงเอ๋อก็ตกใจ ร้องออกมาว่า: “เฮ้ เจ้าทำอะไร?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา นางรีบเดินเข้าไปดู นางเห็นหยางเฉียนหลิงสีหน้าไม่ดีก่อนแล้ว แต่เพราะไม่สามารถเปิดเผยฐานะได้ก็เลยไม่พูดอะไร แต่ใครจะคิดว่านางจะล้มลงแบบนี้ เมื่อจับชีพจรของนางดู เซี่ยอีอีก็เงยหน้าจ้องไปที่จางชิงเอ๋อ แล้วพูดว่า: “ชีพจรอ่อน เลือดลมไหลเวียนติดขัด แสดงว่าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมาก พวกเจ้าคิดจะฆ่าคนหรือไง!” “กระทบกระเทือนจิตใจ? เราก็แค่กินข้าวกัน แล้วก็ออกมาเดินเล่น ไม่ได้ทำอะไรเลย จะกระทบกระเทือนจิตใจได้ยังไง?” จางหายรีบเดินมาดู แล้วก็รีบพยุงหยางเฉียนหลิงเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “งั้นก็ต้องถามพวกเจ้าเอง มีใครพูดอะไรกระทบกระเทือนจิตใจนางหรือเปล่า แม่นางคนี้เลือดลมอ่อนแรง ข้าว่า ความกระทบกระเทือนที่นางได้รับคงไม่น้อยเลย” จางหายนิ่งไป แล้วหันไปมองจางชิงเอ๋อ เขาหน้าดุ แล้วตะคอกว่า: “เจ้าอีกแล้วหรอ?” จางชิงเอ๋อทำท่าทางไม่สนใจแล้วพูดว่า: “ข้าไม่ได้ทำอะไรนางสักหน่อย ข้าก็แค่บอกนางว่าท่านไม่ชอบนางก็แค่นั้น ใครจะคิดว่านางจะอ่อนแอ ล้มลงแบบนี้ล่ะ ข้าไม่ได้แตะต้องตัวนางเลยนะ ท่านมีอะไรก็อย่าโยนมาให้ข้าสิ” เห็นนางไม่รู้สึกนึกแบบนี้ เซี่ยอีอีแทบอยากจะเอามือไปฟาดหน้านางเลย จากนั้นนางก็ยื่นมือเข้าไปในเสื้อหยิบยาออกมาเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในปากของหยางเฉียนหลิง “ตอนนี้ถามหาความรับผิดชอบไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังดีว่านางไม่เป็นอะไรมาก ซื่อจื่อส่งนางกลับจวนไปดีกว่า” อยู่กับคนพวกนี้นานๆอายุจะสั่นเอา เซี่ยอีอีลุกขึ้นเห็นเหว่ยหมิงยืนอยู่หลังนาง ก็ขมวดคิ้วรู้สึกหงุดหงิด “หากไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่” เห็นเซี่ยอีอีกับซูซิงเฟิงจากไป เหว่ยหมิงไม่เข้าใจ เขาไม่คิดว่าตัวเองพูดอะไรทำให้ท่านหมอเทวดาไม่พอใจ แต่ทำไมนางถึงได้มองเขาด้วยสายตาแบบนั้น? “ท่านหมอจะไปแล้วหรอ? บอกข้าหน่อยได้ไหม ตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ในเมืองหลวงหรือเปล่า อยู่ที่ไหน ท่านยังจำที่รับปากข้าจะชิมชากับข้าได้หรือไม่?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็หยุดเดิน สายตาของนางเหมือนมีเลศนัย “นอกเมืองสิบลี้ ตีนเขาเป่ยซาน เหมียวเฉ่าเจียน ยินดีต้อนรับซื่อจื่อเสมอ” ------------ ในโรงเตี้ยม ซูซิงเฟิงเดินไปเดินมาเป็นสิบรอบ เซี่ยอีอีขว้างผ้าปิดหน้าทิ้ง ไม่สนใจเขาเลยสักนิด ไม่นานนัก สุดท้ายแล้วซูซิงเฟิงก็ทนไม่ไหว เขานั่งลงข้างเซี่ยอีอี แล้วก็เคาะโต๊ะ “เขากลายเป็นหยงอ๋องไปได้ยังไง? ทำไมเจ้าไม่เคยบอกให้ข้าฟังเลย?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองไปที่เขา พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า: “ทำไมเขาถึงเป็นหยงอ๋อง เจ้าก็ไปถามฮ่องเต้สิ ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ข้าไม่ได้เป็นคนแต่งตั้งเขานิ” ในเวลาแบบนี้นางไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นกับเขาหรอก ซูซิงเฟิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เขาคิดอะไรกับเจ้า เจ้าไม่สนใจเลยหรอ?” “จะสนใจทำไม เจ้าเองก็คิดอะไรกับข้าไม่ใช่หรอ หรือว่าข้าจำเป็นต้องตีตัวออกห่างเจ้าเพราะเหตุผลนี้?” คำพูดง่ายๆเรียบๆแต่มันทำให้ซูซิงเฟิงแทบตาย เขาดึงแขนของเซี่ยอีอีเข้ามา เซี่ยอีอีไม่ทันตั้งตัว ถ้วยชาในมือหล่นไปที่โต๊ะ น้ำกระจายตัว ซูซิงเฟิงไม่ได้ให้โอกาสนางได้เช็ดโต๊ะ “เจ้าเอาข้าไปเทียบกับข้าหรอ?” แรงของเขาทำให้เซี่ยอีอีเจ็บ นางขมวดคิ้ว นางมองไปที่มือของนางอย่างไม่พอใจ: “ปล่อย” ซูซิงเฟิงกระชาก ไม่เพียงไม่ปล่อย แต่ยังดึงนางเข้ามาใกล้หน้าเขาด้วย “ไม่ปล่อย เพราะข้าปล่อยเจ้าหลายครั้ง ทำให้ในใจของเจ้ามีคนอื่น” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีขมวดคิ้วแล้วจ้องไปที่เขา สำหรับซูซิงเฟิง นางไม่อยากทำร้ายเขา “ข้าไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น เจ้าปล่อยมือข้าก่อนแล้วคุยกันดีๆได้ไหม?” ซูซิงเฟิงยิ้ม มือที่จับนางเอาไว้บีบแรงขึ้นอีก ดวงตาที่ไม่เคยหวาดกลัวอะไรตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เจ้าไม่เคยพูด แต่ก็แค่ไม่ได้พูดแค่นั้น เจ้าเอาเขามาเปรียบเทียบกับข้า แสดงว่าในสายตาของเจ้า ตำแหน่งของเขาเหมือนกับข้า อาจจะสำคัญกว่าข้า ข้าพูดถูกใช่ไหม!” หากถามว่าใครเป็นคนที่เข้าใจเซี่ยอีอีที่สุด คนๆนั้นไม่ใช่เหว่ยหมิง ไม่ใช่ตงวี่ ไม่ใช่เซี่ยวี่ซื่อกับเซี่ยเฉินวี่ แต่เป็นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของนางตอนนี้ ซูซิงเฟิง เขาฉลาดมาก แต่ก็ยังมอบหัวใจทั้งหมดที่มีให้นางคนเดียว ตอนแรกเขาก็ใช้เวลาถึงสองปีเพื่อทำความเข้าใจนาง จนสุดท้าย เขารู้ทุกอย่างว่านางทำหน้าตาแบบไหนหมายถึงอะไร แม้กระทั่งถอนหายใจ ตอนนี้เขาก็แค่จับผิดคำพูดของนาง แต่เขาก็มั่นใจว่าเดาไม่ผิด ในเมื่อยังไงก็ต้องเจ็บปวด เซี่ยอีอีก็ไม่อยากจะปิดบังเขาอีก ถึงแม้สิ่งที่นางจะพูดต่อไปนี้จะทำให้เขาต้องเจ็บปวด แต่ว่ามันคือสิ่งที่ช้าเร็วเขาก็ต้องรับมันให้ได้ “เขาเป็นพ่อแท้ๆของเด็กๆ” คำพูดนี้ของนางเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ ทุบลงบนหัวของซูซิงเฟิง เขาอึ้งไป กว่าจะได้สติก็นาน มือที่จับแขนของนางไว้สั่น เพียงแต่แรงที่ออกมาโดยไม่รู้ตัวมันทำให้มือของเซี่ยอีอีแทบขาด “เจ้าว่าอะไรนะ?” เซี่ยอีอีเจ็บหัวไปหมด แล้วพูดซ้ำอีกครั้งว่า: “เขาเป็นพ่อแท้ๆของเด็กๆ หรือก็คือเขาคือคนที่มีสัมพันธ์ทางกายกับข้าเมื่อห้าปีที่แล้ว ข้ากับเขามีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ห้าปีก่อน มันเป็นความสัมมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด ข้าพูดแบบนี้เจ้าเข้าใจง่ายขึ้นไหม?” ระหว่างที่ตัวสั่น ซูซิงเฟิงปล่อยมือ สติหลุดไปเพราะไม่อยากจะเชื่อ เขามองไปที่เซี่ยอีอีอย่างไม่มีวิญญาณ ส่ายหัวแล้วยิ้ม “เจ้าจำเขาได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่เมืองหวินเฉิง เจ้าดูแลเขาทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่เพราะเขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ แต่เพราะเขาเป็นพ่อแท้ๆของเด็กๆ” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นถูกต้อง นางไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เห็นนางไม่แก้ตัว ซูซิงเฟิงยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม? หรือว่าเจ้าต้องการบอกเรื่องพวกนี้กับเขา แล้วพาเด็กๆเข้าจวนอ๋องไปเป็นพระชายางั้นหรอ?” คำพูดแปลกๆแบบนี้ทำให้เซี่ยอีอีโกรธมาก นางเข้าใจได้ที่เขาจะโกรธ แต่นางรับไม่ได้ที่เขางี่เง่า นางตะคอกใส่เขาว่า: “ซูซิงเฟิง เจ้าบ้าหรือเปล่า? เจ้าเป็นคนตื้อถาม ข้าถึงได้พูด แล้วเจ้ามาพาลอารมณ์ใส่ข้าทำไม? จนถึงตอนนี้ตัวเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กสองคนนั้นเป็นลูกเขา ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าจะแต่งงานกับเขาไปเป็นพระชายาอะไรนั่น หากเจ้ายังเป็นแบบนี้อีก ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก” เพราะกำลังโมโหอีก เซี่ยอีอีไม่อยากต้องมานั่งปั้นหน้านิ่งเขากับ ก็เลยหันหลังจะไป แต่ซูซิงเฟิงกลับดึงนางเข้ามาสู่อ้อมอก “ขอโทษ อย่าโกรธเลยนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าโกรธ อย่าไม่เจอข้าได้ไหม อย่าไม่สนใจข้าเลย ข้าก็แค่กลัว กลัวว่าเจ้าจะไปจากข้า หลายปีมานี้เจ้าไม่เปิดใจให้ข้าเลย ว่าผู้ชายคนนั้นกลับมีสิทธิพิเศษที่ทำลายไม่ได้ เขาเป็นพ่อของเด็กๆ ข้ากลัวเจ้าจะใจอ่อน ข้ากลัวว่าเจ้าจะเลือกเขา” คำพูดของซูซิงเฟิงทให้เซี่ยอีอีเจ็บปวด เรื่องกลายมาเป็นแบบนี้เป็นความผิดของนาง นางคิดว่าการไม่ให้ความหวังเขา จะทำให้เขาไม่ถลำลึก แต่จนถึงตอนนี้นางถึงได้รู้ว่า ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นเป็นเพราะนางเต็มใจ นางไม่ได้จัดการความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้ดี จนวันนี้ทำให้เขาต้องเสียใจ แต่ว่า ในเมื่อรู้แล้วว่ามันผิด นางเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้ความผิดนี้มันดำเนินต่อไปอีก เซี่ยอีอีขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขา นางก้มหน้าลง ไม่ไปมองหน้าเขา “ซูซิงเฟิง เจ้ารู้หรือเปล่าบนโลกนี้คนที่ข้าไม่อยากโกหกเลยคือเจ้า ต่อให้เป็นเหว่ยหมิงข้าสามารถใช้คำโกหกของข้าเพื่อหยุดหยั้งเขาไว้ แต่สำหรับเจ้า ข้าทำไม่ได้จริงๆ ในเมื่อวันนี้เปิดใจพูดกันแล้ว งั้นข้าเองก็ไม่กลัวที่จะต้องบอกเจ้าว่า ข้าคิดกับเหว่ยหมิง .......” “ไม่ต้องพูดแล้ว” ซูซิงเฟิงพูดขัดเซี่ยอีอี สายตาของเขามันกำลังสับสน จากน้ำเสียงที่นางใช้ เขาก็พอรู้ว่านางอยากจะพูดอะไร แต่ว่า เขาไม่มีความกล้ามากพอที่จะฟังจากปากของนาง เขาหันหลัง หลบสายตาของนาง พยายามข่มใจเอาไว้ “ขอโทษนะ ข้ารู้ว่าข้าทำให้เจ้าโกรธ เจ้าจะไม่สนใจข้าหลายวันหน่อยเหมือนที่เคยเป็นก็ได้ รอเจ้าหายโกรธเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นไรแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ เจ้าหายโกรธเมื่อไหร่ ก็ค่อยมาหาข้า ข้าจะรอเจ้าที่นี่ ไม่ไปไหน” “ซูซิงเฟิง เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าจะพูดอะไร ทำไมเจ้าถึงได้หลอกตัวเองแบบนี้ล่ะ?” เซี่ยอีอีไม่ปฏิเสธว่าตัวนางเหี้ยม แต่ว่ากับคนที่หนีความจริงอย่างเขา นางรับไม่ได้จริงๆ “ให้ข้าหลอกตัวเองแบบนี้ก็ดี เจ้าไปซะ!” “เจ้า ......” เซี่ยอีอีคิดจะพูดอะไรต่อ แต่เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ไม่อยากจะทำให้เขาสะเทือนใจ นางถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วพยักหน้า: “ได้ เจ้าทำใจเย็นๆก่อน คิดได้เมื่อไหร่ค่อยมาหาข้าที่เหมียวเฉ่าเจียนล่ะกัน” พูดจบ นางก็จากไป ณ จวนตระกูลเซี่ย เซี่ยอีอีเอนตัวอยู่บนเตียง หากไม่ใช่เพราะเห็นเหว่ยหมิงเดินอยู่กับจางชิงเอ๋อเมื่อกลางวัน ตอนนี้นางก็คงไปหาเขาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ หึ ให้เขาไปตายซะดีกว่า! ตาบ้า ทำให้นางต้องทะเลาะกับซูซิงเฟิงไม่ว่า ยังให้นางมาเกาะแกะอีก อีกด้านหนึ่ง ตงวี่ลองจับอุณหภูมิน้ำดูแล้วพูดว่า: “คุณหนู น้ำเดือดแล้ว อาบน้ำได้แล้ว” เซี่ยอีอีลุกขึ้น จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้า แล้วนั่งลงในถังอาบน้ำ “ไปเถอะ วันนี้ไม่ต้องอยู่ดูแลหรอก ข้าอยากอยู่คนเดียว เดี๋ยวอาบเสร็จแล้วข้าจะเรียกเจ้าเอง” “ทราบแล้ว งั้นคุณหนูค่อยๆแช่นะ ข้าจะไปดูยาอาบของคุณชายน้อย” หลังจากที่ตงวี่ออกไป ภายในห้องก็เงียบลง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เซี่ยอีอีนั่งพิงในถังอาบน้ำจนงีบหลับไป ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเปิดประตูทำให้นางตื่นขึ้น นางลืมตาขึ้นมา สายตาที่เหนื่ยล้าหันไปมอง เห็นคนๆหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู นางตกใจมาก หลังจากที่คนๆนั้นกับคนที่อยู่ในถังอาบน้ำสบตากัน เซี่ยอีอียังคงจ้องอยู่ แต่ค่อยๆยื่นมือไปหยิบสบู่ที่อยู่ข้างๆ แล้วปาไปประตูที่คนๆนั้นยืนอยู่ ปัง! ปัง! ปัง! เหว่ยหมิงเอี้ยวตัวหลบ สบู่สามก้อนทั้งหมดปาโดนประตู เซี่ยอีอีโกรธมาก จากนั้นก็พูดว่า: “เหว่ยหมิง ข้าจะฆ่าเจ้า” ที่นอกประตู เหว่ยหมิงหลุดหัวเราะ เขาแค่อยากจะมาดูว่านางกลับมาหรือยัง แต่ใครจะคิดว่าจะมาเห็นอะไรแบบนี้ เมื่อคิดว่าเมื่อกี้ท่าทางของนางเหมือนเด็กนั่งเหม่อลอยอยู่ในถังอาบน้ำ เขาก็ไม่โกรธแล้ว ทันใดนั้นเอง มือของเหว่ยหมิงที่จับบานประตูไว้ก็ถูกนางดึงออก เซี่ยอีอีคลุมผ้าแพรผืนใหญ่ออกมา ดูจากคอก็เหมือนว่านางยังไม่ได้เช็ดตัวให้แห้ง ในเสื้อคลุมเหมือนจะไม่ได้ใส่อะไรอีก ใบหน้าเล็กๆหน้าตาสดใส ดวงตากลมโต ที่เต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้ามาทำไม?” เขามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เหว่ยหมิงยิ้ม แล้วดึงคนๆนั้นเข้ามากอด จากนั้นก็เดินเข้าห้องไป จับนางกดไปบนบานประตู “เจ้ากำลังยั่วยวนข้าหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีก็กำหมัดขึ้น หมัดเล็กๆของนางห่างจากคอของเหว่ยหมิงแค่คืบเดียวแต่ก็หยุด ร่องนิ้วของนางมีเข็มเงินอยู่ นางถามกลับเขาไปอีกครั้งว่า: “เมื่อกี้เจ้าเห็นอะไรบ้าง?” เหว่ยหมิงไม่ได้มีความกลัวอะไรเลย เขาเหลือบไปมองด้านล่างของนาง ยิ้มแล้วพูดว่า: “เจ้าคิดว่าไง? “ไร้สาระ” เซี่ยอีอียกมือขึ้น กำลังจะซัดมือเข้าไป เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว เหมือนจะหลบ “ดึกขนาดนี้ เจ้ามาทำอะไร?” “ข้าก็มาทุกคืนแหละ แต่เสียดายเจ้าไม่อยู่” พูดจบ เหว่ยหมิงก็ไม่ได้สนใจเข็มในมือของนาง เขาเอาหน้ามาใกล้ เมื่อเห็นดังนั้น เซี่ยอีอีก็ตกใจ รีบเก็บเข็มเงินในมือไป จากนั้น ก็กลายเป็นปากอุ่นๆของเขาประกบเข้ากับปากของนาง ตอนแรกเซี่ยอีอีมีดิ้นอยู่บ้าง แต่เพราะคำว่า ‘มาทุกคืน’ มันทำให้ความโกรธของนางสลายไป จากนั้นมือของนางก็โอบไปที่ต้นคอของเขา เสื้อคลุมหลุด ร่างกายของทั้งสองแนบชิดกันพวกเขาจูบกันอย่างดูดดื่ม เมื่อกี้เพราะเหว่ยหมิงทำให้นางตกใจ ดังนั้นเลยไม่มีเวลาให้นางได้แต่งตัวใส่เสื้อผ้า ก็เลยคลุมผ้าออกมาตัวเดียว แต่ตอนนี้เหมือนนางจะยอมทุกอย่างให้กับหมาป่าที่กำลังกระหาย มือใหญ่ๆของเขากำลังยื่นเข้าไปในเสื้อคลุมของนาง ก็ไม่รู้เมื่อไหร่คนสองคนที่ยืนอยู่ที่บานประตูกลับทรุดตัวนอนลงกับพื้น มืออันซุกซนของเหว่ยหมิง ทำให้เซี่ยอีอีได้สติกลับมา นางจับเหว่ยหมิงกดลงกับพื้นส่วนตัวนางก็นั่งทับอยู่บนตัวเขา นางจัดเสื้อคลุมของนาง แล้วจ้องไปที่เขาอย่างแม่เสือร้าย “บอกความจริงมา ข้าไม่อยู่หลายวันนี้เจ้าทำอะไรบ้าง? ไปไหน? ไปกับใคร?” คำพูดที่สอบสวนเขาแบบนี้เหว่ยหมิงไม่เข้าใจ แต่ว่าให้สีหน้าของนางกึ่งบังคับ เหว่ยหมิงยิ้ม “อะไรกัน เจ้าส่งคนตามดูข้าหรอ?” เซี่ยอีอีทุบไปที่หน้าอกของเขาอย่างแรง “อะไรกัน ไม่พอใจหรอ ข้าจะบอกให้ สายไปแล้ว ข้าส่งคนตามดูเจ้าจริงๆ แล้วจะทำไม?” ในเมื่อเขาคิดว่าส่งคนตามดูเขา ตามดูก็ตามดูล่ะกัน แบบนี้ก็ดีนางจะได้ไม่ต้องโกหกเอง เหว่ยหมิงมองไปแต่ที่ * ที่หลุดออกมาจากเสื้อคลุม เห็นนางก็ไม่คิดจะปิด เขาก็ยิ้ม “ก็ไม่ทำไม ก็แค่รู้สึกดีใจ” นางหาคนตามดูเขา เขาบอกเขาว่าดีใจ เซี่ยอีอีรู้สึกว่าคนๆนี้จะต้องเป็น ----- คนบ้าแน่ๆ! จากนั้นนางก็ลงมาจากตัวเขา เซี่ยอีอีเบะปาก ทำท่าทางรังเกียจ “ดูท่าข้าก็คงไม่ได้สำคัญอะไรมาก เพราะตอนที่ข้าไม่อยู่ ข้างกายเจ้าก็ไม่ได้ขาดคนอยู่เป็นเพื่อน” เห็นนางหึงแรงมาก เหว่ยหมิงอารมณ์ดีมาก เขาลุกขึ้นแล้วดึงมาเข้ามากอด แล้วพูดที่ข้างหูนางเบาๆว่า “วันนี้จางหายนัดข้าไป ข้าไม่รู้จริงๆว่าจางชิงเอ๋อก็อยู่ที่นั่นด้วย” คำพูดแบบนี้เซี่ยอีอีไม่อยากจะฟัง ไม่อยากเชื่อด้วย นางใช้มือผลักเขาออก แล้วพูดว่า: “อย่ามาหลอกข้า รู้ไม่รู้ต่างกันตรงไหน เจ้ากล้าบอกหรือเปล่าว่าถ้ารู้เจ้าจะไม่ไป?” เหว่ยหมิงไม่คิดจะหลบหน้าจางชิงเอ๋อจริงๆแหละ เซี่ยอีอีถามมาแบบนี้ มันทำให้เขาเป็นฝ่ายผิด “ชิงเอ๋อเป็นเด็กที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็ก ข้าเห็นนางเป็นแค่น้องสาว” เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยอีอีแอบยิ้มเบาๆ นางลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ แล้วรินน้ำชามาดื่ม “จางชิงเอ๋อโตกว่าข้าปีหนึ่ง เจ้าเห็นนางเป็นน้องสาว แล้วทำไมไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวด้วยล่ะ?” ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นนางเป็นแบบนี้ เหว่ยหมิงตอนนี้ไม่รู้จะอธิบายยังไง เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินไปข้างๆนาง แล้วโอบกอดนางเบาๆ จูบไปที่หน้าผากของนาง “ไม่ว่าใครก็เป็นน้องสาวได้ เว้นแต่เจ้า เพราะข้าอยากให้เจ้าเป็นคนที่สนิทที่สุดของข้า” ต่อให้เซี่ยอีอีเป็นคนหน้าด้านหน้าทนแค่ไหน เมื่อได้ยินประโยคแบบนี้ ก็หูแดงทั้งนั้น จริงๆนางก็ดูออกว่าเหว่ยหมิงไม่ได้คิดอะไรกับจางชิงเอ๋อ แต่ก็เพราะว่านางเอาคำว่าน้องสาวมาอ้างมาตอแยเหว่ยหมิง ดังนั้นนางก็เลยหงุดหงิด เป็นญาติแล้วไง คิดจะแกล้งเด็กกำพร้าอย่างนางหรอ เจ้ามีพี่ชาย นางมีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่ง ดูสิใครจะเล่นงานใครได้! “ข้าบอกเรื่องของข้าหมดแล้ว แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าบอกว่า ‘สองวัน’ แต่สองวันแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา? หรือว่า คำพูดวันนั้นของเจ้ามันเป็นแค่เกม เพราะว่าข้าเชื่อ ข้าก็เลยแพ้งั้นหรอ?” จู่ๆจากคนที่สอบสวนกลายเป็นผู้ต้องหา เซี่ยอีอียิ้มแล้วพูดว่า: “ทำไมเจ้าใจแคบจังเลย เรื่องก็นานมาแล้วยังจำได้อีก ครั้งนี้มันกะทันหันข้าก็เลยลืมบอกเจ้า อีกอย่างข้าไปแค่สองวันเอง ไม่ได้ไปนานซะหน่อย” “สองวันไม่นานหรอ?” มือใหญ่ของเขาโอบไปที่เอวของนางจนแน่น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้นั้นดื้อแค่ไหน เรื่องระยะเวลาหากไม่คุยให้ชัดเจน ต่อไปอาจจะสั่งสอนไม่ได้อีก เซี่ยอีอีเบะปาก นางคิดจะพูดว่า สองวันเขายังคิดว่านาน งั้นต่อไปจะทำยังไง? เมื่อเหมียวเฉ่าเจียนเปิดแล้ว ช่วงเวลาที่ไม่กลับมานานกว่านี้ ต่อไปการที่นางหายไปสองวันมันก็เหมือนไม่ได้กินข้าวมื้อหนึ่ง เห็นนางไม่พูด เหว่ยหมิงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเลย “เจ้ามีผู้ชายคนอื่นจริงๆใช่ไหม?” เสียงเสียใจแบบจนปัญญาทำให้ในใจของเซี่ยอีอีแทบระเบิดออกมา ระเบิดจากซูซิงเฟิงนางคิดว่านางก็รับพอแล้ว ตอนนี้มาเป็นเขาอีก เซี่ยอีอียิ้ม พูดทีเล่นทีจริง: “หากข้าบอกว่ามี เจ้าจะทำยังไง?” เหว่ยหมิงขมวดคิ้ว มองไปที่ตาของนาง แต่ก็ไม่รู้ว่านางพูดจริงพูดเล่น เห็นเขาไม่พูดอะไร เซี่ยอีอีก็ใช้มือสองข้างจับไปที่เอวของเขา แล้วถามว่า: “แล้วหากข้าบอกว่าไม่มี เจ้าจะเชื่อข้าไหม?” เหว่ยหมิงขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา เมื่อเห็นดังนั้น เซี่ยอีอีก็ยิ้ม แล้วลุกขึ้นถอยออกมาจากอ้อมกอดของเขา “ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรเข้าก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว งั้นเจ้าจะถามทำไมอีกล่ะ!” เขาอยากจะบอกว่าเขาเชื่อ แต่เขากลับพูดไม่ออก คำโกหกของนางมากเกินไป แถมเวลาโกหกยังไม่มีอาการล่อกแล่กเลย ทำให้คนที่ฟังไม่รู้เลยว่านางโกหกหรือเปล่า รอยยิ้มของนางมันเป็นอาวุธที่ปกปิดคำโกหกของนางได้ดี เขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะเชื่อยังไงดี เซี่ยอีอีหยิบถ้วยชาขึ้นมา รินน้ำชาลงไป แล้วหันไปมองหน้าเขา นางสะบัดมือ ไม่รู้ใส่อะไรลงไปในนั้น นางยื่นถ้วยน้ำชาไปตรงหน้าเหว่ยหมิง นางยิ้ม แต่มองไม่ออกว่านางคิดอะไรอยู่ “ในน้ำชานี่มีพิษ เจ้าจะดื่มไหม?” เหว่ยหมิงมองนางครู่หนึ่ง สายตาไม่ได้อยู่ที่ถ้วยน้ำชาเลย เขายื่นมือรับถ้วยน้ำชามา ไม่คิดเลยก็ยกขึ้นมาดื่ม จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ ถ้วยตกแตกลงข้างเท้าของเหว่ยหมิง เซี่ยอีอียิ้มแล้วก็หลุดหัวเราะ “ทำไมถึงเชื่อข้า? เข้าไม่ใช่ไม่เชื่อไม่ใช่หรอ?” “หากเจ้าต้องการชีวิตข้า ข้ายอมตายด้วยน้ำมือของเจ้า” นางเงยหน้าขึ้นมามองเขา สายตาของเขาจริงใจ ไม่เหมือนนาง ที่มีดวงตาของคนโกหก “ข้าไม่ฆ่าเจ้า ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางฆ่าเจ้า ข้าโกหกเจ้าได้ แล้วก็จะทำซ้ำไปซ้ำมา แต่ขอแค่เจ้าเชื่อข้าเหมือนเมื่อกี้ ทำตามที่เจ้ารู้สึก ข้าเชื่อมันจะไม่มีผิด” มือยาวๆใหญ่ของเขาแทรกเข้าไปในผมของนาง เหว่ยหมิงผ่อนคลายลง “งั้นข้าอยากให้เจ้าบอกข้า เจ้าไม่มีผู้ชายคนอื่น ขอแค่เจ้าพูด ข้ายินดีที่จะเชื่อ” นางยิ้ม เซี่ยอีอีเดินเข้ามาใกล้เขา สายตาจ้องกัน แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ไม่มี ข้าไม่มีผู้ชายคนอื่น ข้ามีแค่เจ้าคนเดียว” ไม่ว่าจะตอนนี้หรือห้าปีก่อน ก็มีแต่เจ้าคนเดียว ในใจของนางคาดหวังจะพูดออกมา แต่ว่านางไม่กล้าพอ เพราะนางยังต้องการทางหนีทีไล่อื่น นางไม่อยากบีบจนตัวเองไม่มีทางออก 
已经是最新一章了
加载中