ตอนที่ 77
ตนที่ 77
เมื่อได้ยินเสี่ยวฟางจื่อพูดว่าฉูเฟยเอ๋อฟื้นขึ้นมาแล้วนั้น โหลวเหยนหมิงทำเพียงยิ้มบางๆ และไม่ได้พูดอะไรเลย
“ท่านอ๋อง ท่านไม่อยากไปเยี่ยมชายาอ๋องสักหน่อยจริงๆ หรือว่ากำลังอดกลั้นอยุ่กันแน่” เสี่ยวฟางจื่อมองเขาอย่างพินิจ
มือของโหลวเหยนหมิงซึ่งถือแผนที่ทางการทหารอยู่ทื่อขึ้นในบัดดล ก่อนจะตีแผนที่ในมือลงบนหน้าโต๊ะอย่างดุดัน เหลือบสายตาเย็นเยียบจ้องมองเสี่ยวฟางจื่อ “พักนี้เจ้ายังไม่ใช่ผู้คุมกฎทั่วไปจริงๆ!”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยเพียงแต่ห็นว่านับแต่วันนั้นหลังจากที่กลับจากวังแล้วท่านไปแอบมองชายาอ๋องอยู่นอกห้องสองสามแวบ ก็ยังไม่เคยเห็นท่านไปเยี่ยมนางอีกเลยสักครั้ง...”
“ได้รับป้ายอาญาสิทธิ์ทหารเรียบร้อยแล้ว ความเป็นหรือตายของนาง ก็ไม่ได้เกี่ยวใดๆ กับข้าเลย!” โหลวเหยนหมิงยิ้มเย็น
เสี่ยวฟางจื่อนิ่งอึ้ง “ท่านอ๋องที่แท้ก็เพียงเพื่อป้ายอาญาสิทธิ์ทหารจริงๆ เช่นนั้นปฏิกิริยาของท่านอ๋องวันนั้น...”
“ไสออกไป!” โหลวเหยนหมิงเอ่ยเสียงเย็นเยียนกะทันหัน
เสี่ยวฟางจื่อรู้ว่าวันนี้ตนเองพูดค่อนข้างมาก เห็นว่าโหลวเหยนหมิงมุ่นคิ้วหนักขึ้น จึงทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ หมุนกายหมายจะไปหลบฉากกั้นลมก่อน อย่างไรเสียก็รับใช้ข้างกายโหลวเหยนหมิงมานานหลายปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเขา เขาเองก็ดูออกอย่างแจ่มแจ้ง เขาเพียงแต่อยากมั่นใจสักหน่อย ความรู้สึกของโหลวเหยนหมิงที่มีต่อฉูเฟยเอ๋อนั้นสรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่
เพียงแค่หลอกใช้ประโยชน์และล่อลวงจริงๆ หรือ ทว่าสายตาโกหกคนไม่ได้ คนทั้งหมดในจวนอ๋องล้วนดูออกทั้งนั้น ทุกคราที่โหลวเหยนหมิงอยู่ด้วยกันกับฉูเฟยเอ๋อ แววประกายวาวับในดวงตานั้นล้วนแต่เป็นความรู้สึกจริง!
โหลวเหยนหมิงกำหมัดแน่น ในวินาทีที่เสี่ยวฟางจื่อปิดประตูห้องลงนั้น ก็พลันทุบไปที่หน้าโต๊ะอย่างดุดัน ก้มหน้าต่ำ มองไปยังหน้าพื้นใต้โต๊ะที่สะอาดหมดจดไร้คราบเลือดแม้หยดเดียว ทว่าหลายวันมานี้ เขากลับมักจะรู้สึกได้ถึงโลหิตของเฟยเอ๋อเปี่ยมล้นภายในห้องนี้ กลิ่นหยดเลือดที่แฝงความเย็นเฉียบแห่งความสิ้นหวัง และร้าวราน
เพียงแค่ป้ายอาญาสิทธิ์ทางทหารอันเดียวแค่นั้นจริงๆ หรือ โหลวเหยนหมิงก้มหน้างุด มองป้ายสีเหลืองทองที่วางอยู่ด้านข้าง เขาโหลวเหยนหมิงต้องการของสิ่งใดแล้วไม่ได้รับบ้าง? เพียงแต่ครั้งนี้ใช้ขั้นตอนอันแสนต้อยต่ำ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะหอกดาบจริงๆ กับฮ่าวเยว่ ดังนั้นเขาจึงหลอกใช้ลงไป!
เหตุใดหลังจากที่ได้รับของที่ต้องการแล้ว ก็ปรีติอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียว เขากลับจมมุดลงท่ามกลางความอึมครึมที่ไร้ขอบไร้เขตแดนอีกครั้ง?
หรือว่าจะมีความรู้สึกต่อหญิงนางนั้นขึ้นมาแล้วจริงๆ?
โหลวเหยนหมิงมุ่นคิ้วขึ้น มองไปด้านนอกหน้าต่างอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก เพียงเพื่อป้ายอาญาสิทธิ์ทางการหทารจริงๆ? หรือว่า...ยังไม่ได้คบคุมหัวใจตนเองจริงๆ
เฟยเอ๋อนั่งอยู่บนเตียง มองสี่เอ๋อซึ่งกำลังยกถ้วยโจ๊กขึ้นมาวางไว้แถวเรียวปากและเป่ารออยู่สักพักก่อนป้อนให้นาง ฉวยเอาโอกาสนี้ เฟยเอ๋อเงยหน้ามองและมองตรวจตราไปรอบห้อง ในความทรงจำของนาง ห้องนี้ความจริงแล้วเป็นห้องของโหลวเหยนหมิง นางลืมไม่ลง...วันนั้นยามที่นางข้ามเวลาตกจากเพดานลงมาในห้องของเขา และยังตรงดิ่งเข้าไปในอ่างอาบน้ำของเขา
เมื่อมองย้อนกลับไปในฉากที่พบกันครั้งแรก นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ ทว่าเมื่อนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่โหลวเหยนหมิงดีต่อนาง ยิ่งคิดนางก็ยิ่งหลงใหล อันที่จริงแล้วเขารักนางจริงหรือไม่ ในความทรงจำของฉูเฟยเอ๋อคนก่อน เขาไม่ได้เสาะแสวงแววแห่งรักระหว่างโหลวเหยนหมิงกับนางเลยแม้สักน้อย นับประสาอะไรที่วันนั้นโหลวเหยนหมิงกล่าวว่าเขามีเหตุผลของเขา
“องค์หญิง...เสวยอาหารเจ้าค่ะ!” สี่เอ๋อเรียกเบาๆ อยู่ด้านข้าง
เฟยเอ๋อเรียกสติกลับมา ยิ้มจางเล็กน้อย ก่อนอ้าปากกินโจ๊กที่สี่เอ๋อป้อนให้นางเข้าไป ตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากคิดเรื่องราวเหล่านั้นอีก นางเหนื่อยนัก ง่วงนัก เวียนหัวนัก รอหลังจากร่างกายหายดีแล้วค่อยไปคิดก็ยังทันกระมัง
ฉับพลัน เฟยเอ๋ออ้าปากได้ครึ่งหนึ่ง ยังไม่ได้กินโจ๊กที่สี่เอ๋อป้อนให้ ทำเพียงมองไปยังเงาคนอันแสนคุ้นเคยที่ยืนแน่นิ่งอยู่นอกประตูห้องนั้น
ในเมื่อนึกอยากมาดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง แต่เหตุใดกลับไม่เข้ามา
เฟยเอ๋อมุ่นคิ้ว มองไปยังเงานอกประตู หรือเพราะว่ายังคงชิงชังที่นางทำลายภาพของซีอวิ๋นอยู่ หรือว่าเพราะด้วยเหตุนี้นางจึงบาดเจ็บจึงละอายใจที่จะมาเยี่ยมนาง
“โหลว...” เฟยเอ๋อเพิ่งอ้าปาก เงาคนนอกประตูก็มลายหายวับไปอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านไม่อยากฟังข้าอธิบายเชียวหรือ” เฟยเอ๋อมองไปยังด้านนอกที่ว่างเปล่า ยิ้มเจื่อนขมขื่นเล็กน้อย “จริงๆ นึกอยากเข้าใจข้าผิดตลอดไป...แม้แต่เวลาฟังข้าได้อิบายสักนิดก็ไม่ได้ข้า...”
ไม่ผิด นางยังคงนึกอยากให้โหลวเหยนหมิงเสียใจภายหลังที่เหตนี้ทำให้นางเจ็บตัว ทว่าบนความรู้สึกนั้น หากว่าเขาหมุนกายมาเอ่ยสักประโยค นางเองก็ไม่ต้องทรมานเพียงนี้
“เจ้าหญิง เมื่อครู่นั้นเป็นท่านอ๋องยืนอยู่นอกห้องหรือ” สี่เอ๋อยิ้มบางโดยพลัน ก่อนป้อนโจ๊กให้เฟยเอ๋อกินต่อ
“ดูเหมือนว่าเป็นเขา” เฟยเอ๋อหลุบตาต่ำ กล่าวเบาๆ
“ฮ่าๆ องค์หญิง คิดไม่ถึงว่าท่านจะได้รับพรอันยิ่งใหญ่! เสียเลือดไปตั้งมากมายเพียงนั้นตอนนี้ยังจะมีเรี่ยวแรงไปเห็นเงาแน่นิ่งของท่านอ๋องได้อีก! ยามนี้ในครรภ์ของท่านก็มีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ แล้ว ท่านยังไม่รู้หรือ” กล่าวเสร็จ สี่เอ๋อก็ยิ้มยินดี และตักโจ๊กอีกช้อนมาวางตรงริมฝีปากปากของเฟยเอ๋อ
จะรู้ที่ใด เฟยเอ๋อมองทางสี่เอ๋ออย่างตกใจกะทันหัน ยกมือขึ้นผัดช้อนตักที่นางถือในมือลงไป ถามพลางมุ่นคิ้ว “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”
“องค์หญิง!” สี่เอ๋อยิ้ม “ท่านหนอ ช่างไม่สังเกตเรือนร่างของตนเองเสียจริง ในครรภ์ของท่านตอนนี้ได้มีเด็กโตตั้งหนึ่งเดือนแล้วนะเจ้าคะ!”
“เด็ก?” เฟยเอ๋อก้มหน้างุดโดยพลัน มองหน้าท้องราบเรียบอย่างตื่นตระหนก จะอย่างไรก็คิดไม่ถึง นางมีลูกแล้ว! มีลูกของโหลวเหยนหมิงแล้ว!
“ฮ่าๆ องค์หญิง วันนั้นท่านอ็องเห็นท่านเป็นเช่นนั้น ก็แทบจะบ้าคลั้งแล้ว อย่าสนว่าหลายวันมานี้เขาไม่ปรากฏกาย วันนี้ก็ทำเพียงยืนมองเข้ามาจากด้านนอก แต่ว่าสี่เอ๋อรับรู้ได้ถึงความใส่ใจที่ท่านอ๋องมีต่อท่านนะองค์หญิง!”
“จริงหรือ” เฟยเอ๋อมองไปทางสี่เอ๋ออย่างตะลึงเล็กน้อย “เขาใส่ใจข้าจริงๆ?”
หากว่าใส่ใจจริงๆ หากว่าเป็นความรู้สึกจริงๆ เช่นนั้นขอเพียงความเข้าใจผิดถูกอธิบายแล้ว วันเวลาแห่งความสุขเหล่านั้นก่อนหน้านี้ก็จะหวนกลับมาแล้วใช่หรือไม่
“เจ้าค่ะ! ท่านอ๋องจะต้องใส่ใจท่านแน่องค์หญิง ไม่เช่นนั้นจะรีบร้อนเพียงนั้นได้อย่างไร ออกบัญชาท่านหมอว่าต้องช่วยชีวิตท่านและเด็กในครรภ์ให้จงได้นะเจ้าคะ!”
ฉับพลันเฟยเอ๋อก็ยิ้มด้วยความปรีติ ก้มหน้าต่ำและลูบไล้ท้องอย่างแผ่วเบา นางมีลูกแล้ว! ในเมื่อเขาใส่ใจ เช่นนั้นนางก็ต้องหาเวลาไปอธิบายเรื่องเผาภาพเรื่องนั้นแก่เขา นางไม่ได้คาดหวังว่าจะปฏิปักษ์กับเขาจริงๆ และยิ่งไม่คาดหวังว่าช่วงเวลาแห่งความสุขช่วงนั้นจะเป็นของปลอม!
“สี่เอ๋อ ท่านหมอบอกว่ายังเหลืออีกกี่วันกว่าข้าจะลงจากเตียงออกไปข้างนอกได้” เฟยเอ๋อเงยหน้าในบัดดล มองสี่เอ๋ออย่างเต็มไปด้วยความหวัง
“เอ่อ...ท่านหมอบอกว่าศีรษะที่ได้รับบาดเจ็บของท่านองค์หญิง ยามนี้ฟื้นมาแล้วก็ไม่มีเรื่องใหญ่เท่าใดแล้ว ขอเพียงประคบประหงมอย่างดี หลังจากที่ปากแผลบนศีรษะสมานกันแล้วจึงค่อยออกไปปะทะลมข้างนอกได้ ราวๆ สิบกว่าวันกระมังเจ้าค่ะ!” สี่เอ๋อเกาศีรษะ ก่อนเอ่ยตอบ
“ดี สิบกว่าวัน!” เฟยเอ๋อยิ้มหวานเล็กน้อย รอให้นางหายดีแล้ว ก็จะไปหาโหลวเหยนหมิง