ตอนที่ 7 ตำหนักเหลิ่งกง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 7 ตำหนักเหลิ่งกง
ตอนที่ 7 ตำหนักเหลิ่งกง ข้าได้ยินมาว่าหลิ่วเอ๋อได้รับความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง แม้แต่ตำหนักยู่เฉียนก็สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ และได้ยินอีกว่า ลู่เซียวเข้าใจว่านางมิถูกกับอากาศหนาวเย็น เขาจึงประทานห้องที่ทำจากไม้สักให้แก่นาง เผื่อวันใดที่ลมแรงเกินควบคุม อีกทั้งยังได้ยินว่าลู่เซียวเฝ้าคำนึงถึงตำหนักฉางชวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่ยามเช้าตรู่ก็มิเว้น เขามิเสด็จมาที่พระตำหนักจาวเหอของข้าอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่ ก็ผ่านไปนานนับเดือนแล้ว ในที่สุดที่นี่ก็กลายเป็นพระตำหนักเหลิ่งกงอย่างที่ข้าปรารถนา หิมะที่ขาวราวกับขนห่านสาดกระเซ็นลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า มันทับถมจนมีความหนาถึง 2 ฟุต ร่างกายของข้าหนาวสั่น จนมิอยากจะลุกออกไปจากเตียงตลอดทั้งวัน เพลานั้นเสียงพูดคุยของคนรับใช้หญิงในวังดังเล็ดลอดเข้ามา คะเนว่าพวกนางคงจะคิดว่าข้าหลับไปแล้ว จึงแอบอู้งานพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ที่มุมของกำแพง “นี่พวกเจ้าว่าคืนวันที่ต้องคอยวิตกกังวลเช่นนี้ของพวกเราจะถึงจุดสิ้นสุดเมื่อใดกัน? เหตุใดข้ารู้สึกว่าตำหนักเจาเหอแห่งนี้ นับวันจะยิ่งคล้ายกับตำหนักเหลิ่งกงขึ้นเรื่อยๆ!” “ ก็ใช่น่ะสิ! ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้มิเสด็จมาที่ตำหนักจาวเหอแห่งนี้ ข้าออกไปที่ใดก็รู้สึกถึงสายตาที่แปลกประหลาดของผู้คน แม้แต่คนในสำนักงานรัฐก็กล้าที่จะมองหน้าพวกเรา!” “นี่ ผู้ใดก็รู้ว่าเพลานี้พระฮองเฮาองค์ใหม่กำลังได้รับความโปรดปราน ผู้คนเหล่านั้นจึงรีบแจ้นไปประจบประแจงที่ตำหนักฉางชวนล่ะสิ ผู้ใดจะมีเวลามาสนใจพวกเราอีกเล่า!” “พระตำหนักฉางชวนน่ะหรือ ก็ธรรมดาสามัญนั่นแหละ... ข้าว่ายังมิดีเท่าพระตำหนักจาวเหอของพวกเราด้วยซ้ำ” “เจ้าจักไปรู้อันใด ฉางชวน...ความหมายก็คือฉางชวนสี่ฤดูกาล เจ้าว่ามันมิได้มีความหมายแฝงว่าพระฮองเฮาองค์ใหม่จักได้รับความโปรดปรานที่มิมีวันหมดหรือ? พวกเจ้ารู้หรือไม่ เขาร่ำลือกันว่าฮองเฮาองค์ใหม่....” ข้าเอนตัวไปด้านหน้าเพื่อจะฟังให้ละเอียด แต่น่าเสียดายที่พวกนางยังมิทันเอ่ยจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองของฝูเชว่ “พวกเจ้ามาพูดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยอันใดกันอีก? หรือว่ากินอิ่มแล้วก็ไม่มีอันใดจะทำ เดี๋ยวข้าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อพระสนมเอก ให้พระองค์หักปากเปราะๆของพวกเจ้าทิ้งไปให้หมดเสีย!” เมื่อข้าได้ยินเสียงขอความเมตตาที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนักดังมาจากด้านนอก ข้าก็ถอนหายใจออกมา พลางเปลี่ยนท่าทางพร้อมกับนอนลง พลันฝูเชว่ก็ดึงผ้าม่านให้เปิดออกแล้วก้าวเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นว่าข้ายังมิหลับ นางก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว “พระนางสนมเอกเพคะ วันนี้อากาศหนาวยิ่งนัก ข้าน้อยจึงตุ๋นโจ๊กรังนกมาให้ท่าน พระองค์รีบเสวยตอนที่มันยังร้อนเถิดเพคะ” ข้ายืดตัวขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปรับซุ๊ปรังนก พลางส่งยิ้มให้นาง จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างไม่เป็นทางการว่า “เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้ามิปล่อยให้พวกนางเอ่ยต่อให้จบเล่า” ฝูเชว่นำผ้าคลุมไหล่มาคลุมให้ข้า พลางเอ่ยด้วยความอึดอัดใจ “พระนางสนมเอกมิต้องไปฟังหรอกเพคะ พวกนางก็เอ่ยเพ้อเจ้อไปเรื่อย ข้าน้อยดูออกเพคะ ว่าในใจของฮ่องเต้ยังคงมีพระองค์ รอให้ผ่านเพลานี้ไปฮ่องเต้แอบ....” ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกคลื่นไส้ อีกนิดเดียวก็ทำถ้วยโจ๊กในมือของตนคว่ำ แต่โชคดีที่สายตาของฝูเชว่นั้นว่องไวนางเอื้อมมือมารับไว้ทัน จากนั้นจึงช่วยลูบหลังให้แก่ข้า “พระนางสนมเอก มิเป็นอันใดใช่หรือไม่เพคะ? หรือเป็นเพราะโจ๊กรังนกนี้....” เอ่ยได้เพียงเท่านี้ นางก็หยุดชะงักวาจาลง ดวงตาของนางก็ตกตะลึง “พระนางสนมเอก...นี่พระองค์...” ฝูเชว่เป็นข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดกับข้ามากที่สุด ข้าคิดว่านางจะต้องรู้อย่างแน่นอน ว่ารอบเดือนของข้ามิมาเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ก่อนหน้านี้ทุกๆครั้งนางจะเป็นผู้ยกยาป้องกันบุตรมาให้ข้าด้วยตนเอง เว้นเสียแต่เดือนที่แล้วที่ข้ายั่วโมโหลู่เซียว! ข้ามิคาดคิดว่าเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว จะทำให้ข้าตั้งครรภ์ได้ จิตสำนึกของข้าสั่งให้ข้าจับมือของฝูเชว่อย่างรวดเร็ว ข้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างปิดไม่มิด “อย่าบอกเขาเป็นอันขาด! ฝูเชว่ บอกเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด!” นางรู้ว่า ‘เขา’ ที่ข้าเอ่ยถึงคือผู้ใด ข้ารู้ว่าฝูเชว่คือคนของลู่เซียว และข้าก็รู้อีกว่าอย่างไรเสีย ลู่เซียวก็คงมิยอมให้ข้าคลอดบุตรของเขาออกมาอย่างเด็ดขาด! ฝูเชว่มองมาที่ข้าด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร “พระนางสนมเอก....” ในเพลานั้น ก็มีเสียงประกาศดังเข้ามาจากที่ด้านหน้าประตู “พระสนมเอกเพคะ หมอหลวงหูมาวัดชีพจรของพระองค์เพคะ เพลานี้เขารออยู่ที่หน้าประตูแล้วเพคะ” หมอหลวงหู! ข้าเงยศรีษะขึ้นพลางจ้องมองไปยังใบหน้าของฝูเชว่ ที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
已经是最新一章了
加载中